“คุณน้าเกรงใจไปแล้วค่ะ พวกเราและเสี้ยวหยาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ช่วยเหลือเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็เป็นสิ่งที่สมควรแล้ว!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดด้วยรอยยิ้มหวาน
“ใช่แล้ว พวกเธอรีบนั่งเถอะ อย่ายืนอยู่เลย!” แม่ของเสี้ยวหยาเห็นเย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นยังยืนอยู่ จึงรีบเรียกให้พวกเขานั่งลง
“ไม่เป็นไรครับ คุณน้าอยากได้ขยับเลยครับ พวกเราจัดการตัวเองก็ใช้ได้แล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดพลางพยักหน้า
ในตอนนี้ เสี้ยวหยาถูกเสียงดังรบกวนจนตื่น ลืมตาขึ้นมาอย่างมึนงง เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นมาแล้วจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ ลืมไปเสียสนิทว่าวันแรกเป็นวันลงทะเบียน วันที่สองเป็นวันรายงานตัวกับอาจารย์ที่ปรึกษา ทำแบบนี้หากว่าอยู่ในมหาวิทยาลัย อาจารย์ที่ปรึกษาก็จะดำเนินการจัดการได้ดี
“พี่อวี่สวิ๋น พวกพี่มาได้ยังไงคะ?” เสี้ยวหยาเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ฮ่าๆ วันนี้เป็นวันรายงานตัวกับอาจารย์ที่ปรึกษา เธอลืมไปแล้วเหรอ?” หลิงอวี่สวิ๋นอดไม่ได้ที่จะถามด้วยรอยยิ้ม
“เอ๋? แย่แล้ว หนูถึงกับหลับไป ลืมไปรายงานตัวกับอาจารย์ที่ปรึกษาที่มหาวิทยาลัยเลย!”
เสี้ยวหยาพลันกระวนกระวายขึ้นมา ตั้งแต่เล็กจนโตเธอก็มีผลการเรียนที่ดีเลิศมาตลอด อีกทั้งยังเชื่อฟังคำพูดของอาจารย์และพ่อแม่เป็นอย่างมาก วันนี้เป็นวันรายงานตัวกับอาจารย์ที่ปรึกษาก็ควรจะไปสร้างความประทับใจให้อาจารย์บ้าง ตอนนี้เลยเวลาเที่ยงไปแล้ว ก็ยังไม่ได้ไปมหาวิทยาลัย จะต้องทำให้อาจารย์ที่ปรึกษาไม่พอใจอย่างแน่นอน
“งั้นทำยังไงดี หยาเอ๋อร์ ลูกรีบไปมหาวิทยาลัยเถอะ แม่อยู่ที่นี่ก็ไม่เป็นไรแล้ว!” แม่ของเสี้ยวหยาพูดขึ้นด้วยความกระวนกระวาย
“ไม่ต้องรีบร้อนไปหรอก รอให้กินข้าวกลางวันเสร็จก่อน ฉันจะไปส่งเธอเอง แปบเดียวก็เสร็จแล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
“งั้นก็ดีเลย พวกเราไปกินข้าวกันเถอะ ฉันรู้สึกหิวอยู่บ้างจริงๆ นายจะเลี้ยงอะไรสาวสวยอย่างพวกเราสองคนล่ะ?” หลิงอวี่สวิ๋นเอ่ยถามยิ้มๆ
“อะไรนะ? ไม่ได้บอกว่าเธอจะเลี้ยงเหรอ? ทำไมเป็นฉันอีกแล้วล่ะ?” เย่เทียนเฉินพูดพลางมองไปยังหลิงอวี่สวิ๋นอย่างจนใจ
“เรื่องของการเลี้ยงข้าวเนี่ย มีนายที่เป็นสุภาพบุรุษอยู่ จะมาถึงตาพวกเราทั้งสองคนที่เป็นผู้หญิงได้ยังไง เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว!” หลิงอวี่สวิ๋นยิ้มเจ้าเล่ห์ดูน่ารัก
ในตอนนี้เย่เทียนเฉินถึงจะพบว่า หลิงอวี่สวิ๋นบางครั้งก็เป็นคนเขี้ยวลากดิน และยังมีฝีมืออยู่บ้าง ทั้งๆที่ตอนเริ่มต้นตอบรับไปแล้วว่าวันนี้เธอจะเป็นคนเลี้ยง แต่เมื่อถึงเวลากินข้าว ก็ยังร้องเรียกให้ตนเองเป็นคนเลี้ยง เกินไปแล้วจริงๆ ดูท่าแล้ววันหน้าคำพูดของผู้หญิงคนนี้คงจะเชื่อถือได้น้อยแล้ว
“แม่คะ แม่อยากกินอะไร หนูจะไปซื้อมาให้แม่” เสี้ยวหยาเลยถามผู้เป็นแม่อย่างรู้ความ
“ไม่ต้องหรอกจ้ะ พวกลูกไปกินกันเถอะ อีกเดี๋ยวพ่อของลูกก็จะมาส่งอาหารแล้ว หลังจากกินข้าวลูกก็ไปรายงานตัวที่มหาวิทยาลัย สร้างความประทับดีๆ ใจให้อาจารย์ ตอนมืดมีพ่อของลูกอยู่ที่นี่ ไม่ต้องเป็นห่วงไป!” แม่ของเสี้ยวหยาพูดด้วยรอยยิ้ม
“ค่ะ!” เสี้ยวหยาพยักหน้า
เดินออกมาจากโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวง เสี้ยวหยายังคงพะว้าพะวงอยู่ อย่างไรเสียอาการป่วยของแม่ก็รุนแรงมาก นอกจากนี้เมื่อเกิดเจ็บปวดขึ้นมา กระทั่งคำพูดก็ไม่สามารถเปล่งออกมาได้ ทำได้เพียงอาศัยยาแก้ปวดเพื่อระงับปวด
“หยาเอ๋อร์ เธอวางใจเถอะ แม่ของเธอจะต้องไม่เป็นอะไรแน่ จะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน!” หลิงอวี่สวิ๋นกุมมือเสี้ยวหยา เปิดปากพูดอย่างจริงจัง
“อืม!” เสี้ยวหยาพยักหน้าแต่ไม่กล่าวอะไร
เย่เทียนเฉินมองเสี้ยวหยา ความจริงแล้วเขาไม่อยากบอกเธอเรื่องของจอมแพทย์เทวะเร็วขนาดนี้ เพราะการจะหาตัวจอมแพทย์เทวะพบหรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้วหลายสิบปี บางทีจอมแพทย์เทวะอาจจะไม่ได้อยู่ในโลกมนุษย์แล้วก็เป็นได้ เขาไม่อยากให้ความหวังกับเสี้ยวหยาแล้วทำให้เธอผิดหวัง หากเป็นแบบนั้นจะเป็นการทำร้ายเธอมาเกินไป
แต่เมื่อเห็นท่าทางหดหู่ไม่มีความสุขของเสี้ยวหยาในตอนนี้แล้ว เย่เทียนเฉินก็รู้สึกปวดใจจริงๆ หญิงสาวที่น่ารักบริสุทธิ์คนหนึ่ง ควรจะได้มีชีวิตที่มีความสุข แต่ตอนนี้กลับต้องทรมานจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ นี่เป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องทนไม่ได้
นี่ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกกดดัน การตามหาจอมแพทย์เทวะเป็นเรื่องด่วนที่ต้องรีบจัดการ แม่ของเสี้ยวหยาสามารถยืนหยัดต่อไปได้อีกเพียงไม่กี่เดือน หากว่าในหลายเดือนนี้ไม่สามารถหาจอมแพทย์เทวะได้ แม่ของเสี้ยวหยาก็จะไม่มีทางช่วยได้แล้ว ส่วนเสี้ยวหยาก็จะต้องทนทุกข์ทรมานมาตลอด กังวลเรื่องอาการป่วยของแม่
“หยาเอ๋อร์ ความจริงแล้วเธอไม่ต้องกังวลจนเกินไปหรอก ฉันได้ยินว่ามีหมอคนหนึ่ง มีฝีมือทางการแพทย์สูงส่งมาก กระทั่งสามารถทำให้คนกลับมาจากความตายได้ หากว่าสามารถหาเขาเจอ เชื่อว่าจะต้องรักษาอาการป่วยของแม่ของเธอได้อย่างแน่นอน!” เย่เทียนเฉินคิดครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยปากขึ้น
“จริงเหรอ? เทียนเฉิน นายไม่ได้หลอกฉันใช่ไหม? ช่วยคนกลับมาจากความตาย…”
เสี้ยวหยามีท่าทางไม่เชื่อถือนัก ความจริงแล้วด้วยเทคโนโลยีในยุคนี้ ยังจะมีสักกี่คนที่จะเชื่อในเรื่องเล่าเหนือธรรมชาติอยู่อีก? กล่าวเกินจริงไปถึงขั้นทำให้คนฟื้นจากความตายได้ หากพูดออกไปเกรงว่าจะทำให้คนอื่นคิดว่าบ้า แต่เย่เทียนเฉินกลับเชื่อ เขาที่เป็นผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้าที่กลับชาติมาเกิดจากในยุคสิ้นโลก ย่อมได้พบกับเรื่องเกินจริงเหนือธรรมชาติมามากมาย กระทั่งผู้มีชีวิตเป็นอมตะในช่วงยุคสิ้นโลกที่กล่าวได้ว่ามีชีวิตยืนยาวไม่มีวันตาย และยังมีคนที่สามารถใช้หมัดเดียวทลายความว่างเปล่าจนเป็นผุยผง ทรงพลังไม่มีที่เปรียบ
เรื่องราวเหล่านี้ล้มล้างความคิดของคนในยุคปัจจุบันไปโดยสิ้นเชิง ก็เหมือนกับย้อนไปสู่ยุคของภูติผีวิญญาณอีกครั้งหนึ่ง ความจริงนั้นเรียบง่ายมาก หากเทียบกับคนปัจจุบัน จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าบนโลกนี้จะมีผู้มีพลังพิเศษและยอดฝีมือพรรควรยุทธโบราณอยู่จริงๆ? คนเหล่านี้แข็งแกร่งจนถึงขั้นที่ไม่อาจจินตนาการได้ ไม่ถูกควบคุมโดยรัฐและกฎหมาย กระทำการต่างๆ ตามความชอบใจของตนเองโดยสิ้นเชิง สิ่งนี้น่าหวาดกลัวมากเพียงใดกัน? ช่วยไม่ได้ที่คุณจะไม่เชื่อในการมีอยู่ของคนเหล่านี้ คนธรรมดาไม่มีโอกาสและคุณสมบัติได้เจอพวกเขาไปตลอดชีวิตก็เท่านั้น เป็นคนที่ไม่ได้อยู่ในโลกเดียวกันโดยสิ้นเชิง
“จริงสิ ฉันไม่หลอกเธอหรอก ไม่เชื่อก็ถามอวี่สวิ๋นดู!” เย่เทียนเฉินพยักหน้าอย่างจริงจัง มองไปยังหลิงอวี่สวิ๋นแล้วพูดขึ้น
หลิงอวี่สวิ๋นอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เรื่องนี้เย่เทียนเฉินไม่เคยถามเธอมาก่อน ไม่ต้องพูดถึงเสี้ยวหยาเลย ขนาดตัวเธอเองก็รู้สึกไม่เชื่ออยู่บ้าง บนโลกนี้ยังมีคนที่มีวิชาแพทย์เก่งกาจเกินพิกัดขนาดนี้ด้วยหรือ? ถึงกับสามารถทำให้คนตายกลับมามีชีวิตได้ นี่เกรงว่าจะไม่ใช่คนแล้ว แต่เป็นเทพมากกว่า?
แต่ว่าหลิงอวี่สวิ๋นก็เป็นผู้หญิงที่ฉลาดมากคนหนึ่ง เพียงมองเย่เทียนเฉินแวบหนึ่งและดูเหมือนเธอจะชะงักไปชั่วครู่จนดูไม่ออกจากนั้นจึงพยักหน้าพูดกับเสี้ยวหยาว่า “เทียนเฉินพูดถูกแล้ว บนโลกนี้มีผู้วิเศษท่านนี้อยู่จริงๆ หากว่าสามารถหาเขาเจอ อาการป่วยของแม่เธอก็จะรักษาได้แล้ว!”
“จริงเหรอคะ?” ครู่หนึ่งเสี้ยวหยาก็ตื่นเต้นขึ้นมา สายตาเต็มไปด้วยประกายแห่งความหวัง เธอย่อมหวังอย่างแน่นอนว่าผู้วิเศษท่านนี้จะมีตัวตนอยู่จริงๆ หากเป็นเช่นนั้นอาการป่วยของแม่เธอก็มีหวังแล้ว
“จริงสิ ขอเพียงแค่พวกเราหาคนคนนี้เจอ ก็สามารถรักษาอาการป่วยของแม่เธอได้แล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดพลางมองเสี้ยวหยา
“งั้น งั้นพวกเรารีบไปหาผู้วิเศษท่านนี้กันเถอะ ไปขอร้องเขาให้ช่วยมารักษาแม่ของฉัน!”
“หยาเอ๋อร์ ผู้วิเศษท่านนี้ตอนนี้จะอยู่ที่ไหน พวกเราเองก็ยังไม่รู้ มีเพียงเบาะแสเล็กน้อยเท่านั้น แต่ว่าเธอวางใจเถอะ พวกเราจะต้องหาเขาให้เจอให้ได้อย่างแน่นอน เธอไม่ต้องกังวลจนเกินไป!” เย่เทียนเฉินรีบเปิดปากพูด
“ใช่แล้วหยาเอ๋อร์ ทุกวันเธอต้องไปเรียนและดูแลแม่ของเธอ ส่วนเรื่องตามหาผู้วิเศษท่านนี้ ก็ให้ฉันกลับเทียนเฉินไปจัดการเถอะ ยังไงซะพวกเราก็พอมีวิธีอยู่บ้าง จะมากจะน้อยก็ยังสามารถรวบรวมคนได้!” หลิงอวี่สวิ๋นยิ้มพลางกุมมือของเสี้ยวหยาแล้วพูดขึ้น
เสี้ยวหยาคิดครู่หนึ่ง มองไปทางเย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นอย่างจริงจังแล้วพูดขึ้นว่า “งั้นก็ขอบคุณพวกเธอมากเลยนะ พวกเธอดีกับฉันมากจริงๆ!”
“เด็กโง่ เคยบอกแล้วไงว่าไม่ต้องเกรงใจ พวกเราเป็นเพื่อนกัน ไปเถอะ ไปกินข้าว!”
ในที่สุดก็ทำให้เสี้ยวหยามีความหวังขึ้นมาบ้าง ในใจของเธอไม่หดหู่ระทมทุกข์แบบนั้นอีกต่อไปแล้ว เธอเดินอยู่กับหลิงอวี่สวิ๋นข้างหน้าสุด พูดคุยกัน หัวเราะเป็นบางครั้ง เย่เทียนเฉินที่เห็นก็ดีใจมาก เพียงแต่เขารู้สึกว่าความกดดันของตัวเองเพิ่มขึ้นมาก ในเมื่อให้ความหวังเสี้ยวหยาไปแล้วก็ไม่สามารถทำให้เธอผิดหวังได้อีกครั้ง เกรงว่าเธอจะรับความกระทบกระเทือนเช่นนี้ไม่ไหว เรื่องของการตามหาจอมแพทย์เทวะผู้นี้เป็นเรื่องด่วน จำเป็นต้องดำเนินการให้เร็วที่สุด
ในตอนที่กินข้าวกลางวันกันนั้น เย่เทียนเฉินใจกว้างอย่างหาได้ยาก เลี้ยงหม้อไฟเสี้ยวหยาและหลิงอวี่สวิ๋น ทำให้หลิงอวี่สวิ๋นมองเย่เทียนเฉินเหมือนกับมองมนุษย์ต่างดาว ทำให้เขาโกรธอับจนคำพูด ทำเหมือนกับตัวเองไม่เคยเลี้ยงใครมาแปดชาติอย่างไรอย่างนั้นแหละ
หนึ่งชั่วโมงต่อมา เย่เทียนเฉิน เสี้ยวหยาและหลิงอวี่สวิ๋นก็เดินออกมาจากร้านหม้อไฟ ในตอนที่ทั้งสามกำลังจะเดินทางไปยังมหาวิทยาลัยนั้น โทรศัพท์มือถือของหลิงอวี่สวิ๋นก็ดังขึ้น เธอหยิบมือถือขึ้นมากดรับสาย
“ฮัลโหล คุณพ่อ มีอะไรเหรอคะ?”
“อะไรนะ? คนของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนจะเกินไปแล้ว พวกเขาทำแบบนี้ต้องการจะไล่กิจการของพวกเราเหรอ หนูจะกลับไปเดี๋ยวนี้!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดด้วยความโมโห
“เป็นอะไรเหรอ สวิ๋นอวี่?” เย่เทียนเฉินรู้ว่าเกิดเรื่องแล้วจึงเอ่ยถามอย่างใส่ใจ
“ไม่มีอะไร ฉันคงไปมหาวิทยาลัยเป็นเพื่อนพวกเธอไม่ได้แล้ว นายใช้มอเตอร์ไซค์พาเสี้ยวหยาซ้อนไปเถอะ ฉันจะกลับบ้านสักหน่อย!” หลิงอวี่สวิ๋นเปิดปากพูด
“อืม ขับรถระวังหน่อย มีเรื่องอะไรก็โทรหาฉันนะ!” เย่เทียนเฉินพยักหน้าพลางกล่าว
“รู้แล้ว!”
เมื่อเห็นหลิงอวี่สวิ๋นขับรถสปอร์ตจากไป ในใจของเย่เทียนเฉินก็รู้สึกกังวล ถึงแม้ว่าทั้งสองจะทะเลาะกันบ่อย แต่มิตรภาพในวัยเด็กเขาจะลืมได้อย่างไร หลิงอวี่สวิ๋นเองก็เป็นผู้หญิงที่สวยงามและจิตใจดีคนหนึ่ง เพียงแต่นิสัยไม่เหมือนกับเสี้ยวหยา หากว่าหลิงอวี่สวิ๋นเกิดเรื่องอะไรขึ้น เย่เทียนเฉินย่อมไม่นิ่งดูดายอย่างแน่นอน
“ไปเถอะ หยาเอ๋อร์ พวกเราไปมหาวิทยาลัยกัน!” เย่เทียนเฉินมองไปยังเสี้ยวหยาด้วยรอยยิ้มแล้วพูดขึ้น
“อืม!” เสี้ยวหยามองเย่เทียนเฉินครู่หนึ่ง ทันใดนั้นคิดได้ถึงประโยคนั้นของแม่ขึ้นมา หากว่าลูกรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ไม่เลว ก็สามารถอยู่กับเขาได้
เย่เทียนเฉินสตาร์ทมอเตอร์ไซค์ เสี้ยวหยานั่งซ้อนท้ายเขา เธอที่นั่งรถมอเตอร์ไซค์เป็นครั้งแรกรู้สึกไม่ชินอยู่บ้าง ที่สำคัญก็คือรู้สึกกระอักกระอ่วน ไม่รู้ว่าจะเอามือทั้งสองวางไว้ตรงไหน ไม่มีที่ให้จับเลยสักที่ และรู้สึกไม่ปลอดภัย
“กอดฉันเอาไว้เถอะ แบบนี้ก็จะปลอดภัยหน่อย อีกอย่างฉันก็ขับรถเร็วมากด้วย!” เย่เทียนเฉินพูดกับเสี้ยวหยาด้วยรอยยิ้ม
เสี้ยวหยาชะงักไปครู่หนึ่ง ดวงหน้าเล็กๆ แดงระเรื่อ กัดปากกัดริมฝีปากล่างของตนเอง มือทั้งสองโอบเอวเย่เทียนเฉินช้าๆ…
……………………..