ท่านผู้นำชราเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งที่มีความเมตตาแต่ก็ไม่สูญเสียลักษณะอันน่าเกรงขาม และไม่ได้เป็นคนยิ้มยากเหมือนกับที่คนส่วนใหญ่จินตนาการ เขาเป็นคนที่ไม่วางมาดขรึม ดูแล้วไม่เหมือนกับคนที่อยู่ในระดับสูง แต่กลับมีอำนาจที่ไม่แสดงออกแฝงอยู่ นี่เป็นบรรยากาศของบุคคลที่มาถึงจุดสูงสุด ไม่เหมือนกับคนมีตำแหน่งคนอื่นๆ ที่พอมีตำแหน่งขึ้นมาบ้างก็ทำตัวหยิ่งยโสโอหังไม่เห็นใครอยู่ในสายตา
ไม่ใช่แค่เพียงเฮยเมี่ยนและชางหลางที่มองจนกลุ้มใจเหลือคณา พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว กระทั่งหยางอี้ที่เป็นคนระดับบิ๊กก็คิดไม่ถึงว่า เย่เทียนเฉินพบหน้าท่านผู้นำจะถึงกับทำตัวสบายๆ แบบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเย่เทียนเฉินเห็นท่านผู้นำเป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่ในบ้านคนหนึ่ง ไม่มีความรู้สึกตึงเครียดที่ได้พบกับคนใหญ่คนโตเลยแม้แต่น้อย นี่เป็นสิ่งที่พวกหยางอี้คิดไม่ถึง แน่นอนว่าต้องขอบคุณที่ท่านผู้นำที่มีความอดทนเป็นเลิศ ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเจ้าหมอนี่
“ได้ยินว่าครั้งนี้นายก็เรื่องใหญ่ที่ตระกูลฉิน แล้วยังฆ่าล้างตระกูลลั่วอีก เป็นการกระทำของนายใช่ไหม?” ท่านผู้นำเอ่ยถาม
เย่เทียนเฉินได้ยินคำถามของท่านผู้นำ จึงเปลี่ยนท่าทีเป็นเคร่งขรึมมา อาศัยที่ผู้อาวุโสท่านนี้ทำเพื่อประเทศชาติเพื่อประชาชนก็ควรค่าแก่การเคารพของเขาแล้ว เย่เทียนเฉินเป็นคนที่ไม่สามารถใช้ตรรกะปกติมาประเมินได้ แต่อย่างน้อยก็ยังรู้จักเคารพผู้สูงอายุ ยิ่งไปกว่านั้นผู้สูงอายุเช่นท่านผู้นำ ควรค่าแก่การเคารพของทุกคน
เย่เทียนเฉินปล่อยมือท่านผู้นำแล้วกล่าวยิ้มๆ ว่า
“ผู้อาวุโสครับ เรื่องนี้มันเป็นแบบนี้ เริ่มจากคนตระกูลฉินมาหาเรื่องผมก่อน พวกเขาต้องการฆ่าผม ผมก็แค่ตอบโต้ไปเท่านั้น เป็นการป้องกันตัวตามปกติ ส่วนเรื่องของตระกูลลั่ว ตระกูลลั่วมีสุนัขสามตัวที่เป็นอันตรายต่อประชาชน ผมก็เลยยอมเสียสละทำเพื่อประชาชนครับ!”
เมื่อได้ฟังคำพูดของเย่เทียนเฉิน ท่านผู้นำอดไม่ได้ที่จะยิ้ม เฮยเมี่ยนที่อยู่ข้างๆมองเย่เทียนเฉินอย่างเหยียดหยาม ในใจคิดว่าเจ้าหมอนี่ไม่เพียงแต่มีฝีมือแข็งแกร่ง ฝีมือในการเล่นลิ้นก็ไม่เป็นรอง สามารถพูดจากขาวเป็นดำได้ เย่เทียนเฉินมีบุญคุณความแค้นกับตระกูลฉินและตระกูลลั่วเป็นความจริง สองตระกูลนี้ต้องการฆ่าเย่เทียนเฉินก็เป็นความจริง แต่เจ้าหมอนี่พูดเหมือนกับว่าตัวเองเป็นผู้นำความยุติธรรม ทำท่าทางเหมือนกับทำเรื่องที่ใครก็ต้องทำ ช่างทำให้คนอื่นรู้สึกอับจนคำพูดจริงๆ
“เรื่องของตระกูลฉินและตระกูลลั่ว ฉันได้ยินมาจากหยางอี้แล้ว ได้ข่าวว่าครั้งที่แล้วที่ประเทศM นายคิดจะให้โฮบาม่าเลี้ยงข้าวนายหรือ?” ท่านผู้นำเอ่ยถามยิ้มๆ
ความจริงไม่ว่าจะเป็นใคร เมื่อได้ยินเรื่องนี้ของเย่เทียนเฉินต่างก็ต้องตกตะลึงเป็นอย่างมาก ต้องการให้โฮบาม่าแห่งประเทศMเลี้ยงข้าวเขา แถมยังลงมืออัดคนไปตลอดทาง กวาดตามองไปทั่วทั้งโลกเกรงว่าจะมีไม่กี่คนที่สามารถทำได้ ความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวเช่นนี้เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้านแล้ว
“เห้อ น่าเสียดายที่ไปถึงครึ่งทางก็มีโทมัสโผล่ออกมา ได้ยินว่าเป็นหัวหน้าหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษแห่งประเทศM ความสามารถแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ผมคิดว่าช่างมันเถอะ ถ้าต่อสู้กันจนบาดเจ็บทั้งสองฝ่ายจริงๆ ก็ไม่คุ้มเลย ผมคนนี้ไม่มีความคิดยิ่งใหญ่อะไร เสพสุขกับชีวิตให้ดีๆ ก็พอแล้ว!” เย่เทียนเฉินแสร้งทำเป็นถอนหายใจแล้วพูดขึ้น
ในตอนนี้เองหยางอี้ที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากขึ้น
“เย่เทียนเฉิน เรื่องของนายฉันได้พูดกับท่านผู้นำไปหมดแล้ว นายเป็นคนที่มีความสามารถคนหนึ่ง ประเทศชาติต้องการคนที่มีความสามารถอย่างนาย แต่ว่าครั้งนี้เรื่องที่นายก่อมันใหญ่เกินไปจริงๆ เรียกได้ว่าคลื่นลูกแรกยังไม่ทันสงบก็มีคลื่นลูกใหม่ซัดเข้ามา เรื่องของตระกูลฉินและตระกูลลั่ว ทั้งสองเรื่องรวมกันทำให้มีผลกระทบที่ค่อนข้างใหญ่ หากต้องการทำให้เรื่องนี้เงียบก็คงยากมาก ไอ้หนูอย่างนายคงจะได้รับโทษ…”
“ผู้อาวุโส ผู้เฒ่าหยางอี้ พวกคุณสองคนมีเรื่องอะไรก็พูดมาตรงๆ เถอะครับ ผมคิดว่าหากคุณต้องการจะทำโทษจริงๆ คงไม่ระดมคนพาตัวผมมาที่นี่หรอก ทุกคนต่างก็เป็นคนฉลาด มีอะไรก็พูดมาตรงๆ ถ้าเป็นเรื่องที่ผมทำได้และให้ประโยชน์กับผมบ้าง ผมก็คิดว่าผมจะลองไตร่ตรองดู!”เย่เทียนเฉินพูดแล้วหัวเราะฮี่ๆ
เฮยเมี่ยนและชางหลางทำได้เพียงยืนอยู่กับที่ด้วยความตกตะลึง สายตามองไปยังเย่เทียนเฉินที่พูดคุยกับท่านผู้นำอย่างหยอกล้อ พวกเขาสองคนล้วนเป็นคนที่มีตำแหน่งหน้าที่ทางการทหาร เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านผู้นำจะต้องเข้มงวดจริงจังเป็นอย่างมาก ยืนตัวตรงเหมือนหอก มีแต่เย่เทียนเฉินที่ไม่มีระเบียบวินัยถึงจะทำท่าทางเหลาะแหละแบบนี้ได้
บนโลกนี้คนที่กล้าต่อรองเงื่อนไขกับท่านผู้นำและหยางอี้ในเวลาเดียวกัน เกรงว่าจะมีแต่เย่เทียนเฉินเพียงคนเดียว หากว่าเป็นเฮยเมี่ยนและชางหลาง ขอเพียงแค่ท่านผู้นำมีคำสั่งลงมา ต่อให้ต้องไปตายในทันทีพวกเขาก็จะเชื่อฟัง นี่เป็นลักษณะนิสัยของทหารในประเทศที่ยิ่งใหญ่อย่างประเทศจีน ทำเพื่อประเทศชาติเพื่อประชาชนตราบจนชีวิตจะหาไม่
หยางอี้และท่านผู้นำสบตากัน อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ท่านผู้นำพยักหน้าให้หยางอี้ ความจริงแล้วก่อนที่เย่เทียนเฉินจะมาถึง พวกเขาได้ปรึกษากันเรียบร้อยแล้วว่าจะจัดการเรื่องตระกูลฉินและตระกูลลั่วอย่างไร ส่วนเรื่องเย่เทียนเฉินนั้น คนที่มีตำแหน่งอย่างพวกเขาย่อมไม่มีความคิดเหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป ในสายตาของท่านผู้นำและหยางอี้ แม้ว่าเย่เทียนเฉินจะไม่น่าไว้ใจ ชอบพูดจาหยอกล้อและยังเป็นคนที่ไม่มีระเบียบวินัย แต่ว่าบางครั้งประเทศชาติก็ต้องการคนมีความสามารถเช่นนี้ และคนแบบเย่เทียนเฉินก็ปรากฏออกมาน้อยมาก
ประการแรก คนแบบเย่เทียนเฉินกระทำเรื่องราวอะไรจะไม่นับว่าเป็นตัวแทนของประเทศชาติ และทำให้คนอื่นจับจุดอ่อนไม่ได้ ประการที่สอง มีหลายเรื่องที่ไม่เหมือนกับจินตนาการของคนอื่นที่คิดว่าประเทศชาติต้องการให้เป็นอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น แต่จะต้องคำนึงถึงความกดดันในเรื่องของผลกระทบและข้อวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชนด้วย
หากให้ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็คือ อาชญากรจำนวนหนึ่งที่ทางรัฐโกรธเกลียดเป็นอย่างมาก เกลียดจนอยากฆ่าให้ตายโดยเร็ว แต่ว่าคนเหล่านี้มักจะใช้ช่องว่างทางกฎหมาย สุดท้ายจึงได้รับคำตัดสินในระดับที่ไม่ถึงความตาย และท้ายที่สุดก็สามารถหลุดพ้นจากบทลงโทษทางกฎหมายไปได้ หากว่าประเทศชาติตัดสินโทษตายอย่างแข็งกร้าว หรือลอบสังหารในทางลับ ก็จะทำให้อาชญากรคนอื่นๆ มีโอกาสโจมตี กระตุ้นความโกรธแค้นของประชาชนที่โง่เขาจำนวนหนึ่งให้ทำการประท้วงเป็นต้น ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อความมั่นคงของชาติเลย
ในตอนนี้จะต้องการคนที่สามารถฆ่าคนชั่วที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้ ฆ่าอย่างเงียบๆ กระทำการโดยที่ไม่เกี่ยวข้องกับประเทศอย่างเป็นทางการ เย่เทียนเฉินเป็นคนที่เหมาะสมกับการทำเช่นนี้พอดี
“ไอ้หนูยังนายกล้าเจรจาเงื่อนไขอีก งั้นก็ดี งั้นพวกเราก็มาพูดถึงเงื่อนไขกันเถอะ นายก่อเรื่องตระกูลฉินและตระกูลลั่ว นี่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่สองเรื่อง พวกเราจะคิดหาวิธีกดดันให้เรื่องเงียบไป ดังนั้นนายจะต้องช่วยพวกเราสองเรื่อง” หยางอี้พูดยิ้มๆ
“ผู้เฒ่าหยางครับ เรื่องตระกูลฉินผมได้ตอบรับไปแล้วว่าจะไปเรียนที่มหาวิทยาลัยหลงเถิงและช่วยคุณดูแลตงฟางเมิ่งอะไรนั่น ส่วนเรื่องตระกูลลั่ว นั่นก็เป็นแค่สุนัขหน้าไม่อายสามตัว ฆ่าก็ฆ่าไปแล้ว อย่าจริงจังขนาดนี้เลย?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะมองหยางอี้พลางกล่าว
“ในเมื่อไอ้หนูอย่างนายไม่ตกลงงั้นก็ช่างมันเถอะ เรื่องนี้ควรจะจัดการยังไงก็จัดการอย่างนั้น ถึงตอนนั้นเกี่ยวพันไปถึงตระกูลเย่ของนาย เกี่ยวพันไปถึงพ่อแม่และน้องสาวของนาย พวกเราก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว!” หยางอี้พูดอย่างไม่สะทกสะท้าน
“นี่ๆ พวกคุณนี่เปลี่ยนสีหน้ากันเร็วมากเลยนะ นี่ไม่ใช่ว่าข่มขู่กันหรอกเหรอ? ผมเกลียดการที่ถูกคนอื่นข่มขู่เป็นที่สุด!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างไม่สบอารมณ์
“ผิดแล้ว นี่ไม่ใช่การข่มขู่แต่เป็นการแลกเปลี่ยน พวกเราช่วยนายกดเรื่องตระกูลฉินและตระกูลลั่วสองเรื่อง นายก็ช่วยพวกฉันทำภารกิจสองเรื่อง ยุติธรรมที่สุดแล้ว!” หยางอี้พูดยิ้มๆ
“เอาเถอะ ลองพูดมาดูเถอะครับว่ายังมีเรื่องอะไรอีก…”
เย่เทียนเฉินทำอะไรไม่ได้แล้วจริงๆ เมื่อเผชิญหน้ากับคนใหญ่คนโตอย่างหยางอี้และท่านผู้นำ เขาก็รู้สึกไม่กล้าทำอะไรให้วุ่นวาย และไม่อยากทำอะไรมั่วซั่ว อย่างไรเสียผู้อาวุโสสองคนนี้ก็เป็นข้าราชการดีงามที่ทำเพื่อชาติเพื่อประชาชน
“ยังไม่ต้องไปคิดถึงมันชั่วคราว นายคิดทำเรื่องของตงฟางเมิ่งให้เสร็จก่อนแล้วค่อยพูดกันเถอะ” หยางอี้เอ่ย
“คุ้มครองดาวมหาวิทยาลัย? ตลอดมาผมก็ไม่สนใจว่าเรื่องนี้จะเป็นยังไง ให้ภารกิจที่มันสำคัญหน่อยจะดีกว่า!”
“ไม่ใช่ให้นายไปคุ้มครองเธอ แต่ให้นายไปอยู่ใกล้ๆ เธอ ไม่ให้เธอลงมือทำร้ายคนอื่น และไม่ให้คนอื่นทำร้ายเธอ สิ่งเดียวที่ฉันบอกกับนายได้ก็คือ ตงฟางเมิ่งไม่ได้เป็นเพียงสี่สุดยอดสาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณเท่านั้น ฐานะของเธอค่อนข้างพิเศษ เรื่องนี้นายต้องไปค้นหาด้วยตัวเองแล้ว!”
“เอาเถอะครับ ตกลงตามนี้ มีเรื่องอะไรก็แจ้งให้ผมทราบด้วย ท่านผู้อาวุโส ผมไปก่อนล่ะ!”
ท่านผู้นำสูงสุดพยักหน้า ถึงแม้ว่าจะสนทนากับเย่เทียนเฉินไม่มาก แต่ท่านผู้นำก็ค่อนข้างมองเย่เทียนเฉินในแง่ดี แม้ว่าเจ้าหนูคนนี้จะดูไม่เอาอ่าว แต่การกระทำเรื่องราวต่างๆ อย่างไรก็ยังทำให้คนรู้สึกวางใจเป็นอย่างมาก
เย่เทียนเฉิน เฮยเมี่ยนและชางหลางจากไปแล้ว ภายในห้องทำงานอันกว้างใหญ่เหลือเพียงท่านผู้นำและหยางอี้สองคน ท่านผู้นำยิ้มมองเงาหลังของเย่เทียนเฉินแล้วพยักหน้า เป็นเหมือนที่หยางอี้พูดจริงๆ ลูกหลานตระกูลเย่คนนี้มีความเป็นไปได้มากว่าจะฟื้นฟูตระกูลเย่ได้ และมีอนาคตไร้ขีดจํากัด เป็นบุคคลมีความสามารถที่ประเทศสามารถใช้งานได้
“ท่านผู้นำครับ เย่เทียนเฉินจะสามารถรับผิดชอบภารกิจที่สำคัญนี้ได้หรือไม่ ผมยังไม่ค่อยมั่นใจ…” หยางอี้มองท่านผู้นำแล้วพูดออกมาอย่างเป็นกังวล
“เรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นใครก็คาดเดาไม่ได้ แต่ดูจากตอนนี้แล้ว เย่เทียนเฉินเหมาะสมที่สุด และเรื่องนั้นก็ยังไม่ได้มาถึงเร็วขนาดนี้ ไว้ค่อยดูกันอีกทีเถอะ!” ในตอนที่ท่านผู้นำกล่าวประโยคนี้ก็อดไม่ได้ที่จะกังวลขึ้นมา
เรื่องที่สามารถทำให้ท่านผู้นำกังวลจนขมวดคิ้วได้ ย่อมไม่ใช่เรื่องเล็กอะไรอย่างแน่นอน เรื่องที่เขาและหยางอี้ปรึกษากันสองคน เพียงพอที่จะสั่นสะท้านไปทั่วทั้งประเทศจีนหรือกระทั่งทั่วทั้งโลก ประเทศใหญ่ๆ หลายประเทศต่างติดตามอย่างใกล้ชิด เพียงแต่ว่ายังไม่ได้ปะทุออกมาเท่านั้น แต่มีสัญญาณต่างๆ แสดงออกมาให้เห็น เมื่อเรื่องนี้ปะทุออกมาเกรงว่าจะกลายเป็นวิกฤตการณ์ไปทั่วทั้งโลก ตอนนี้ยังอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างหนัก
“ถ้าอย่างนั้นความหมายของท่านก็คือ…” หยางอี้อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“ค่อยๆ เดินไปทีละก้าวเถอะ เมื่อถึงเวลาที่จำเป็นก็ให้เย่เทียนเฉินรับทำภารกิจนี้ โอกาสที่มีชีวิตรอดกลับมายังคงมีน้อยมาก แต่ด้วยความเดือดร้อนและการกระตุ้นที่แปลกประหลาด ฉันเชื่อว่าไอ้หนูคนนี้จะชอบแน่ๆ” ท่านผู้นำอดไม่ได้ที่จะพูดยิ้มๆ
“ครับ หวังว่าเรื่องนี้จะสามารถยืดเยื้อไปได้อีกหลายปี ไม่งั้นเมื่อถึงเวลาทั้งโลกจะตกอยู่ในความหวาดกลัว ไม่ใช่เรื่องที่ประเทศใดประเทศหนึ่งจะสามารถควบคุมเอาไว้ได้ จะกลายเป็นอันตรายต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด ถึงตอนนั้นหวังว่าจะมีคนสามารถป้องกันได้ ป้องกันเอาไว้ก่อน!” หยางอี้เองพูดแล้วถอนหายใจออกมา