เสียงประตูถูกเคาะดังขึ้น ได้ยินเสียงของแม่จากด้านนอกเย่เทียนเฉินก็รู้ว่าเรื่องนี้ปิดไม่อยู่แล้ว จะช้าจะเร็วก็ต้องถูกพ่อแม่และน้องสาวล่วงรู้ สาเหตุที่ตอนที่เขากลับมาไม่ได้พูดไปนั้น เพียงเพื่อจะไม่ให้แม่และน้องสาวรู้สึกรับไม่ได้ในเวลากะทันหัน ด้วยวิธีการเช่นนี้ บางทีพวกเธออาจจะไม่รู้สึกสั่นประสาทขนาดนั้นก็เป็นไป
ความรวดเร็วในการแพร่ขยายของเรื่องนี้เร็วเป็นอย่างยิ่ง ในเวลาไม่ถึงสองชั่วโมง ทั่วทุกถนนซอกซอยของเมืองหลวงล้วนพูดคุยถกกันเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนทำงานระดับล่างก็ดี หรือจะเป็นกลุ่มอำนาจอิทธิพลใหญ่และตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงก็ดี ทั้งหมดต่างก็พูดคุยกันถึงเรื่องตระกูลฉินในครั้งนี้ สาเหตุสำคัญที่สุดนั้นเป็นเพราะตระกูลฉินมีอิทธพลในเมืองหลวงไม่น้อย ถึงจะไม่ใช่สามตระกูลใหญ่แห่งประเทศจีน แต่ก็ได้ชื่อว่าเป็นตระกูลชั้นหนึ่งจริงๆ
ฉินอี้เลื่องชื่อว่าโอหังและถือหางพรรคพวก ทำให้ไม่มีใครกล้าตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขาต่อหน้า และยิ่งไม่มีใครกล้าก่อเรื่องอะไรกับตระกูลฉิน ครั้งนี้เย่เทียนเฉินไม่เพียงก่อเรื่องกับตระกูลฉิน แต่ยังก่อเรื่องเสียจนพลิกฟ้าสะเทือนดินเสียด้วย
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เย่เทียนเฉินคิดไม่ถึงก็คือ ฉินอี้ถึงกับโกรธจนตาย ฉินเหิงเองก็ตาย มีเพียงฉินเทาหยวน ซึ่งตอนนี้สูญเสียพ่อและยังสูญเสียลูกชายไปแล้ว
เย่เทียนเฉินเปิดประตู หลัวเยี่ยนก็ดึงเขาไปยังนอกประตูอย่างตึงเครียด ท่าทางราวกับร้อนใจเป็นอย่างมาก
“แม่ครับ เป็นอะไรไปครับ? มีเรื่องอะไรถึงได้รีบร้อนขนาดนี้?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“ลูก ลูกเดินเร็วๆ หน่อย ออกไปนอกประเทศซะ ถ้าหากเรื่องนี้ไม่ซาลง ก็ไม่ต้องกลับมาอีก…” หลัวเยี่ยนดึงเย่เทียนเฉินไปยังทิศทางของประตูคฤหาสน์พลางพูดอย่างกังวลใจ
“เฮอๆ แม่ครับ เรื่องอะไรกันครับ? ไม่ร้ายแรงขนาดที่ต้องให้ผมออกนอกประเทศแล้วไม่ต้องกลับมาหรอกมั้งครับ?”
“เทียนเฉิน เรื่องตระกูลฉินไม่ว่าจะเป็นลูกที่ทำหรือไม่ เพียงแค่ตกเป็นประเด็นก็อาจตายได้แล้ว คราวนี้ฉินอี้ตายแล้ว ฉินเหิงก็ตายแล้ว สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งเมืองหลวง ฉินอี้สามารถยืนอยู่ในตำแหน่งเช่นนั้นได้ ถ้าจะบอกว่าไม่มีเพื่อนระดับบนๆ ไม่มีคนของเขา นั่นเป็นไปไม่ได้แน่นอน คนของเขาจะต้องไม่ยอมจบง่ายๆ แน่ ต่อให้ลูกไม่ได้ทำ พวกเขาก็ไม่ปล่อยลูกไปแน่ ตระกูลเย่ตกต่ำลงไปนานแล้ว พ่อของลูกที่เป็นเลขาธิการเมืองๆ หนึ่งก็ไม่สามารถปกป้องลูกได้ ตอนนี้มีเพียงวิธีเดียวคือออกนอกประเทศไปแล้วไม่ต้องกลับมาอีก!” หลัวเยี่ยนเอ่ยอย่างร้อนรน ออกแรงดันเย่เทียนเฉินไปที่ประตูคฤหาสน์
ตอนนี้เย่เทียนเฉินถึงจะเข้าใจขึ้นมา ในใจก็รู้สึกซาบซึ้งมาก น่าสงสารหัวใจของพ่อแม่ทุกคนในใต้หล้า ผู้เป็นแม่ต่างก็รักลูกของตนตลอดไป ไม่ว่าลูกจะกระทำสิ่งที่ผิดขนาดไหนก็ตาม ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด พ่อแม่มักจะอยู่ข้างลูก และมีเพียงผู้เป็นแม่คนหนึ่ง ที่จะคิดถึงเรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งแรก คิดถึงเรื่องที่จะเป็นภัยต่อลูกของตน และจะทำทุกวิถีทาง พยายามเพื่อไม่อยากให้ลูกของตนเกิดเรื่องอย่างสุดกำลัง
“แม่ แม่ แม่! แม่อย่าดันผมสิครับ ไม่มีเรื่องอะไรหรอก วางใจเถอะ!” เย่เทียนเฉินกล่าวกับหลัวเยี่ยนด้วยรอยยิ้ม
“ลูก ฟังคำแม่นะ ออกนอกประเทศ หลบเลี่ยงการเป็นจุดสนใจสักหน่อย ถ้าหากตระกูลฉินมีแค่ฉินเหิงที่ตาย บางทีอาจจะไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น แต่ฉินอี้เป็นใครกัน? หน้าที่การงานก็เป็นถึงรองผู้นำระดับชาติ การตายของเขาจะต้องทำให้เกิดความครึกโครมแน่ ตอนแรกเริ่มลูกก็ล่วงเกินตระกูลฉิน ตอนนี้จะต้องมีคนคิดใส่ร้ายลูกแน่ ถึงได้เอาความผิดมาโยนใส่ลูกแบบนี้ ด้วยอำนาจตระกูลของตระกูลเย่ที่ตกต่ำไปแล้ว ไม่มีทางช่วยลูกได้เลย ลูกจำเป็นต้องไป!” หลัวเยี่ยนกังวลจนน้ำตาแทบจะไหลอยู่รอมร่อ ออกแรงดันลูกชายไปข้างหน้า
“แม่ครับ แม่วางใจได้เป็นร้อยๆ ใจเลยครับ ไม่มีเรื่งอะไรแน่นอน ผมไม่ออกนอกประเทศหรอก!” เย่เทียนเฉินเอ่ย มองไปยังหลัวเยี่ยนอย่างจริงจัง
“เทียนเฉิน แม่ยอมให้พวกเขาฆ่าผิดเป็นร้อยคน แต่ไม่ยอมปล่อยลูกไปเด็ดขาด แม่มีลูกเป็นลูกชายคนเดียว ถ้าหากลูกมีอันตรายถึงชีวิต แม่จะอยู่ต่อไปได้อย่างไร…”
หลัวเยี่ยนพูดๆ ไปก็ร้องไห้ออกมา ตั้งแต่เล็กจนโต เย่เทียนเฉินก็เกเรมากและไม่เชื่อฟัง แม้ว่าจะก่อปัญหามากมาย แต่นิสัยดั้งเดิมของเขาก็ไม่ได้เลวร้าย ถึงจะเป็นเช่นนี้ หลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่คนหนึ่งก็ยังวิตกกังวลทั้งวัน กลัวว่าลูกชายจะสร้างปัญญาร้ายแรงจนเกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรขึ้น ถึงอย่างไรเย่เทียนเฉินเมื่อก่อนก็ล่วงเกินคนไปไม่น้อย รวมกับที่อำนาจของตระกูลเย่ตกต่ำลงทุกวัน หลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ก็ยิ่งกังวล
ไม่ง่ายเลยกว่าที่เย่เทียนเฉินจะค่อยๆ รู้เรื่องรู้ราว ไปเป็นทหาร สุดท้ายก็กลับมา และเปลี่ยนไปไม่เกเรไปทั่วอีกแล้ว หลัวเยี่ยนจึงวางใจได้บ้าง แต่เรื่องในครั้งนี้ร้ายแรงเหลือเกิน เกรงว่าจะไม่มีใครรับผิดชอบไหว ต่อให้เป็นตระกูลใหญ่บางตระกูลในเมืองหลวงก็รับผิดชอบไม่ไหว จินตาการได้เลยว่า รองผู้นำระดับประเทศคนหนึ่งตายไป เป็นเรื่องใหญ่มากแค่ไหน อำนาจอิทธิพลของตระกูลฉินเองก็ยิ่งใหญ่ หากจะเอาเรื่องขึ้นมาจริงๆ ไม่ใช่อะไรที่คนธรรมดาและตระกูลธรรมดาจะรับผิดชอบไหว
เมื่อเห็นว่าหลัวเยี่ยนร้องไห้ออกมาจริงๆ ในใจเย่เทียนเฉินเฉินก็เป็นทุกข์ ตั้งแต่มาเกิดใหม่ ความหวังสูงสุดของเขาก็คือใช้ชีวิตอยู่กับพ่อแม่และน้องสาวอย่างมีความสุข ไม่ทำให้คนในครอบครัวต้องเป็นกังวลอีก ไม่ทำให้พวกเขาเศร้าเสียใจอีก แต่มีบางเรื่องที่ไม่มีใครควบคุมได้ เรื่องตระกูลฉินในครั้งนี้ก่อเรื่องจนใหญ่โตเกินไป ทำให้ปิดไว้ไม่อยู่ ต้องแก้ไขถึงจะดี เพื่อกำจัดภัยอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง
“แม่ครับ ความจริงแล้วเรื่องนี้…”
ตอนที่เย่เทียนเฉินคิดจะอธิบายเรื่องนี้ให้แม่เข้าใจ เพื่อให้เธอไม่ต้องกังวลอีกต่อไป รถจี๊ปทหารสามคันก็มาจอดที่หน้าประตูคฤหาสน์ตระกูลเย่ มีทหารถือปืนเก้าคนลงมาจากรถ ทั้งหมดต่างสวมชุมทหารลายพราง ท่าท่าเข้มงวดเป็นอย่างมาก ราวกับกำลังปฏิบัติภารกิจยิ่งใหญ่อะไรอยู่
ทหารที่เป็นหัวหน้า คือทหารหน้าเหลี่ยมคนหนึ่ง ดูแล้วให้ความรู้สึกถึงความยุติธรรม สูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซ็นติเมตร หน้าตาธรรมดา ร่างกายกำยำแข็งแรง เขาเดินตรงเข้าไปหาเย่เทียนเฉิน มองเขาแวบหนึ่งแล้วเอ่ยถามว่า “คุณก็คือเย่เทียนเฉิน?”
เย่เทียนเฉินตบบ่าหลัวเยี่ยน หลัวเยี่ยนเองก็ปรับอารมณ์ตัวเองให้มั่นคง เธอเป็นผู้หญิงที่ฉลาดมากคนหนึ่ง ตลอดมาก็เป็นภรรยาที่ดีของเย่หงพ่อของเย่เทียนเฉิน ย่อมรู้ดีว่าไม่ควรเสียมารยาทต่อหน้าคนนอก
“ใช่ครับ มาหาผมมีธุระอะไรครับ?” เย่เทียนเฉินถามยิ้มๆ
“ผมคือกูตู๋อ๋าง เคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของนายพลชาง ตอนนี้ขึ้นตรงต่อท่านผู้นำเฉินเซิง พวกเราสงสัยว่าคุณจะมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องตระกูลฉิน ตอนนี้มาจับกุมคุณ!” กูตู๋อ๋างพูดด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
เย่เทียนเฉินประเมินกูตู๋อ๋าง เขารู้สึกได้ว่าบนร่างกยของชายคนนี้มีกลิ่นไออันแข็งแกร่งอยู่ เป็นพลังด้านบวกสายหนึ่ง แกร่งกร้าวเป็นอย่างมาก เขากล่าวว่าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของชางหลาง เย่เทียนเฉินยังไม่ค่อยจะเชื่อนัก เขาพูดว่าเคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของชางหลาง นี่ยังพอฝืนยอมรับได้ เพราะจาการที่เย่เทียนเฉินประเมินความสามารถของกูตู๋อ๋างนั้น เขาไม่ด้อยไปกว่าชางหลางอย่างแน่นอน ความสามารถของคนคนหนึ่งสามารถเพิ่มขึ้นตามอายุ บางทีก่อนหน้านี้หลายปีความสามารถของกูตู๋อ๋างอาจจะไม่เท่าชางหลาง อย่างไรก็ตามด้วยการเพิ่มพูนประสบการณ์ เพิ่มพูนความสามารถ ก็ไม่สามารถเป็นลูกน้องชางหลางได้อีกต่อไป ไม่ทันไรก็กลายเป็นหัวหน้ากระทรวงความมั่นคงสาธารณะแล้ว ดูเบาไม่ได้เลยจริงๆ
ความจริงเย่เทียนเฉินคิดดูแล้ว ชางหลาง เหยียนหลง และบุคคลลึกลับอีกคนหนึ่ง ถูกยกเป็นสามราชันนักรบแห่งประเทศจีน นี่ก็เป็นเรื่องเมื่อห้าปีก่อน แผ่นดินปรากฏผู้มีความสามารถอยู่ตลอด บางทีตอนที่พิจารณาสามราชันนักรบนี้ การแข่งขันของพวกชางหลางทั้งสามคงยิ่งใหญ่เป็นประวัติการณ์ขึ้นมาแล้ว แต่อย่างไรเสียคนรุ่นหลังหลายคนก็เติบโตขึ้นมาก
นี่ก็ไม่นับว่าเป็นการขายหน้าอะไร คนคนหนึ่งไม่สามารถเป็นหนึ่งในใต้หล้าได้ชั่วชีวิต มีการแก่ตัวลงทุกวัน ในหมู่คนรุ่นหลังก็ปรากฏบุคคลที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าออกมามากมาย นี่ล้วนเป็นเรื่องปกติธรรมดามาก
ที่กูตู๋อ๋างพูดถึงชางหลาง เย่เทียนเฉินเองก็เข้าใจ เพราะตนเองกับชางหลางเคยติดต่อกันมาก่อน กูตู๋อ๋างก็ควรจะเคยได้ยินมา ส่วนที่พูดฐานะของตัวเขาเองออกมานั้น ความหมายก็ชัดเจนมาก ก็คือ เตือนเย่เทียนเฉินว่าไม่ให้ต่อต้านและอย่าได้ทำเป็นเล่น
“โทษที ตอนนี้ผมง่วงมาก ไม่อยากไปกับพวกคุณหรอก รอผมหลับสักตื่นคุณค่อยมาใหม่แล้วกัน แล้วเจอกัน!” เย่เทียนเฉินพูดจบก็หมุนตัวเดินเข้าไปในคฤหาสน์ เขาไม่ยอมไปกับพวกกูตู๋อ๋าง เพราะเขารู้ว่าการทำแบบนั้นแม่และน้องจะเป็นห่วงและร้อนใจมาก
“เย่เทียนเฉิน ผมไม่สนว่าคุณเป็นใคร หรือจะเปลี่ยนไปแข็งแกร่งขนาดไหน คุณต้องรู้ว่าใครกำลังหาตัวคุณอยู่ หากไม่ไปล่ะก็ ผลที่ตามมาตระกูลเย่ของคุณรับผิดชอบไม่ไหวแน่!” กูตู๋อ๋างขมวดคิ้ว พูดกับเย่เทียนเฉินเสียงดัง
ปัง!
เย่เทียนเฉินรู้ว่ากูตู๋อ๋างแข็งแกร่งมาก ฝีมือไม่ด้อยไปกว่าชางหลาง อีกทั้งยังอายุน้อยกว่าชางหลางหลายปี พลังกายและพลังการต่อสู้ควรจะยิ่งเต็มเปี่ยม แต่ว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่ไว้หน้ากูตู๋อ๋างเลยแม้แต่น้อย ต่อให้เป็นการหักหน้ากระทรวงความมั่นคงสาธารณะก็ไม่สนใจ เขาไม่ยอมจากไปต่อหน้าหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ ไม่อยากเห็นแม่เป็นห่วงและกังวลใจจนร้องไห้ นี่คือจิตใจที่กตัญญูของเขา ใครก็ไม่มีทางมาเปลี่ยนแปลงได้
เย่เทียนเฉินปิดประตูอย่างรุนแรงไม่สนใจพวกกูตู๋อ๋างที่ยืนอยู่ด้านนอกโดยสิ้นเชิง มองไปยังหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ด้วยรอยยิ้มแล้วพูดว่า “แม่ครับ แม่สบายใจได้เลย ไม่มีปัญหาแน่นอน ต่อให้ฟ้าทลายลงมา ก็มีลูกคนนี้ค้ำยัน!”
พลันนั้น เย่เทียนเฉินรู้สึกได้ถึงบรรยากาศอันหนักอึ้งพุ่งเข้ามาด้วยความรวดเร็ว เขาอดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่น ประคองหลัวเยี่ยนไปนั่งบนโซฟาด้านข้าง เพิ่งจะหันกายมาก็มีเสียงหนึ่งดังสนั่น ประตูคฤหาสน์ถูกถีบจนเปิดออก กูตูอ๋างยืนอยู่ตรงประตู เมื่อสักครู่เป็นเขาที่ถีบประตูบ้านของเย่เทียนเฉินจนปลิว ช่างแกร่งกร้าวและทรงอำนาจยิ่งนัก
“ถ้าหากนายไม่ไปกับฉัน ก็อย่ามาโทษถ้าฉันจะลงมือ!” กูตู๋อ๋างกล่าวอย่างเย็นชา
“ลงมือ? ไม่ใช่ว่านายลงเท้าไปแล้วรึไง? ถีบประตูบ้านฉันพัง ไม่ใช่ว่าควรจะชดใช้หรอกเหรอ?” เย่เทียนเฉินถามด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม
“ขอเพียงนายไปกับฉัน ประตูบานนี้ฉัน กูตูอ๋างจะชดใช้เอง!”
“ไม่ได้ นายต้องชดใช้มาตอนนี้เลย!” เย่เทียนเฉินจ้องตากูตูอ๋างเขม็งแล้วพูดขึ้น
กูตูอ๋างขมวดคิ้ว เดิมทีเขาต้องมาจับเย่เทียนเฉินด้วยตัวเอง ในใจก็โกรธอยู่บ้างแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องตระกูลฉินครั้งนี้สำคัญมากเกินไป เขาที่เป็นผู้นำคนหนึ่งคงไม่มาปฏิบัติการด้วยตัวเองโดยเด็ดขาด เย่เทียนเฉินคนนี้ถึงกับทำตัวไม่เคารพกันเลยสักนิด ทำเป็นเล่นอยู่ตลอดเวลา นี่ทำให้กูตู๋อ๋างไม่พอใจมาก
“ฉันขอเตือนนายไว้ก่อน มาร่วมมือกันดีๆ จะดีกว่า ไม่งั้นฉันจะลงมือจริงๆ ต่อให้แขนขาหักฉันก็จะไม่ชดใช้” กูตู๋อ๋างกำหมัดทั้งสองแน่นส่งเสียงลั่นออกมาแล้วพูดขึ้น
“งั้นฉันขอเตือนนายไว้ว่าให้รีบชดใช้ประตูบ้านฉันซะ ไม่งั้นถึงเวลาฉันจะต่อยนายให้ตาเขียว หน้านายเดิมทีก็ไม่หล่ออยู่แล้ว เกรงว่าจะยิ่งแย่เข้าไปใหญ่!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างไม่ยอมลงให้แม้แต่น้อย
…………………………………..