ชางหลางคิดไม่ถึงว่ากูตูอ๋างจะปรากฏตัวที่นี่ อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ดูท่าเย่เทียนเฉินคนนี้จะถูกจับตามองหลายทางซะแล้ว ที่อำนาจอิทธิพลเหล่านี้ยังไม่ได้ลงมือก็เพราะ
หนึ่งคือฝีมือของเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งมาก หากทำให้โกรธขึ้นมาเกรงว่าไม่ใช่แค่กูตู๋อ๋างที่จับเขาไม่ได้ แล้วยังหาเรื่องยุ่งยากมาให้ตนเองอีก เพราะเย่เทียยนเฉินเป็นคนประเภทที่คุณไม่สามารถใช้กฎหมายและอำนาจมาบีบบังคับได้ หากโกรธขึ้นมาจริงๆ ไม่ว่าคุณจะใช้กฎหมายใด ไม่ว่าคุณจะใช้อำนาจใด ก็เจอแค่หมัดซัดใส่เท่านั้น
สาเหตุที่สอง ย่อมเป็นเพราะมีหยางอี้สอดมือเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ ด้วยฐานะของหยางอี้ อำนาจอื่นจะทำอะไรก็ต้องใคร่ครวญให้ดี ไม่กล้าลงมือบุ่มบ่าม
เมื่อเห็นกูตูอ๋างเดินเข้ามาหาตน ชางหลางอดไม่ได้ที่จะชะงักไป เขารู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา กูตู๋อ๋างคิดหาโอกาสสู้กับเขามาตลอดเพื่อแบ่งแยกแพ้ชนะให้ชัดเจน เมื่อก่อนตอนที่กู๋ตู๋อ๋างเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของตน ก็รู้สึกไม่พอใจ คิดว่าตนเองสามารถเอาชนะชางหลางได้ ทำไมถึงไม่ได้รับเลือกให้เป็นสามราชันนักรบแห่งประเทศจีน ในใจยิ่งไม่สงบ ยิ่งไม่พอใจ นานวันเข้าก็กลายเป็นความเคียดแค้น ทำให้มีช่องว่างระหว่างเขากับชางหลาง หลายครั้งที่อดไม่ได้ที่จะลงมือต่อสู้กับชางหลาง เพื่อให้เขาพ่ายแพ้
“ก็แค่ชื่อเรียกเท่านั้น มันคุ้มค่าที่นายต้องทำแบบนี้ด้วยเหรอ?” ชางหลางมองกูตู๋อ๋างแล้วกล่าวถาม
“หากคนเราไม่ทำเพื่อชื่อเสียงเพื่อผลประโยชน์ เราจะมีชีวิตอยู่ไปทำไม?” กูตูอ๋างถามชางหลางกลับ
“ยังมีอีกหลายเรื่องที่สามารถทำได้ สามารถทำเพื่อชื่อเสียงของประเทศชาติ เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ ไม่ใช่ผลประโยชน์ส่วนตน” ชางหลางมองไปยังกูตู๋อ๋างแล้วพูดอย่างจริงจัง
“ฮ่าๆๆๆ ไร้สาระ คำพูดช่างยิ่งใหญ่จริงๆ งั้นก็เอาชื่อสามราชันนักรบแห่งประเทศจีนของนายมาให้ฉันก่อนเถอะ…”
กูตู๋อ๋างดื่มด่ำอยู่ในโลกของตัวเองโดยสิ้นเชิง ใจของเขาคิดแต่เรื่องสามราชันนักรบแห่งประเทศจีน นอกจากนี้ในสายตาของเขา ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่สำคัญ กระทั่งความตั้งใจดั้งเดิมตอนได้ฝึกวรยุทธก็ลืมไปหมดแล้ว และลืมบุญคุณของอาจารย์ที่เคยสั่งสอนเขา ในปีนั้นอาจารย์ของกูตู๋อ๋างก็เป็นยอดฝีมือของพรรควรยุทธโบราณคนหนึ่ง ในช่วงเวลาที่เขาสอนเคล็ดวิชาของพรรควรยุทธโบราณให้แก่กูตู๋อ๋างเคยกล่าวเอาไว้ว่า
การฝึกวรยุทธมีจุดประสงค์เพียงสองอย่าง หนึ่งคือทำให้ร่างกายแข็งแรง สองคือปกป้องประเทศชาติ!
ดังนั้น เมื่อปีนั้นที่กูตู๋อ๋างลงเขามาจึงไปเป็นทหาร อาศัยความสามารถของตนเองจนได้กลายเป็นขุนพลคนสำคัญของชางหลาง จนเมื่อฝีมือค่อยๆ พัฒนาขึ้นจนแข็งแกร่ง เขาก็เปลี่ยนไปเป็นไม่พอใจ ตอนแรกไม่พอใจเพียงเล็กน้อย จากนั้นจึงไม่พอใจเป็นอย่างมาก จนสุดท้ายความปรารถนาของเขาจึงพองบวมขึ้น คิดว่าฝีมือระดับนี้ของตนเอง เหตุใดต้องเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของชางหลางอะไรนี่ด้วย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็สามารถเป็นหัวหน้าได้ สุดท้ายจึงคิดจะเอาชนะชางหลาง และนำชื่อหนึ่งในสามราชันนักรบแห่งประเทศจีนมาให้ได้
ในตอนนั้น ในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชาของกูตู๋อ๋าง ชางหลางเอ็งก็รู้สึกได้ว่ากูตู๋อ๋างไม่พอใจมากขึ้นทุกวัน หยิ่งยโสมากขึ้นทุกวัน คนๆ หนึ่งจะถ่อมตัวนั้นยากมาก แล้วเมื่อได้ยโสขึ้นมา ก็จะยโสมากขึ้นเรื่อยๆ ยโสจนไม่มีขอบเขต จนสุดท้ายกระทั่งตนเองก็ไม่อาจควบคุมได้
เมื่อเผชิญหน้ากับการท้าทายของกูตู๋อ๋าง ชางหลางจึงกล่าวเตือนด้วยความหวังดี ในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชาคนหนึ่ง ความจริงแล้วชางหลางมองกูตู๋อ๋างในแง่ดีมาก เพราะว่าเขามีความสามารถมากจริงๆ มีความสามารถที่จะได้กลายเป็นนายพลที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง น่าเสียดายที่เขาไม่ฟังคำเตือนของตน สุดท้ายชางหลางจึงทำได้เพียงลงมือสู้กับกูตู๋อ๋าง
การต่อสู้ในครั้งนี้ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรกันแน่ไม่มีผู้ใดรู้ เพราะว่าชางหลางและกูตู๋อ๋างสู้กันในสถานที่รกร้างไร้ผู้คน หลายคนเห็นเพียงว่าตอนที่ชางหลางกลับมานั้นเขาได้รับบาดเจ็บ แม้ว่าจะไม่ร้ายแรงแต่ก็เห็นเลือด ส่วนกูตู๋อ๋างก็ไม่ได้กลับมาอีก ไม่นานก็ไปจากข้างกายของช่งหลาง
เคยมีคนที่อยากรู้อยากเห็นไปยังสถานที่ที่พวกเขาต่อสู้กัน สุดท้ายก็ถูกทำเอาตกตะลึง สถานที่ที่ชางหลางและกูตู๋อ๋างประลองกันนั้นเป็นทุ่งหญ้าแห่งหนึ่งในเขตชานเมืองของเมืองหลวง เมื่อผู้อยากรู้อยากเห็นไปถึงก็พบว่าบนผืนหญ้าแห่งนั้นเต็มไปด้วยหลุมบ่อที่เกิดจากหมัด เขาไม่อยากจะเชื่อสายตาของตน นี่ทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้านเสียยิ่งกว่าฉากต่อสู้ในหนังในทีวีซะอีก!
ยากที่จะจินตนาการได้ว่าการต่อสู้ระหว่างพวกเขาสองคนจะทำให้ผู้คนตกตะลึงได้มากเท่าไหร่กันแน่ นี่ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าฝีมือของกูตู๋อ๋างแข็งแกร่งมากจริงๆ
ฉัวะ!
หมัดของกูตู๋อ๋างซัดเข้าไปทางชางหลาง ชางหลางขมวดคิ้ว บิดตัวครั้งหนึ่งหลบหมัดของกูตู๋อ๋างไปได้ ไหนเลยจะรู้ว่าในตอนที่หมัดขวาของกูตู๋อ๋างอยู่ในอากาศ เท้าข้างหนึ่งของเขาจะถีบไปยังหน้าอกของชางหลาง ชางหลางหลบไม่ได้ ทำได้เพียงซัดหมัดไปยังเท้าของกูตู๋อ๋าง ทั้งสองถูกแรงกระแทกจนแยกห่างกันไประยะหนึ่ง
“หึ ชางหลาง ดูท่าหลายปีมานี้ฝีมือของนายจะไม่พัฒนาขึ้นเลยสักนิด” กูตู๋อ๋างแค่นเสียงเย็นครั้งหนึ่ง มองไปยังชางหลางแล้วพูดขึ้น
“วันนี้ฉันไม่อยากสู้กับนาย ยังมีเรื่องสำคัญต้องไปทำอีก!” ชางหลางกล่าวเสียงเข้ม
“นายยังคิดจะช่วยเย่เทียนเฉินงั้นหรือ? เขาหาที่ตายเอง บุกเข้าไปในตระกูลลั่วคงไม่มีชีวิตกลับออกมาแล้ว!” กูตู๋อ๋างพูดแล้วยิ้มเย็นชา
“นายผิดแล้ว ฉันไม่ได้กังวลว่าเขาจะตาย แต่กังวลว่าหลังจากสามพ่อลูกตระกูลลั่วถูกฆ่า จะยิ่งเพิ่มคลื่นลมในเมืองหลวงจนถึงขั้นที่ไม่อาจเก็บกวาดได้ออีกต่อไป” ชางหลางพูดอย่างเป็นกังวล
“ฉันว่านายประเมินเขาสูงไปแล้ว ฉันกับเขา แม้ว่าจะไม่ได้สู้กันอย่างจริงจัง แต่ก็คาดเดาได้ถึงฝีมือของเขา หากเทียบกับฉันและนายแล้วก็เพียงหกสิบเปอร์เซ็น ไม่แข็งแกร่งกว่าฉันและนายแน่นอน ดังนั้นเขาไปที่บ้านตระกูลลั่วจะต้องตายอย่างแน่นอน นายต้องรู้ว่า ตระกูลั่วกับตระกูลฉินไม่เหมือนกัน…”
ในสายตาของกูตู๋อ๋าง เย่เทียนเฉินกล้าบุกเข้าไปฆ่าสามพ่อลูกลั่วซงเฉิงในบ้านตระกูลลั่ว เป็นการรนหาที่ตายโดยสิ้นเชิง โอหังยิ่งกว่าเขาซะอีก ที่กูตู๋อ๋างคิดว่าเย่เทียนเฉินต้องตายอย่างแน่นอน ไม่ได้หมายความว่าอำนาจอิทธิพลของตระกูลลั่วจะยิ่งใหญ่กว่าตระกูลฉิน แต่เป็นเพราะบอดี้การ์ดของตระกูลลั่วแน่นหนายิ่งกว่าตระกูลฉินมาก เรียกได้ว่าเป็นกองทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งเลยทีเดียว บอดี้การ์ดของทั้งตระกูลลั่วที่พกอาวุธก็มีถึงห้าสิบกว่าคนแล้ว อีกทั้งทุกคนก็ยังเป็นคนสนิทของลั่วซงเฉิง จินตนาการได้เลยว่ากองทัพเช่นนี้จะมีใครกล้าบุกเข้าไป?
“งั้นพวกเราก็รอดูกันเถอะ!”
ชางหลางไม่อยากพูดอะไรมาก แล้วไม่อยากไปตามเย่เทียนเฉินกลับมาอีก เพราะเย่เทียนเฉินเดินไปถึงประตูของบ้านตระกูลลั่วเรียบร้อยแล้ว หากตอนนี้เขาปรากฏตัวออกไปแล้วลั่วซงเฉิง ลั่วกวงฮุย และลั่วฉียังถูกฆ่า เขาชางหลางคงจะไม่อาจหนีความรับผิดชอบไปได้ อย่างไรเสียเขาก็เป็นคนของหยางอี้ จะทำให้เกิดผลกระทบที่เลวร้ายได้
“ได้ ถึงตอนนั้นศพของไอ้หนูนี่ฉันจะนำไปเอง ครั้งก่อนนายพาตัวเขาไปแล้ว ครั้งนี้ฉันจะพาไปบ้าง นับว่าไปรายงานกับคนทางฝั่งนั้นได้แล้ว!” กูตู๋อ๋างพูดอย่างเย็นเยือก
ในตอนนี้ เย่เทียนเฉินเดินไปถึงประตูของบ้านตระกูลลั่วแล้ว เขาไม่ได้แอบเข้าไป แต่เข้าไปตรงๆ ความคิดของเขานั้นเรียบง่ายมาก ก็แค่ไปฆ่าสุนัขสามตัวเท่านั้น ทำไมต้องหลบๆ ซ่อนๆ ด้วย?
“หยุดนะ นายเป็นใคร? ที่นี่คือบ้านตระกูลลั่ว ไม่ใช่สถานที่ที่ใครก็เข้าไปได้…” บอดี้การ์ดถืออาวุธคนหนึ่งมองเย่เทียนเฉินอย่างหยิ่งยโสแล้วตะโกนออกมา
“ไอ้สุนัขแก่ลั่วซงเฉิงโอหังอวดดีจริงๆ ไม่คิดเลยว่าลูกน้องของเขาจะเป็นแบบนี้ ดูท่าแล้วสมควรตายจริงๆ!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างเรียบเฉย
“จะพูดอะไร? ถ้ายังไม่ไปอีกก็อย่ามาโทษที่ฉันจะยิงแกแล้วกัน!” บอดี้การ์ดที่พูดได้ยินเย่เทียนเฉินด่าลั่วซงเฉิง ก็รีบเล็งอาวุธไปทางเขา ทำท่าทางจะลั่นไกปืน
“พวกแกก็กลายเป็นสุนัขรับใช้ของลั่วซงเฉิงไปแล้ว ในเมื่อเป็นแบบนี้ฉันก็ไม่จำเป็นต้องลงมือไว้ไมตรี!” เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ
“รนหาที่ตาย!”
บอดี้การ์ดคนนั้นไม่ได้พูดเล่น เขาเล็งอาวุธไปยังเย่เทียนเฉิน นิ้วชี้มือขวาจ่อไปที่ไกปืน ท่าทางแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก นี่คือวิธีการที่เรียกว่าสุนัขอ้างอิทธิพลเจ้านาย เห็นได้ชัดว่าบอดี้การ์ดเหล่านี้อยู่กับลั่วซงเฉิงมานาน จึงค่อยๆ โอหังขึ้นเรื่อยๆ ต่อให้ฆ่าคนตามใจชอบก็กล้าทำ
ปัง!
เมื่อเย่เทียนเฉินลงมือก็หยุดไม่ได้อีกต่อไป จะต้องทำเรื่องราวจนสำเร็จถึงจะถูก ขาข้างหนึ่งถีบบอดี้การ์ดที่ลงมือกับเขาเป็นคนแรกจนกระเด็นออกไป ในขณะเดียวกันตอนที่บอดี้การ์ดอีกคนหนึ่งเพิ่งจะลงมือ เย่เทียนเฉินก็ปล่อยหมัดออกไปยังหน้าอกของเขา ซัดเข้าอย่างแรงจนสลบเหมือด
สาวเท้าเดินเข้าไปยังบ้านตระกูลลั่ว ชั่วขณะที่เหยียบย่างเข้าไปนั้น พลังพิเศษเขตแดนปิดกั้นของเย่เทียนเฉินได้ถูกกางออกไปแล้ว คืนนี้เขาจะทำการฆ่าครั้งใหญ่ คนถ่อยไร้ยางอายชาติสุนัขอย่างสามพ่อลูกตระกูลลั่ว ทำให้เย่เทียนเฉินโกรธเข้าแล้ว เขาจะไม่ลงมือไว้ไมตรีแต่จะเปิดฉากฆ่าอย่างจริงจัง
ปังๆๆๆ…
เย่เทียนเฉินบุกเข้าไปในบ้านสกุลลั่ว คนถืออาวุธหลายสิบคนยิงกราดมาที่เขา แต่ว่าน่าเสียดายที่ลูกปืนเหล่านี้ล้วนตกอยู่บนพื้นทั้งหมด เพราะเย่เทียนเฉินใช้โล่พลังพิเศษคลุมตัวไว้หมดแล้ว ถึงแล้วแบบนี้จะทำให้สิ้นเปลืองพลังพิเศษของเขาเป็นอย่างมาก เขาก็ไม่สนใจ เขาต้องฆ่าสามพ่อลูกตระกูลลั่วให้ได้โดยไม่ต้องสงสัย ต่อให้เทพเซียนมาเองก็หยุดไว้ไม่ได้
“ฉันมาเพื่อฆ่าสามพ่อลูกลั่วซงเฉิง ฉันขอเตือนพวกแกไว้ก่อนว่าอย่าเป็นสุนัขของพวกมันต่อไปจะดีกว่า ไม่งั้นฉันจะไม่เกรงใจแล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วยิ้มให้บอดี้การ์ดที่ล้อมเขาไว้กลุ่มนี้
“กล้าบุกเข้ามาที่บ้านตระกูลลั่ว ฆ่ามันซะ!”
ปืนทั้งหมดของบอดี้การ์ดกลุ่มหนึ่ง ถูกยิงจนหมดแล้วก็ยังไม่สามารถทำร้ายเย่เทียนเฉินได้เลย บอดี้การ์ดหลายสิบคนต่างทะยานร่างเข้าไปยังเย่เทียนเฉิน น่าเสียดายมาก เพียงหมัดเดียวของเขาก็กระแทกจนล้มไปหลายคน เขาถีบครั้งเดียวก็ปลิวไปทั้งกลุ่ม ไม่ถึงสามนาที บอดี้การ์ดหลายสิบคนล้วนถูกอัดจนลงไปนอนกองกับพื้น ร้องโอดโอยไม่หยุด
เย่เทียนเฉินมองบอดี้การ์ดที่ล้มอยู่รอบๆ แวบหนึ่ง เขายังไม่ได้ลงมือฆ่า ถึงแม้ตอนนี้เขาจะมีไอสังหารอยู่ทั่วทั้งร่าง แต่ว่า เขายังไม่อาจลงมือกับคนที่ไม่เกี่ยวข้องเหล่านี้จนถึงตายได้ บางทีในช่วงยุคสิ้นโลกผ่านการฆ่าฟันมามากเกินไป จึงทำให้เขารู้สึกเบื่อหน่ายแล้วก็เป็นได้
“ลั่วซงเฉิง ลั่วกวงฮุย ลั่วฉี ฉันเย่เทียนเฉินมาแล้ว มาฆ่าสุนัขสามตัวอย่างพวกแกแล้ว รีบไสหัวออกมาซะ!” เย่เทียนเฉินอยู่ใจกลางของบ้านตระกูลลั่ว ตะโกนออกมาด้วยเสียงอันดัง
…….