วันต่อมา ในตอนที่คนที่พอมีตำแหน่งอยู่บ้างรู้ว่าจะมีเรื่องที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงเกิดขึ้นหลังจากนี้ คิดไม่ถึงว่าทั้งหมดจะเงียบสงบเช่นนั้น
เย่เทียนเฉินแบกโลงศพไปที่ตระกูลฉิน อัดฉินเทาหยวนอย่างแรง ฆ่าฉินเหิง ทำให้ฉินอี้โมโหจนตาย นี่ก็นับว่าเป็นเรื่องที่รุนแรงมากแล้ว แต่ตอนนี้ก็ยังฆ่าล้างตระกูลลั่วทั้งตระกูลอีก กล่าวได้ว่าเป็นเรื่องครึกโครมในหมู่เรื่องครึกโครม ครึกโครมเป็นอย่างมาก ข่าวนี้ควรจะสั่นสะเทือนไปทั่วประเทศ ไม่สามารถซาลงได้ไปเนิ่นนาน ไหนเลยจะรู้ว่าเรื่องใหญ่ทั้งสองเรื่องที่สั่นสะท้านขนาดนี้ เพียงพริบตาเดียวก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีข่าวออกมาอีก ไม่มีสื่อไหนรายงานออกมา และไม่มีการแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ เหมือนกับโยนหินลงมหาสมุทรอย่างไรอย่างนั้น
คนส่วนใหญ่ทำได้เพียงวิพากษ์วิจารณ์กันเบาๆ ลับหลังเท่านั้น ส่วนคนที่มีตำแหน่งอยู่บ้างกลับปิดปากเงียบ พวกเขารู้ว่าจะต้องมีคนระดับสูงกดสองเรื่องนี้ให้เงียบลงไป และคนที่สามารถกดเรื่องใหญ่สองเรื่องนี้ลงได้จะต้องไม่ใช่คนธรรมดาโดยเด็ดขาด เป็นไปได้มากกว่าจะเป็นท่านผู้นำระดับสูงหลายท่านนั้น ดังนั้นพวกเขาจึงไม่หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอีกอย่างชาญฉลาด ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากพูดอะไรมั่วๆ ออกไปก็เป็นไปได้มากว่าจะมีความผิดมาถึงตัวเอง
ในขณะเดียวกันคนจำนวนมากก็มีความคิดเกี่ยวกับตระกูลเย่ใหม่ เปลี่ยนมุมมองต่อเย่เทียนเฉินใหม่ ใครก็คิดไม่ถึงว่า เย่เทียนเฉินบุกไปตระกูลฉิน ฆ่าล้างตระกูลลั่ว ทำเรื่องราวที่ครึกโครมไปทั่วประเทศขนาดนี้ก็ยังไม่มีเรื่องอะไรเลยแม้แต่น้อย คนคนนี้จะต้องมีพวกอยู่เบื้องบนอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นคงไม่อาจกดเรื่องนี้ลงไปได้ นี่ทำให้คนหลายคนสงสัยเป็นอย่างมาก คนที่เคยเป็นตัวตลกไปทั่วทั้งเมืองหลวง มีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะตัวไร้ค่าและลูกหลานไม่เอาไหน ทำไมอยู่ดีๆ ถึงได้ร้ายกาจขึ้นมาแบบนี้ได้?
ตระกูลเย่ที่ตกต่ำไปนานแล้ว ตระกูลเย่ที่แม้แต่ผู้ทรงอิทธิพลใต้ดินแห่งเมืองหลวงยังกล้าที่มารังแกถึงประตูบ้าน ทำไมอยู่ดีๆ ถึงได้มีการสนับสนุนจากเบื้องบนได้?
เรื่องนี้ถูกท่านผู้นำสูงสุดและหยางอี้กดเอาไว้จริงๆ คนที่รู้เรื่องนี้อย่างน้อยต้องเป็นคนที่มีตำแหน่งอยู่บ้าง ส่วนประชาชนธรรมดาทั่วไปไม่สามารถรู้ได้ และไม่ได้ยินข่าวประเภทนี้เลย ส่วนข่าวเรื่องสามพ่อลูกตระกูลลั่วที่ก่อนหน้านี้เผยแพร่อยู่บนอินเทอร์เน็ต บ้างก็ถูกลบ บ้างก็ถูกปิดกั้น บ้างก็ถูกเว็บไซต์แก้ข่าวลือ ชาวเน็ตเองก็ไม่ได้มีอารมณ์ร่วมมากมายขนาดนั้น จึงค่อยๆ เงียบไป
ส่วนคนที่มีตำแหน่งสูงเหล่านั้น แต่ละคนล้วนฉลาดเป็นกรด ขอเพียงมีลมพัดต้นหญ้าเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็รู้ได้ว่าจะทำอย่างไร มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่ในเวลาแบบนี้จะพูดจามั่วซั่วไปทุกที่
ในตอนที่ในใจของคนจำนวนมากกำลังสั่นสะท้านเพราะชื่อ‘เย่เทียนเฉิน’ อยู่นั้น เย่เทียนเฉินที่เป็นเจ้าของเรื่องกลับสวมเสื้อยืดสีขาว ส่วนล่างสวมกางเกงชายหาดลายดอกไม้ ที่เท้าก็สวมรองเท้าแตะคู่หนึ่ง ยืนอยู่ตรงประตูรั้วของมหาวิทยาลัยหลงเถิง หาวออกมาครั้งหนึ่ง คนที่มาลงทะเบียนเยอะเหมือนกับน้ำทะเล นักศึกษามหาวิทยาลัยปีที่หนึ่งเปิดเรียน โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงอันดับหนึ่งอย่างมหาวิทยาลัยหลงเถิง เป็นสถานที่ในฝันของเหล่านักศึกษา เมื่อมองดูนักเรียนใหม่ที่เดินผ่านไปผ่านมาแต่ละคนล้วนยิ้มอย่างภาคภูมิใจและมีความสุข
“นักศึกษาปีหนึ่งที่มาลงทะเบียนเชิญทางด้านนี้ ส่วนนักศึกษาคนอื่นๆ ไปรายงานตัวอีกด้านหนึ่ง!” อาจารย์อ้วนท้วนคนหนึ่งถือโทรโข่งพูดเสียงดัง
เย่เทียนเฉินมองไปทางซ้ายมือ ทั้งซ้ายและขวาของสถานที่นั้นมีแผ่นป้ายอันใหญ่อยู่ ด้านบนเขียนด้วยตัวอักษรสีแดงว่า ‘สถานที่ลงทะเบียนของนักศึกษาปีหนึ่ง’
ทั้งซ้ายทั้งขวาของสถานที่นั้นมีแถวยาวดั่งมังกร เย่เทียนเฉินมองแล้วจึงเดินไปยังท้ายแถว ไหนเลยจะรู้ว่าเพิ่งจะออกเดินก็ได้ยินเสียงร้องของผู้หญิงจากด้านหลัง เย่เทียนเฉินหันไปมอง พบผู้หญิงคนหนึ่งลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ เธอกำลังล้มลงไปบนพื้น อาจเป็นเพราะเธอผอมแห้งจนเกินไป พอมาลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ขนาดนี้จึงกินแรงไปไม่น้อย ทำให้จุดศูนย์ถ่วงไม่มั่นคง
สายตาเฉียบแหลมการกระทำว่องไว เย่เทียนเฉินใช้มือขวาประคองผู้หญิงคนนั้นเอาไว้ ส่วนมือขวาก็รับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ของเธอ
“อา ขะ ขอบคุณนายมาก!” ผู้หญิงคนนั้นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอับอาย ใบหน้าเล็กๆ แดงระเรื่อ มองไปยังเย่เทียนเฉินพลางกล่าว
เย่เทียนเฉินกำลังจะพูดว่าไม่ต้องขอบคุณ แต่ในตอนที่เขามองใบหน้าของผู้หญิงคนนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง หากจะกล่าวว่าผู้หญิงที่สวยมากๆ จะสามารถ ทำให้ผู้คนประทับใจได้ง่าย เช่นนั้นก็ยังมีผู้หญิงอีกประเภทหนึ่งที่ทำให้ผู้คนประทับใจได้ยิ่งกว่าผู้หญิงสวยๆ นั่นก็คือผู้หญิงที่ดูบริสุทธิ์ผุดผ่อง บนหน้าไม่มีความรู้สึกของการแต่งหน้าเลยแม้แต่น้อย ดูแล้วสดชื่นเป็นอย่างมาก พูดให้ชัดก็คือ ไม่ต้องผัดแป้งทาหน้าก็มีผิวเรียบเนียนกระจ่างใสได้ ไม่ต้องติดขนตาปลอม ก็มีดวงตาที่งดงามได้ เป็นความรู้สึกแบบนี้
ผู้หญิงตรงหน้าก็ให้ความรู้สึกสดชื่นบริสุทธิ์แบบนั้น มีใบหน้าที่จัดอยู่ในประเภทน่ารัก สูงประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร รูปร่างดีเป็นอย่างมาก สวมชุดเดรสสีขาวที่ดูออกได้เลยว่าไม่ใช่ของแพง แต่นี่กลับไม่ได้มีผลกระทบต่อความโดดเด่นของเธอ สิ่งที่เย่เทียนเฉินรู้สึกมากที่สุดก็คือ ผู้หญิงคนนี้มีเงาของนางเอกจากเรื่องรักใต้ต้นซานจา[1]อยู่ และมีความคล้ายคลึงกับผู้หญิงที่ตนรักมากที่สุดในช่วงยุคสิ้นโลก
“มะ ไม่เป็นไร ฉันเชื่อเย่เทียนเฉิน เธอชื่ออะไรเหรอ?” เย่เทียนเฉินได้สติกลับมา เอ่ยถามไปด้วยรอยยิ้ม
“ฉันชื่อเสี้ยวหยา!” ผู้หญิงคนนั้นพูดด้วยรอยยิ้มหวาน
“หยาเอ๋อร์ เหมือนกับชื่อผู้หญิงที่ฉันรักลึกซึ้งในช่วงยุคสิ้นโลก…” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะจมลงสู่ความทรงจำ พูดพึมพำกับตัวเอง
“นะ นายพูดอะไรนะ?” เสี้ยวหยาได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ
“อา มะ ไม่มีอะไร…”
“ขะ ขอบคุณนายมากนะ ฉันไปต่อแถวก่อน…”
เมื่อเห็นเงาหลังของเสี้ยวหยาที่ค่อนข้างผอมบางแต่กลับลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่โต ทำให้ผู้คนมีความรู้สึกที่อยากจะปกป้อง โดยเฉพาะเสี้ยวหยาที่มีลักษณะบริสุทธิ์ ให้ความรู้สึกที่ไม่อาจฝืนสบประมาทได้ เธอมีความคล้ายคลึงกับผู้หญิงที่เย่เทียนเฉินรักอย่างลึกซึ้งในช่วงยุคสิ้นโลก ที่สำคัญที่สุดก็คือในชื่อของผู้หญิงที่เย่เทียนเฉินรักอย่างลึกซึ้งในช่วงยุคสิ้นโลกก็มีคำว่า ‘หยา’ อยู่เช่นเดียวกัน นี่คือความบังเอิญหรือเป็นพรหมลิขิต?
ได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ เย่เทียนเฉินย่อมไม่มีทางได้พบกับสหายในช่วงเวลาเหล่านั้นอีกแล้ว และไม่อาจได้พบผู้หญิงที่ติดตามตนเองอีก แต่ในโลกนี้ถึงกับมีผู้หญิงที่คล้ายคลึงกับคนที่ตัวเองรักอย่างลึกซึ้งในช่วงยุดสิ้นโลก รูปร่างหน้าตาก็คล้ายคลึงกัน นี่ก็เพื่อตามหาการคุ้มครองของตนอีกครั้งหรือ?
“หยาเอ๋อร์ นี่เป็นเธอที่ข้ามโลกมาหรือเปล่า? หากว่ามีชีวิตมาที่โลกนี้จริงๆ ฉันก็ยังเต็มใจที่จะรักเธอไปตลอดชีวิต!” เย่เทียนเฉินพูดกับตัวเองในใจ
ในช่วงยุดสิ้นโลก ผู้หญิงที่เย่เทียนเฉินรักที่สุดได้ตายไปแล้ว ในตอนนั้นเขายังไม่มีความแข็งแกร่งมากพอ ยังคงอ่อนแอ หยาเอ๋อร์ คนที่ติดตามอยู่ข้างกายเขารวมฝ่าฟันความทุกข์ทรมานมาด้วยกัน ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน เป็นความรู้สึกหนึ่งที่เย่เทียนเฉินจดจำไว้ไม่ลืมเลือน ต่อให้มาเกิดใหม่ที่โลกแห่งนี้เขาก็ไม่มีทางลืมว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อว่าหยาเอ๋อร์ ไม่เคยทอดทิ้งไม่เคยยอมแพ้ต่อเขา สาบานว่าจะติดตามเขาไปจนตาย ในช่วงเวลาที่เขาอ่อนแอที่สุดก็ช่วยเหลือเขา ในช่วงเวลาที่เขาแข็งแกร่งก็ยังคงอรอยู่ข้างกายเขา
จนมาถึงการต่อสู้ครั้งหนึ่งกับผู้แข็งแกร่ง สู้กันจนบ้าคลั่ง สู้กันจนสั่นสะเทือน จนกระทั่งเย่เทียนเฉินกลับไป หยาเอ๋อร์ก็ได้ตายไปแล้ว ถูกฝังอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง คืนนั้นเย่เทียนเฉินแผดเสียงคำรามลั่นฟ้า โกรธแค้นจนแทบคลั่ง โศกเศร้าจนร่ำร้องต่อสวรรค์ หลั่งเลือดไกลนับหมื่นลี้ ระเบิดฆ่าสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งซึ่งล่วงล้ำเข้ามาในอาณาเขตของเผ่าพันธุ์มนุษย์กลางอากาศจนสิ้น ใช้เลือดสดๆ เซ่นไหว้ให้เหยาเอ๋อร์
“หลีกทางๆ ทุกคนหลีกทางให้ฉันซะ…”
ตอนนี้เอง ชายฉกรรจ์สองคนที่สวมเสื้อกล้ามสีดำ บนสองมือซ้ายขวามีรอยสักน่าเกรงขามอยู่ กำลังผลักกลุ่มคนรอบๆ ออก ราวกับมีคนใหญ่คนโตมาอย่างไรอย่างนั้น
หลายคนถูกชายฉกรรจ์ที่น่ากลัวสองคนนี้ผลักออก เย่เทียนเฉินเองก็ได้สติกลับมา มองไปยังทางของสองคนนี้ เห็นว่าเบื้องหน้าโต๊ะลงทะเบียนนักศึกษาปีหนึ่งที่เสี้ยวเหยาได้ไปต่อแถวนั้น ใกล้จะได้ลงทะเบียนแล้ว นี่ทำให้เย่เทียนเฉินวางใจไปไม่น้อย เธอเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ขนาดนั้น ไม่สะดวกเลยจริงๆ ไม่ว่าจะอย่างไร สำหรับผู้หญิงที่มีความคล้ายคลึงกับผู้หญิงที่เขารักอย่างลึกซึ้งในช่วงยุคสิ้นโลกคนนี้ เย่เทียนเฉินก็ยังมีความรู้สึกดีๆ อยู่บ้าง หากว่าเธอต้องการก็จะช่วยเธอแน่นอน นี่เป็นความซับซ้อนอย่างหนึ่งของผู้ชาย
ในตอนที่ทุกคนต่างตกใจไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นนั้น ต่างมองไปยังส่วนท้ายสุดของเส้นทาง ไม่นานก็มีรถสปอร์ตบูกัตติเวย์รอนที่หรูหราเป็นอย่างมากคันหนึ่งขับตรงมาถึงประตูมหาวิทยาลัยหลงเถิง และขับมาจนถึงส่วนลงทะเบียนสำหรับนักศึกษาปีหนึ่ง เมื่อรถหยุดลง ชายฉกรรจ์น่ากลัวทั้งสองคนก็รีบยิ้มแล้วเดินเข้าไปเปิดประตู
มีเด็กวัยรุ่นอายุประมาณสิบหกปีคนหนึ่งลงมาจากรถ สวมสูทแบรนด์เนมทั้งตัว ที่หูทั้งสองข้างใส่ตุ้มหู บนมือทั้งสองข้างสวมใส่แหวนบราคาแพง แค่มองก็รู้ว่าเป็นทายาทตระกูลร่ำรวยคนหนึ่ง เป็นคนที่ให้ความรู้สึกเหมือนตัวละครคุณชายชั้นสูงประเภทนั้น เพียงแต่ไม่มีใครสามารถเดาได้ว่าคนๆ นี้เป็นลูกหลานของตระกูลไหนกันแน่ ?
หลังจากที่เด็กคนนั้นลงมาจากรถก็มองไปยังผู้คนรอบๆ ด้วยสายตาไม่พอใจ ให้ความรู้สึกเหมือนนายน้อยนายท่าน เดินไปเบื้องหน้าโต๊ะลงทะเบียน ตบลงบนโต๊ะอย่างโอหังแล้วพูดว่า
“เซวียนเยวี๋ยนอวี่ ลงทะเบียนนักศึกษาปีหนึ่งของมหาวิทยาลัยหลงเถิง!”
ใครก็คิดไม่ถึงว่า คนที่ดูผิวเผินเหมือนเด็กอายุสิบหกปีคนนี้จะถึงกับเป็นนักศึกษาปีหนึ่งของมหาวิทยาลัยหลงเถิง แต่ในใจของคนจำนวนมากก็ทราบดีว่า ด้วยท่าทางโอหังอวดดีของเด็กคนนี้ คงจะไม่สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยหลงเถิงได้ บ้านของผู้อื่นเขามีเงิน ย่อมต้องมีปัญญาซื้ออย่างแน่นอน
“เซวียนเยวี๋ยนอวี่? เด็กคนนี้เป็นคนของตระกูลเซวียนเยวี๋ยน?”
“เป็นไปไม่ได้น่ะ ตระกูลนี้ดูเหมือนจะหายไปจากโลกเบื้องหน้านานแล้ว ทำไมถึงโผล่มาอีก?”
“ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนเคยกุมอำนาจทางการเศรษฐกิจภายในประเทศ ใครก็สั่นสะกิดไม่ได้ ขนาดรัฐก็ยังทำไม่ได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมสุดท้ายถึงได้หายไป”
“ตอนนี้ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนปรากฏสู่โลกแล้ว เป็นไปได้มากว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น พวกเราก็อยู่ห่างๆ สักหน่อย อย่าไปหาเรื่องคนๆนั้นจะดีกว่า!”
นักศึกษารอบๆ ที่พอมีความรู้อยู่บ้าง จะมากจะน้อยก็รู้จักตระกูลเซวียนเยวี๋ยน จึงอดไม่ได้ที่จะถอนใจอย่างประหลาดใจ นี่เป็นครั้งหนึ่งที่มีตระกูลดำรงอยู่ตั้งแต่สมัยโบราณของประเทศจีนจนถึงปัจจุบันนี้ เคยกุมอำนาจทางเศรษฐกิจที่เป็นชีพจรของประเทศ คิดได้เลยว่าจะทำให้ผู้คนต้องสะท้านขนาดไหน ต่อให้หลายปีมานี้ไม่ได้ปรากฏสู่โลก ก็เพียงพอที่จะทำให้หลายคนประหลาดใจจนทนไม่ไหวแล้ว
“รอสักครู่ หลังจากที่ครูจัดการขั้นตอนให้นักเรียนคนนี้เสร็จ ก็จะจัดการให้เธอ!” อาจารย์หญิงคนหนึ่งพูดกับเซวียนเยวี๋ยนอวี่ด้วยรอยยิ้ม
“หึ ขอโทษด้วย ฉันเซวียนเยวี๋ยนอวี่แต่ไหนแต่ไรก็ไม่ชอบรอ ฉันหวังว่าเธอจะรีบจัดการเรื่องเข้าเรียนให้ฉันซะ ไม่งั้นผลลัพธ์คงไม่ใช่อะไรที่เธอรับไหวแน่!”
เสียงของเซวียนเยวี๋ยนอวี่ไม่สูง แต่โอหังเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคำพูดนี้ออกมาจากปากของเด็กอายุสิบหกปีคนหนึ่ง จึงทำให้ผู้คนรู้สึกไม่ค่อยสบาย ช่างโอหางเกินไปแล้ว!
[1] รักใต้ต้นซานจา เป็นภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากนวนิยายขายดีของ “อ้ายหมี่” ว่าด้วยความรักแสนเศร้าระหว่างหนุ่มสาวคู่หนึ่งในห้วงแห่งการปฏิวัติวัฒนธรรม ซึ่งเข้าฉายในจีนเมื่อปลายปี 2010 และประสบความสำเร็จทำรายได้ถล่มทลาย ทุบสถิติตลอดกาลของภาพยนตร์จีนแผ่นดินใหญ่ที่ดัดแปลงจากวรรณกรรมทุกเรื่อง