หลิงอวี่สวิ๋นไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมเย่เทียนเฉินจึงได้เลือกเรียนภาควิชาโบราณคดี ใครๆ ก็รู้ว่าภาควิชาโบราณคดีเป็นเอกวิชาที่ไม่เป็นที่นิยม ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับมหาวิทยาลัยหลงเถิงแล้ว ภาควิชาโบราณคดีเป็นวิชาที่ไม่นิยมเป็นอย่างมาก มีคนเพียงไม่กี่คน ทั้งภาควิชามีเราราวๆ สามสิบกว่าคนเท่านั้น ไม่ว่าใครก็สามารถคิดได้ว่า คนที่ศึกษาทางด้านโบราณคดีเป็นพวกไม่พูดไม่จา เป็นพวกหัวโบราณแข็งทื่อ เมื่อคิดว่าเย่เทียนเฉินจะกลายเป็นไอ้แว่นหัวโบราณ หลิงอวี่สวิ๋นก็รู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้
“ทำไมนายถึงได้เลือกเรียนเอกวิชาโบราณคดีล่ะ ทางภาควิชามีแค่หลายสิบคน เอกวิชานี้น่าเบื่อเกินไปหรือเปล่า?” หลิงอวี่สวิ๋นอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามเย่เทียนเฉิน
“คำตอบมีเพียงอย่างเดียว นั่นก็คืออาจารย์ที่ปรึกษาสาวสวย ฉันจำได้ว่าตอนที่เธอคุยกับเสี้ยวหยา เธอพูดว่าในมหาวิทยาลัยหลงเถิงมีอาจารย์ที่ปรึกษาที่สวยที่สุดอยู่ในภาควิชาโบราณคดี ดังนั้นฉันก็เลยลงทะเบียนเอกโบราณคดี เพื่อสาวสวยแล้วฉันยอมทนลำบากทุกอย่าง ต่อให้เป็นจูบแรกของฉันก็ไม่เสียดาย!” เย่เทียนเฉินพูดพลางทำท่าทางเพ้อฝัน
“ไปตายซะ ใครต้องการจูบแรกของนายกัน น่ารังเกียจ!” หลิงอวี่สวิ๋นรู้สึกอยากจะอ้วก
“ฮี่ๆ จูบแรกของฉันหวานหอมมากเลยทีเดียว ไม่งั้นจะลองสักหน่อยไหม…” จู่ๆ เย่เทียนเฉินก็หยอกล้อหลิงอวี่สวิ๋นขึ้นมา ตั้งใจทำปากจู๋เข้าไปใกล้อีกฝ่าย
“อา…ไอ้บ้า อย่าเข้ามา…” หลิงอวี่สวิ๋นเห็นเย่เทียนเฉินทำปากจู๋ขึ้นมาจริงๆ และทำท่าจะประทับลงมาที่ปากเล็กๆ ของตน จึงตกใจจนรีบวิ่งออกไป เย่เทียนเฉินเห็นว่าในที่สุดเธอก็รู้สึกกลัวแล้วจึงหัวเราะอย่างชั่วร้ายและวิ่งตามไป
ในยามเด็ก ในซอยเล็กๆ มีเพียงเย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นสองคน พวกเขาเล่นกันหยอกล้อกันจนกระทั่งเรียนจบโรงเรียนประถม ตอนนี้เติบโตขึ้นแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่ได้พบกันหลายปี แต่ความรู้สึกในวัยเด็กยังคงอยู่ เพียงแต่ความรู้สึกของหลิงอวี่สวิ๋นไม่เหมือนกับความรู้สึกของเย่เทียนเฉิน กระทั่งตัวเธอเองก็ไม่สังเกตเห็นก็เท่านั้น
เย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นหยอกล้อกันไปพลางวิ่งไปที่บริเวณรายงานตัวของภาควิชาโบราณคดีไปพลาง ตอนนี้เอง ชายฉกรรจ์สอง คนที่ยืนอยู่บริเวณไม่ไกลหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมา เมื่อสังเกตเห็นถึงทุกสิ่งทุกอย่างพลันมีท่าทางโหดเหี้ยมดุดันขึ้น
“หึ ไอ้หนูเย่เทียนเฉินยังกล้าออกมาจริงๆ ช่างไม่กลัวตายเอาซะเลย!” ชายฉกรรจ์ที่ถือกล้องส่องทางไกลพูดแล้วยิ้มออกมาอย่างโหดเหี้ยม
“คืนนี้มีความตายที่รอมันอยู่!” ชายฉกรรจ์อีกคนหนึ่งก็พูดอย่างดุร้าย
“ได้ยินว่าไอ้หนูนี่มีฝีมือไม่เลว พวกเราจำเป็นต้องคิดหาวิธีที่จะไม่มีข้อผิดพลาด อย่าให้มันหนีไปได้…”
“หนีไม่ได้หรอก กองกำลังถือมีดตัดฟืนสามร้อยกว่าคน ไม่ต้องพูดถึงฟันคนให้ตายเลย แค่ทำให้คนตกใจตายก็ยังได้ ต่อให้เย่เทียนเฉินจะร้ายกาจขนาดไหน ก็ต้องถูกฟันจนเละเป็นโจ๊ก!”
“อืม นายดูอยู่ที่นี่ ฉันจะไปรายงานพี่หู่!”
ชายฉกรรจ์ทั้งสองคนเป็นคนของอาหู่ อาหู่นั้นเพื่อที่จะสามารถจัดการเย่เทียนเฉินได้โดยไม่ให้มีข้อผิดพลาดใดๆ จึงส่งคนสนิทสองคนมาที่มหาวิทยาลัยหลงเถิง พอเย่เทียนเฉินปรากฏตัวก็ให้จับตามองอย่างเคร่งครัด ขอเพียงมีโอกาสลงมือ กองกำลังถือมีดตัดฟืนทั้งสามร้อย คนก็จะทะลักออกมากำจัดเย่เทียนเฉิน
นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่อาหู่จริงจังขนาดนี้ เมื่อก่อนที่เขาฆ่าคน กระทั่งคิ้วก็ไม่ขมวดเลยแม้แต่น้อย ส่งพี่น้องไปหาตัวต้นเรื่องโดยตรง แล้วใช้มีดตัดฟืนฆ่าให้ตายก็ใช้ได้แล้ว ส่วนเย่เทียนเฉินนั้นมีฝีมือแข็งแกร่งมาก รวมกับที่อาจจะมีอำนาจอยู่เบื้องหลัง อาหู่รู้ว่าหากไม่สามารถฆ่าเย่เทียนเฉินได้ในครั้งแรก ก็เป็นไปได้มากกว่าจะมีปัญหาใหญ่ที่สามารถจะทำให้ตนเองตายได้
ในตอนนี้ เย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นทั้งสองคนเดินเข้าไปในตึกของภาควิชาโบราณคดี หากจะพูดว่าเป็นตึกใหญ่ก็ไม่ใหญ่นัก มีเพียงสามชั้นเท่านั้น เนื่องจากเดิมทีนักศึกษาภาควิชาโบราณคดีก็ไม่มาก อาจารย์เองก็มีไม่กี่คนเท่านั้น
“ห้องของอาจารย์ที่ปรึกษาคงจะอยู่ที่ชั้นสาม ไปเถอะ!” หลิงอวี่สวิ๋นที่ยืนอยู่หน้าตึกของภาควิชาโบราณคดีพูดขึ้น
“หือ?”
เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เมื่อครู่นี้เขายังไม่ได้รู้สึกถึงอะไร แต่เมื่อยืนอยู่หน้าตึกภาควิชาโบราณคดีความรู้สึกได้ถึงการฟุ้งกระจายของพลังพิเศษอันแข็งแกร่ง ราวกับครอบคลุมทั้งตึกอยู่ แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก กระทั่งเย่เทียนเฉินเองก็ต้องตกใจ ถึงกับมีผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งถึงขั้นนี้อยู่เชียวหรือ
แต่ว่า ความรู้สึกนี้ค่อยๆจางลง ปรากฏอยู่เพียงแค่ไม่ถึงสิบวินาทีเท่านั้นแล้วก็จางหายไป เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจและสั่นไหวเล็กน้อย ภายในตึกภาควิชาโบราณคดีแห่งนี้จะต้องมีผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งซ่อนตัวอยู่อย่างแน่นอน มิเช่นนั้นคงจะไม่สามารถปล่อยพลังพิเศษอันแข็งแกร่งขนาดนี้ออกมาได้ ดูแล้ว โลกแห่งนี้จะมียอดฝีมือซ่อนอยู่เบื้องหลังไม่ยอมออกมาไม่น้อยเลยทีเดียว
“ไปเถอะ พวกเราไปดูกัน!”
ในขณะที่พูด เย่เทียนเฉินก็จับมือหลิงอวี่สวิ๋นเอาไว้ แล้วเดินเข้าไปในตัวตึกด้วยความรวดเร็ว เขาทำเช่นนี้ก็เพื่อที่จะปิดบังจากหูตาผู้คนเท่านั้น ความจริงแล้วคิดอยากจะดูสักหน่อยว่าเป็นใครที่แข็งแกร่งถึงขั้นที่สามารถปล่อยพลังพิเศษออกมาครอบคลุมทั่วทั้งตัวตึกได้ เขามีความอยากรู้อยากเห็นและมีความประหลาดใจเล็กน้อย
หลิงอวี่สวิ๋นรู้สึกแปลกใจ อยู่ดีๆ เย่เทียนเฉินก็จับมือของเธอ ทำให้ใบหน้าเล็กๆ ของเธอแดงระเรื่อ ในตอนที่เย่เทียนเฉินจูงมือเธอ เธอมักจะคิดถึงช่วงเวลาในวัยเด็กโดยไม่รู้ตัว เป็นความรู้สึกที่ทั้งสองอยู่ด้วยกันในตอนเด็ก ทำให้เธอรู้สึกคิดถึงจริงๆ
เย่เทียนเฉินจูงมือหลิงอวี่สวิ๋นวิ่งเหยาะๆ ไปตลอดทางมุ่งขึ้นไปที่ชั้นสาม ในตอนที่เขาวิ่งไปถึงหน้าห้องที่มีป้ายอาจารย์ที่ปรึกษาติดอยู่นั้นจึงค่อยหยุดลง มองไปยังห้องนั้นด้วยสายตาลึกล้ำ ความจริงแล้วในตอนที่เขาเพิ่งจะเหยียบย่างเข้ามาสู่ตัวตึกแห่งนี้ ก็รู้สึกได้ถึงการปะทุของพลังพิเศษอันแข็งแกร่งในชั้นสาม เพียงแต่น่าเสียดายในตอนที่เขาวิ่งมาถึงชั้นสามพลังพิเศษก็หายไปทั้งหมดแล้ว ในชั้นสามมีห้องของอาจารย์ที่ปรึกษาอยู่หลายท่าน เย่เทียนเฉินไม่สามารถตัดสินได้ว่าพลังพิเศษนี้แพร่ออกมาจากไหน เพราะว่ามันได้เลือนหายไปทั้งหมดและถูกเก็บซ่อนเอาไว้แล้ว
“สามารถเก็บซ่อนพลังพิเศษได้ในพริบตา ถึงขนาดไม่มีซึมออกมาเลยสักหยด นี่ถึงจะเป็นยอดฝีมือในหมู่ยอดฝีมือ!” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะพึมพำกับตัวเองอย่างชื่นชมระคนประหลาดใจ
“นายพูดอะไรอยู่น่ะ?” หลิงอวี่สวิ๋นมองเย่เทียนเฉินอย่างประหลาดใจ ไม่รู้ว่าเขากำลังพึมพำพูดอะไรอยู่
“ไม่ ไม่มีอะไร!” เย่เทียนเฉินได้สติกลับมาจึงพูดด้วยรอยยิ้ม
“งั้นนายจูงฉันวิ่งมาเร็วขนาดนี้ทำไม มีหมาไล่นายอยู่หรือไง?” หลิงอวี่สวิ๋นตบหน้าอกของตนเบาๆ ปากเล็กๆ อ้ากว้างสูดหายใจเข้าไปแล้วพูดขึ้น
“ไม่มีหมาที่ไหนไล่หรอก ก็แค่อยากจะเจออาจารย์ที่ปรึกษาสาวสวยให้เร็วขึ้นหน่อยเท่านั้น เห็นสาวสวยก็วิ่งตามไง? ล้อเล่นที่ไหนกัน!” เย่เทียนเฉินพูดพลางหัวเราะฮี่ๆ
ในตอนนี้หลิงอวี่สวิ๋นขี้เกียจจะไปต่อล้อต่อเถียงกับเย่เทียนเฉินแล้ว ถูกเจ้าหมอนี่จูงมือวิ่งจนถึงชั้นสาม สาวสวยอย่างเธอรับไม่ได้จริงๆ หน้าอกอันตั้งตระหง่านกระเพื่อมไปตามลมหายใจอันหนักหน่วงของเธอ ขึ้นครั้งหนึ่งลงครั้งหนึ่ง ให้ความรู้สึกกระตุ้นเป็นอย่างมาก หากว่าผู้ชายธรรมดามาเห็นจะต้องคว้าจับเอาไว้อย่างบ้าคลั่งแน่นอน
ก๊อกๆ!
เย่เทียนเฉินเคาะประตูสองครั้ง ด้านในมีเสียงผู้หญิงดังแว่วออกมาอย่างเย็นชา มีความเป็นมิตรอยู่ไม่เท่าไหร่ เย่เทียนเฉินผลักประตูเดินเข้าไป หลิงอวี่สวิ๋นเองก็รีบตามเข้าไป
เมื่อเดินเข้าไปในห้องของอาจารย์ที่ปรึกษาภาควิชาโบราณคดี พบว่าทั้งห้องมีขนาดยี่สิบตารางเมตร ไม่ใหญ่ไม่เล็ก ตรงกลางมีโต๊ะยาวตัวหนึ่ง ทั้งสองฝั่งเป็นชั้นหนังสือ ล้อมรอบไปด้วยของที่เกี่ยวกับโบราณคดี เช่นพวกหินหรือฟอสซิลไดโนเสาร์อะไรจำพวกนี้
สิ่งที่ดึงดูดมากที่สุดก็คืออาจารย์ที่ปรึกษาสาวสวยที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงาน เป็นเหมือนกับที่หลิงอวี่สวิ๋นพูดจริงๆ มีอายุเพียงแค่ยี่สิบกว่าปีเท่านั้น ผมสีดำสลวยคลอเคลียอยู่บริเวณบ่า ตาโตงดงาม ปากเล็กๆ แดงระเรื่อชุ่มชื่น รวมกับดวงหน้างดงามและรูปร่างที่ทำให้ผู้คนหลงใหลก็มากพอที่จะทำให้ผู้ชายคนใดก็ตามต้องใจเต้น
“พวกเธอมีเรื่องอะไรหรือ?” อาจารย์ที่ปรึกษาสาวสวยมองเย่เทียนเฉินแล้วเอ่ยถาม
“อ๋อ อาจารย์ครับผมคือเย่เทียนเฉิน มารายงานตัวกับคุณครับ ปีนี้อายุยี่สิบปี สูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบแปดเซนติเมตร ยังไม่แต่งงาน!” เย่เทียนเฉินกล่าวแนะนำตัว
ได้ยินเย่เทียนเฉินแนะนำตัว หลิงอวี่สวิ๋นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม การแนะนำตัวเองกับอาจารย์เป็นเรื่องที่เข้มงวดจริงจังมาก แต่เจ้าหมอนี่ประโยคแรกยังดีๆ อยู่ แต่ประโยคหลังกลับบอกว่ายังไม่แต่งงาน นี่ไม่ใช่การดูตัวจะพูดละเอียดขนาดนี้ทำไมกัน
“เธอก็คือเย่เทียนเฉิน?” อาจารย์ที่ปรึกษาสาวสวยคนนั้นอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงไปเล็กน้อย ยืนขึ้นแล้วจ้องเย่เทียนเฉินพลางเอ่ยถาม
“ใช่แล้วครับ ดูเหมือนว่าสาวสวยจะให้ความสนใจกับผมมาก มีอะไรจะแนะนำหรือเปล่าครับ?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
อาจารย์ที่ปรึกษาสาวสวยจ้องมองเย่เทียนเฉินโดยไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงมองสำรวจขึ้นลง ราวกับต้องการเห็นอะไรบางอย่าง เพียงแต่น่าเสียดายที่มองอยู่ครึ่งค่อนวันแล้วก็ยังไม่ได้รับผลอะไร สุดท้ายจึงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “ครูชื่อฉินเหยาเยว่ สวัสดี ได้ยินชื่อเสียงเธอมานานแล้ว!”
“ฮ่าๆ อาจารย์ล้อเล่นแล้ว คุณเคยได้ยินชื่อผมหรอครับ?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“แน่นอนว่าต้องเคยได้ยินมา เธอก็คือนายน้อยเย่เทียนเฉิน ตอนนี้เป็นคนใหญ่คนโตในเมืองหลวง ตั้งแต่ที่กลับมาที่เมือง เรื่องไหนที่ทำแล้วไม่สั่นสะท้านไปทั่วทั้งเมืองหลวงบ้าง ครูสนใจเรื่องของเธอมาก ถ้ามีเวลาพวกเราก็มาคุยกันสักหน่อยเป็นยังไง?” ฉินเหยาเยว่พูด
“ไม่มีปัญหาครับ แต่ว่าวันนี้ผมไม่มีเวลา มีธุระนะครับ ต้องไปก่อนแล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ
หลิงอวี่สวิ๋นที่อยู่ข้างๆมองอย่างมึนงง จะอย่างไรเธอก็คิดไม่ถึงว่า เย่เทียนเฉินและฉินเหยาเยว่พบหน้ากันครั้งแรกก็สามารถพูดคุยกันได้อย่างเบิกบานใจขนาดนี้ ช่างอยู่เหนือความคาดหมายของหลิงอวี่สวิ๋นอยู่บ้างจริงๆ ที่สำคัญก็คือนักศึกษาคนหนึ่ง อาจารย์ที่ปรึกษาคนหนึ่ง ดูไม่มีความแตกต่างทางฐานะเลยแม้แต่น้อย ช่างน่าแปลกประหลาดจริงๆ
“ไปเถอะ!” เย่เทียนเฉินพูดกับหลิงอวี่สวิ๋น
“ได้ๆ ลาก่อนค่ะอาจารย์!” หลิงอวี่สวิ๋นได้สติกลับมาก็รีบพูดขึ้นยิ้มๆ
เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นไปจากห้องทำงานของตนแล้ว ฉินเหยาเยว่ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว จากนั้นจึงปรากฏรอยยิ้มขึ้นที่มุมปาก อดไม่ได้ที่จะพูดพึมพำกับตนเอง “เย่เทียนเฉิน เธอเป็นคนที่น่าสนใจจริงๆ มิน่าล่ะทุกภาคส่วนถึงได้แอบตรวจสอบเธออยู่ลับๆ ฉันก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าเธอแข็งแกร่งขนาดไหน!”
ฉินเหยาเยว่ จะกล่าวจบ เธอก็รู้สึกวิงเวียนศีรษะ จึงรีบนั่งลงที่เก้าอี้ ในใจอดไม่ได้ที่จะโมโห ดูท่าอาการบาดเจ็บที่ได้รับยังต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งจึงจะหายดี