ลั่วซงเฉิงเป็นผู้ถือหางเสือของตระกูลลั่ว หลังจากที่พิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว ก็ตัดสินใจว่าจะตรวจสอบ เย่เทียนเฉินก่อนค่อยว่ากันอีกที เพราะมีสัญญาณหลายอย่างบ่งบอกว่า ชายผู้ที่กลายเป็นตัวตลกของผู้คนทั่วทั้งเมืองหลวงคนนี้ เป็นไปได้มากว่าได้ปั่นหัวคนทั้งเมืองหลวง เขาเป็นคนที่ฉลาดที่สุดต่างหาก
กล้าลงมือทำร้ายหลานชายตระกูลลั่วทั้งสองของตน โดยไม่เกรงกลัวฐานะเบื้องหลังของพวกเขาเลยสักนิด โดยเฉพาะการทำร้ายลั่วเหลยหลานชายคนโตแห่งตระกูลลั่วที่ได้เข้าร่วมกองกำลังเหยี่ยวนักล่าจนไม่มีแม้แต่แรงจะตอบโต้ สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้คนรู้สึกสงสัยมาก รวมกับการที่ลั่วซงเฉิงรู้มาว่าชางหลางหนึ่งในสามราชันนักรบแห่งประเทศจีนเป็นคนจัดการเรื่องที่เย่เทียนเฉินออกจากกองทัพด้วยตัวเอง และจัดข้อมูลของเขาให้เป็นความลับระดับหนึ่ง นี่ยิ่งทำให้เขาไม่เข้าใจมากขึ้น
ลูกไม่เอาไหนที่เคยเป็นลูกหลานเสเพล นำพาความอัปยศอดสูมาสู่ครอบครัว เย่เทียนเฉินที่กลายเป็นเรื่องขบขันของผู้คนทั้งเมืองหลวง จู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นคนที่ทำให้ผู้คนมีความรู้สึกอ่านไม่ออก และเสียวสันหลัง ตกลงแล้วเป็นเพราะเขาระเบิดศักยภาพออกมาครั้งใหญ่ หรือเป็นเพราะปิดบังมาตลอด จนเพิ่งจะแสดงความสามารถของตนเองออกมาในตอนนี้กัน?
หากกล่าวว่าเย่เทียนเฉินมีตรงไหนที่คู่ควรให้ผู้อื่นอิจฉา นั่นก็มีอยู่เพียงหนึ่งข้อก็คือ การได้แอบดูหลิ่วหรูเหมยสาวงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงอาบน้ำ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ชายหลายคนในเมืองหลวงกล้าคิดแต่ไม่กล้าทำ แต่เด็กน้อยคนนี้ทำไปแล้ว ดูไปแล้ว ชื่นชมไปแล้ว
“พ่อ งั้นผมไปจัดการก่อนนะครับ!” ลั่วฉีบุตรชายคนที่สองของตระกูลลั่วเอ่ยขึ้น
“ไปเถอะ จำคำของฉันไว้ให้ดีล่ะ หากว่ายังตรวจสอบเย่เทียนเฉินไม่ชัดเจน โดยเฉพาะถ้ายังไม่ได้แฟ้มข้อมูลที่ถูกจัดเป็นความลับระดับหนึ่งมา ก็อย่าทำอะไรบุ่มบ่ามโดยเด็ดขาด” ลั่วซงเฉิงคิดครู่หนึ่งก่อนกล่าวออกมา
“ทราบแล้วครับ!”
เมื่อเห็นว่าลั่วฉีลูกชายคนที่สองออกไปจากห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์แล้ว ลั่วซงเฉิงก็นั่งลงบนโซฟา จุกซิการ์มวนหนึ่ง แล้วสูบเข้าไปเต็มปอดหลายครั้ง เขามีลางสังหรณ์ไม่ดีอยู่ตลอด แต่ก็บอกไม่ถูกว่าทำไม เนื่องด้วยคนที่ข้อมูลส่วนตัวถูกจัดเป็นความลับระดับหนึ่งและเก็บรักษาไว้ที่สำนักความมั่นคงแห่งชาติได้ ใช้เพียงนิ้วมือทั้งสิบก็นับได้หมด และ เย่เทียนเฉินก็ยังเป็นหนึ่งในนั้น
เย่เทียนเฉินทำร้ายลั่วเหลยกับลั่วเทาซึ่งเป็นคนของตระกูลลั่ว เรื่องนี้ไม่เพียงทำให้ตระกูลต้องช็อค ตระกูลหลายตระกูลในเมืองหลวงต่างก็สงสัยแล้วสงสัยอีก ล่ำลือกันไปอย่างโกลาหล คนที่มีหน้ามีตาสักหน่อยต่างก็ทราบ ตระกูลลั่วเองก็ถือว่าเป็นตระกูลที่มีหน้ามีตาในเมืองหลวง โดยเฉพาะการเลือกตั้งคณะกรรมาธิการทหารที่กำลังจะมีขึ้นในครั้งนี้ เป็นไปได้สูงว่าลั่วซงเฉิงจะเข้าไปเป็นคณะกรรมาธิการทหารได้ เมื่อถึงเวลานั้นฐานะของตระกูลลั่วก็จะสูงขึ้นอีกระดับหนึ่ง ในตอนนี้จึงไม่มีใครกล้าหาเรื่องตระกูลลั่ว
หากกล่าวว่ามีคนทำร้ายหลานชายของตระกูลลั่วทั้งสองคน ก็คงไม่ทำให้อิทธิพลทั้งดำและขาวในเมืองหลวงช็อคได้ถึงขนาดนี้ เพราะว่าในโลกนี้มีคนเก่งที่คนไม่รู้จักอยู่มากมาย แต่ว่าคนที่ทำร้ายลั่วเหลยกับลั่วเทากลับเป็นเย่เทียนเฉิน จึงทำให้ผู้คนไม่กล้าเชื่อถือ เนื่องจากใครๆ ต่างก็รู้ว่าเย่เทียนเฉินเป็นเศษสวะคนหนึ่ง เป็นลูกล้างผลาญที่ไร้ความสามารถ ทำไมอยู่ดีๆ ก็กลายเป็นคนอันตรายเช่นนี้ได้? เรื่องนี้ทำให้ผู้คนคิดไม่ออกจริงๆ
ทะเลหนานไห่เมืองเมืองหลวง ภายในตึกสูงแห่งหนึ่ง มีไฟส่องสว่าง ทหารสองนายที่ดูน่าเกรงขาม และสวมใส่ชุดทหารอย่างเรียบร้อย ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมราวกับหลาว ด้านหน้าของพวกเขามีชายวัยกลางคนคนหนึ่งอายุประมาณสามสิบกว่าปี ชายวันกลางคนผู้นี้สูงประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสามเซนติเมตร กริยาท่าทางมีความแข็งกร้าว โดยเฉพาะความเฉียบคมของดวงตาทั้งสอง
ชายวัยกลางคนคนนี้ก็คือผู้บัญชาการกองกำลังเหยี่ยวนักล่าชื่อว่าเหยียนหลง เป็นหนึ่งในสามราชันนักรบแห่งประเทศจีน ระดับเดียวกันกับชางหลาง หลายคนต่างกำลังคาดคะเนอยู่ว่า ชางหลางแข็งแกร่งกว่าหรือเป็นเหยียนหลงที่แข็งแกร่งกว่ากันแน่ พวกเขาทั้งสองคนไม่เคยประมือกันมาก่อน ต่างได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในสามราชันนักรบบูรพา ใครแข็งแกร่งหรืออ่อนแอกว่านั้นก็ไม่อาจทราบ
สองคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเหยียนหลงก็คือครูฝึกขั้นหนึ่ง เจียงเหมิงกับเฟยอวิ๋น สมาชิกกองกำลังเหยี่ยวนักล่าทุกคนต่างก็ได้รับการรับเลือกจากคนหลายพันหลายหมื่น และการประเมินนับครั้งไมถ้วน ถึงจะผ่านเข้ามาได้ กล่าวได้ว่าทุกคนล้วนเป็นยอดทหาร เป็นกองทัพส่วนบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดของประเทศจีนกองทัพหนึ่ง ขึ้นตรงต่อผู้บัญชาการสูงสุด แค่เข้าร่วมกองทัพเหยี่ยมได้ก็นับว่าเป็นเกียรติยศอันยิ่งใหญ่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการได้เป็นครูฝึกของยอดทหารเหล่านี้ ฝีมือย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน
“ลั่วเหลยถูกคนทำร้าย ได้ข่าวว่าถูกทำร้ายจนไม่มีกำลังตอบโต้ ไม่ทราบว่าพวกคุณได้ยินเรื่องนี้มาบ้างหรือเปล่า?” เหยียนหลงกล่าวถามพลางมองเจียงเหมิงกับเฟยอวิ๋น
“ผู้บัญชาการเหยียน เรื่องนี้ผมก็ได้ยินมาครับ ข่าวบอกว่าเย่เทียนเฉินเป็นคนทำ” เจียงเหมิงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นมา
“เย่เทียนเฉินเป็นใคร? มีข้อมูลของคนๆ นี้ไหม?”
เหยียนหลงเป็นผู้บัญชาการกองกำลังเหยี่ยวนักล่า เป็นคนทรหดซึ่งเกลียดความชั่วร้ายเข้ากระดูกดำ ในวันปกตินอกจากการปฏิบัติภารกิจ ก็มีเพียงการฝึกฝน ฝึกฝนทหารในกองกำลัง ฝึกฝนตนเอง เพิ่มความแข็งแกร่ง นี่คือชีวิตทั้งหมดของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่เคยได้ยินเรื่องของเย่เทียนเฉินมาก่อน
เฟยอวิ๋นพยักหน้าพลางก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เปิดแฟ้มเอกสารในมือพร้อมกับอ่าน “เย่เทียนเฉิน อายุยี่สิบปี เป็นลูกชายของเย่หงแห่งตระกูลเย่ในเมืองหลวง ตั้งแต่เด็กก็ไม่ศึกษาเล่าเรียน เอาแต่วิวาทและจีบผู้หญิง คนไม่เอาไหน เป็นเศษสวะที่ทุกคนยอมรับ ภายหลังแอบดูหลิ่หรูเหมยสาวงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวงอาบน้ำ จึงผิดใจกับตระกูลหลิ่ว นำความอัปยศและวิกฤตมาสู่ตระกูลเย่ หลังจากผ่านเรื่องนี้ไป คนๆ นี้ก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไปเป็นทหารและยังกลายเป็นทหารหน่วยรบพิเศษ ในการปฏิบัติภารกิจครั้งหนึ่ง ถูกลอบโจมตีที่ป่าหมอกดำ ครั้งนั้นมีทหารหน่วยรบพิเศษห้านายเสียชีวิตไป มีเพียงเย่เทียนเฉินกับทหารหญิงชื่อว่าหานเจี๋ยรอดชีวิตกลับมา จากนั้นเย่เทียนเฉินก็ออกจากกองทัพ ข้อมูลของเขาถูกนายพลชางหลางอนุมัติให้จัดเป็นเอกสารความลับระดับหนึ่ง และส่งไปเก็บรักษาไว้ที่สำนักความมั่นคงแห่งชาติด้วยตนเอง หลังจากที่กลับมาที่เมืองหลวง ก็เจอกับเหตุการณ์ขอถอนหมั้นของตระกูลฉี จากนั้นก็ถูกลั่วเหลยแห่งตระกูลลั่วใส่ร้าย จึงไปเอาคืนลั่วเหลยที่เทียนซ่างเหรินเจียน”
ไม่กล่าวไม่ได้ว่า กองกำลังเหยี่ยวนักล่าที่เป็นกองทัพส่วนบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในจีน รับผิดชอบต่อผู้นำระดับสูงโดยตรง มีความแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง เพียงยกหูโทรศัพท์ไม่กี่ครั้งก็นำข้อมูลของเย่เทียนเฉินทั้งหมดมาอยู่ในมือได้แล้ว นอกจากแฟ้มข้อมูลในช่วงที่เย่เทียนเฉินเข้าร่วมกองทัพจนกระทั่งออกจากกองทัพที่เอามาไม่ได้ ข้อมูลอื่นที่เหลือทั้งหมดต่างมาอยู่ในมือเรียบร้อยแล้ว
“คนไม่เอาไหน เศษสวะ ต่อให้เป็นทหารหน่วยรบพิเศษ ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของลั่วเหลยอย่างแน่นอน เรื่องนี้พวกคุณมีความคิดเห็นยังไง?” เหยียนหลงถามพลางขมวดคิ้ว
“ผู้บัญชาการเหยียน มีบางอย่างที่ไม่ทราบว่าควรจะพูดดีไหม” เจียงเหมิงมองเหยียนแล้วกล่าวออกมา
“พูด!”
“ข้างนอกมีคนพูดกันตลอดว่า ที่ลั่วเหลยสามารถเข้ากองกำลังเหยี่ยวนักล่าของพวกเราได้ เป็นเพราะมีสาเหตุมาจากปู่ของเขาลั่วซงเฉิง ดังนั้นหากว่าเป็นเช่นนี้จริง ฝีมือของลั่วเหลยก็เทียบไม่ได้กับสมาชิกกองกำลังเหยี่ยวนักล่าของพวกเราแน่นอน จะแพ้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”
“เรื่องของลั่วเหลย ผมเคยไปหาเบื้องบนเพื่อหารือมาก่อนแล้ว เขาไม่ได้เป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการของกองกำลังเหยี่ยวนักล่าของพวกเรา ได้รับการยกเว้นการประเมินขั้นต้น และเข้าร่วมการฝึกซ้อมสุดท้ายในช่วงขั้นท้ายสุด ผมได้ดูคะแนนของเขาแล้ว ยังมีความห่างชั้นจากความต้องการที่พวกเรากองกำลังเหยี่ยวนักล่าคัดเลือกสมาชิกอยู่มากจริงๆ แต่ฝีมือก็ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้น ไม่ใช่คนที่ทหารหน่วยรบพิเศษธรรมดาๆ จะต่อกรด้วยได้ ดังนั้นการที่ลั่วเหลยถูกทำร้ายจนไม่มีแรงตอบโต้ จะต้องมีลับลมคมในแน่นอน” เหยียนหลงกล่าว
จริงๆ แล้ว การที่เหยียนหลงซึ่งเป็นผู้บัญชาการของกองกำลังเหยี่ยวนักล่าไถ่ถามเรื่องที่ลั่วเหลยถูกทำร้ายเสียจนยับเยินในครั้งนี้ด้วยตนเอง ก็เป็นเพราะไม่ว่าจะอย่างไรลั่วเหลยก็นับว่าเป็นสมาชิกที่อยู่ในช่วงฝึกฝนของกองกำลังเหยี่ยวนักล่า มีความเป็นไปได้ว่าจะสามารถกลายเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการ หากมีข่าวแพร่ออกไปว่าสมาชิกที่ได้รับเลือกของกองกำลังเหยี่ยวนักล่า ไร้ความสามารถ ถูกคนทำร้ายจนไม่มีแรงตอบโต้ล่ะก็ เหยียนหลงซึ่งมีฐานะเป็นหนึ่งในสามราชันนักรบจะเสียหน้าเป็นอย่างมาก
“ผู้บัญชาการเหยียน ผมได้ยินมาว่าลั่วซงเฉิงแห่งตระกูลลั่วเก็บเรื่องนี้ไว้ สั่งไม่ให้คนตระกูลลั่วทำอะไรบุ่มบ่าม” เฟยอวิ๋นมองเหยียนหลงแล้วกล่าวออกมา
“หือ? ลั่วซงเฉิงมีอำนาจมากมายมาแต่ไหนแต่ไร ถือหางพวกตัวเองเป็นอย่างมาก ครั้งนี้หลานชายสองคนถูกทำร้ายจนมีสภาพครึ่งเป็นครึ่งตาย แต่กลับอดทนกับเรื่องนี้ แปลกมาก!” เหยียนหลงอดไม่ได้ที่จะชะงักไปก่อนจะกล่าวออกมา
“ใช่ครับ เย่เทียนเฉินที่เป็นเรื่องขบขันของเมืองหลวง อยู่ๆ ก็กลายเป็นคนที่ทำให้ผู้คนต้องประหลาดใจ” เจียงเหมิงกล่าวออกมาพลางขมวดคิ้ว
เหยียนหลงคิดชั่วครู่ เขามาสอบถามเรื่องนี้ก็เพราะต้องการกู้หน้าให้กองกำลังเหยี่ยวนักล่าของตน ตั้งแต่ที่กองกำลังเหยี่ยวนักล่าถูกก่อตั้งขึ้นจนกระทั่งตนเองเป็นผู้บัญชาการ ล้วนไม่เคยเกิดเรื่องราวเช่นนี้มาก่อน ตอนนี้พอเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เขาก็ไม่ได้ทำเพื่อสิ่งอื่นใดนอกจากเพื่อกู้หน้าให้กับกองกำลังเหยี่ยวนักล่า
“ใช่แล้ว เรื่องนี้ชางหลางก็สอดมือเข้ามาด้วยเหรอ?” เหยียนหลงถาม
“ใช่ครับ นายพลชางหลางจัดข้อมูลของเย่เทียนเฉินเป็นความลับระดับหนึ่ง แล้วให้คนส่งไปเก็บรักษาไว้ที่สำนักความมั่นคงแห่งชาติด้วยตัวเอง” เฟยอวิ๋นกล่าว
“เฮอะ เจ้าหมอนี่ก็สอดมือเข้ามายุ่งด้วยเหรอเนี่ย ดูท่าแล้วเย่เทียนเฉินคงจะไม่เรียบง่ายเหมือนภายนอกซะแล้ว คงจะไม่ใช่ลูกหลานเสเพลในสายทุกคนแน่ๆ บางทีเขาอาจจะปิดบังตัวเองเป็นอย่างดี หาคนไปตรวจสอบเขาซะ” เหยียนหลงถอนหายใจก่อนกล่าวออกมา
“ครับผม!” เจียงเหมิงกับเฟยอวิ๋นตอบพลางยืดตัวตรง
“ออกไปเถอะ สรุปแล้วพวกเรากองกำลังเหยี่ยวนักล่าจะเสียหน้าไม่ได้ หากได้โอกาสก็สั่งสอนเจ้าเย่เทียนเฉินคนนี้สักหน่อย อย่าให้คนอื่นมาดูถูกคนกองกำลังเหยี่ยวนักล่าของพวกเรา”
เมื่อเห็นว่าเจียงเหมิงกับเฟยอวิ๋นออกไปจากห้องแล้ว เหยียนหลงก็ไตร่ตรองชั่วครู่ ยกหูโทรศัพท์บนโต๊ะขึ้นมา ต่อสายไปยังเบอร์โทรศัพท์เบอร์หนึ่ง เสียงดังประมาณสามครั้งอีกฝ่ายก็รับสาย
“ฮัลโหล นั่นใคร?”
“ชางหลาง นี่ฉันเองเหยียนหลง” เหยียนหลงกล่าวเสียงเรียบ
“นายนี่เอง มีธุระอะไรเหรอ?” ชางหลางได้ยินว่าเป็นเหยียนหลงก็กล่าวถามอย่างเรียบๆ
“ไม่มีอะไร แต่อยากรู้อะไรบางอย่าง เกี่ยวกับสถานการณ์ของทหารหน่วยรบพิเศษคนหนึ่งที่ออกจากกองทัพไปแล้วของลูกน้องนาย”
“ใคร?”
“เย่เทียนเฉิน”
“โทษที ข้อมูลของเย่เทียนเฉินกลายเป็นความลับระดับหนึ่งของประเทศไปแล้ว ถ้านายอยากรู้ สามารถยื่นเรื่องดำเนินการตามปกติได้ ฉันยังมีเรื่องต้องไปทำ วางสายก่อนล่ะ!”
เหยียนหลงยังไม่ทันได้พูด ก็ถูกชางหลางวางสายใส่ เหยียนหลงโกรธจนขมวดคิ้ว เขากับชางหลางไม่นับว่าคุ้นเคยกัน และก็ไม่นับว่าเป็นคนแปลกหน้า ต่างได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในสามราชันนักรบแห่งประเทศจีน พวกเขาต่างก็เป็นคนทรหดที่เลือดร้อน ความจริงต่างก็ต้องการตัดสินแพ้ชนะ แต่ด้วยตำแหน่งของพวกเขา ต้องการจะลงมือก็ไม่ใช่เรื่องง่าย หากไม่มีเหตุผลที่ดีพอก็ไม่สามารถลงมือได้
“ชางหลาง จะต้องมีสักวันหนึ่งที่ฉันจะล้มนาย รอดูได้เลย” เหยียนหลงวางสาย พึมพำกับตนเอง
………………………………………………..