“เซี่ยอวี่เหอเป็นผู้มีพลังพิเศษและเป็นยอดฝีมือพรรควรยุทธโบราณ กระบวนท่าของเธอมีพลังในการฆ่าฟันสูงมาก ส่วนเทียนซวงเอ๋อร์มีกระบวนท่าสะกดใจที่ร้ายกาจ สามารถทำให้คนตกอยู่ในห้วงแห่งความคิดได้ในชั่วพริบตา นอกจากนี้เธอยังมีกระบวนท่าสังหารระดับใดก็ยังไม่รู้ ส่วนชิงเฉิงเยว่ก็แข็งแกร่งมากจริงๆ ส่วนจะแข็งแกร่งถึงขนาดไหนก็มีน้อยคนมากที่รู้!” หญิงร่างสูงที่สวมผ้าปิดปากและแว่นกันแดดสีดำพยักหน้าแล้วพูดขึ้น
“หากเธอต้องการชนะชิงเฉิงเยว่ก็ต้องฝึกวิชาคัมภีร์ดรุณีหยกให้สมบูรณ์!” ชายชรามองหญิงร่างสูงแล้วพูดขึ้น
หญิงร่างสูงเงียบไป ไม่ใช่ว่าเธอไม่รู้ถึงความเกี่ยวโยงอันร้ายกาจนั้น การแข่งขันสี่สุดยอดสาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณในครั้งนี้ก็เหมือนกับการประลองยุทธของพรรควรยุทธโบราณในสมัยก่อน เบื้องหน้าเป็นการเรียนรู้แลกเปลี่ยนศิลปะการต่อสู้ แต่ความจริงแล้วเป็นตายล้วนอยู่ที่ฟ้าลิขิต การประลองทุกครั้งต่างก็มีคนตาย นี่เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คนแพ้ไม่เพียงแต่ต้องเสียชีวิต แต่ยังนำความอัปยศมาสู่สำนักตนเองอีกด้วย
การประลองสี่สุดยอดสาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณในครั้งนี้ได้รับความสนใจจากกลุ่มอำนาจอิทธิพลจำนวนมาก กล่าวได้ว่าสำนักในพรรควรยุทธโบราณทุกสำนักต่างก็กำลังจับตามอง บางคนก็คิดจะดูว่าใครแพ้ใครชนะ บางคนก็คิดจะดูความสง่างามของสี่สุดยอดสาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณ และมีบางคนที่อยากจะรู้ว่าพวกเธอแข็งแกร่งมากขนาดไหน โดยเฉพาะชิงเฉิงเยว่ ผู้หญิงที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น สาวงามยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งพรรควรยุทธโบราณ จะมีหน้าตาอย่างไร? จะร้ายกาจขนาดไหน?
เมื่อก่อนเคยมีข่าวลือว่า เจ้าสำนักของพระวรยุทธโบราณสำนักหนึ่งซึ่งเป็นสำนักที่ชิงเฉิงเยว่เป็นสมาชิกอยู่ ภายใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่สูงเสียดฟ้าของสำนัก มีผู้หญิงงดงามเหมือนสตรีในยุคโบราณนั่งอยู่ สวมชุดสีขาว งดงามเหมือนกับนางเซียน งดงามจนมัจฉาจมวารี ทันใดนั้น สตรีในชุดขาวก็ลืมตาทั้งสองขึ้น ในตอนที่เจ้าสำนักคนนั้นสบตากับเธอ ผู้หญิงในชุดขาวก็เลือนหายไป ความสามารถลึกล้ำถึงขั้นที่ไม่อาจจินตนาการได้ ไปมาไร้ร่องลอย
พรรควรยุทธโบราณสืบทอดกันมานับพันปี มีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก พลังลมปราณและพลังภายในที่เรียกขานต่อๆ กันมาในหมู่ผู้คนเป็นสิ่งที่รู้กันอย่างผิวเผินเท่านั้น เมื่อพูดถึงการเหาะเหินเดินกำแพงได้อยู่นอกเหนือจินตนาการของคนธรรมดาไปไกลแล้ว หากไม่ใช่คนระดับเดียวกันย่อมไม่รู้
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ชื่อเสียงของชิงเฉิงเยว่ก็ร่ำลือกันไปทั่วทั้งพรรควรยุทธโบราณ หลายคนไปเยี่ยมเยือนถึงสำนักเพียงเพื่อจะได้เห็นชิงเฉิงเยว่กับตา เพียงแต่น่าเสียดายที่ผู้หญิงที่งดงามราวกับนางฟ้าคนนี้ ดูเหมือนว่าจะมีเพียงไม่กี่คนที่เคยเห็นใบหน้าของเธอ กระทั่งเจ้าสำนักคนนั้นที่เคยเห็นใบหน้าของชิงเฉิงเยว่ก็ไม่สามารถบรรยายใบหน้าของเธอออกมาได้ นี่เป็นเรื่องที่ทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้านมากที่สุด
พรรควรยุทธโบราณที่รับการสืบทอดมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีสำนักใดบ้างที่ไม่แข็งแกร่ง เจ้าสำนักของพวกเขาย่อมต้องคัดเลือกออกมาจากเหล่ายอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุด ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ธรรมดาสามัญ แม้แต่เจ้าสำนักแห่งพรรควรยุทธโบราณก็ยังทำได้เพียงปรายตามองชิงเฉิงเยว่แวบเดียวก็เลือนหายไปแล้ว ไม่อาจไม่กล่าวว่าชิงเฉิงเยว่แข็งแกร่งถึงขั้นที่ไม่อาจจินตนาการได้ ไม่แปลกที่อาจารย์และศิษย์พี่ของเซี่ยอวี่เหอจะกังวลใจมากขนาดนั้น และไม่อยากให้เซี่ยอวี่เหอเข้าร่วมการประลองในครั้งนี้
“หลายปีมานี้ ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนที่สามารถทำให้หนูหวั่นไหวได้ หากไม่สามารถหาผู้ชายที่หนูรักเจอ ส่วนสุดท้ายของคัมภีร์ดรุณีหยก ไม่ฝึกก็ช่างมันเถอะ!” สาวร่างสูงพูดแล้วถอนหายใจ
“บางทีเย่เทียนเฉินคนนั้นอาจจะเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลย ความสามารถของเขาลึกล้ำไม่อาจคาดเดา บางทีคงจะสามารถช่วยเธอฝึกคําภีร์ดรุณีหยกจนสำเร็จก็ได้…” ชายชราพูดขึ้นพลางมองไปยังเย่เทียนเฉินที่อยู่ไม่ไกล
“เขาแข็งแกร่งมากจริงๆ แต่หนูไม่ชอบ หลายปีมานี้ยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณและผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งจำนวนมากไปเข้ารวมกับกลุ่มอำนาจและตระกูลใหญ่ บางคนทำเพื่อความดีงาม บางคนทำเรื่องชั่วร้าย ความหวังสุดท้ายในชีวิตของท่านอาจารย์ คือหวังว่าจะมีบุคคลผู้มีเมตตาที่สามารถรวมพรรควรยุทธโบราณให้เป็นหนึ่งได้ เพื่อลดทอนการฆ่าฟันที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด หนูจะต้องเอาชนะการประลองในครั้งนี้ให้ได้ เพื่อช่วยทำความหวังของท่านให้สำเร็จ ต่อให้ไม่สามารถฝึกฝนวิชาคัมภีร์ดรุณีหยกจนสมบูรณ์ได้ หนูก็มีวิธี!” ทันใดนั้นสาวร่างสูงก็พูดออกมาด้วยความจริงจังเป็นอย่างมาก กำหมัดอันขาวนวลของตนเองแน่น
คัมภีร์ดรุณีหยก เป็นพลังภายในประเภทหนึ่งที่ลึกล้ำสูงส่งเป็นอย่างมากในพรรควรยุทธโบราณ และถูกขนานนามว่าเป็นวิธีฝึกฝนพลังภายในที่เมื่อฝึกฝนจนสำเร็จ ผู้ฝึกฝนก็จะประหนึ่งได้ถอดเนื้อเปลี่ยนกระดูก ในทุกการเคลื่อนไหวจะมีพลังอันแข็งแกร่ง เพียงนิ้วเดียวก็สามารถแทงทะลุภูผาป่นหินได้ เพียงแต่ในหน้าสุดท้ายของคัมภีร์ดรุณีหยกบันทึกไว้ว่า หากต้องการฝึกฝนจนสำเร็จ ต้องร่วมฝึกฝนกับเพศตรงข้าม ร่วมฝึกฝนที่ว่านั้นหมายถึงการฝึกฝนพลังภายในของคัมภีร์ดรุณีหยกในขณะที่หญิงชายร่วมอภิรมย์กัน ถึงจะมีโอกาสสำเร็จได้ ในส่วนนี้เป็นส่วนที่ยากที่สุดของผู้หญิงที่ฝึกฝนคัมภีร์ดรุณีหยกจำนวนมาก
ในใจของผู้หญิงทุกคนต่างก็มีเรื่องราวความรักที่เป็นดั่งเทพนิยายอยู่ ไม่ว่าผู้หญิงคนนี้จะแข็งแกร่งขนาดไหน จะสวยแค่ไหน พวกเธอก็มีจินตนาการในด้านความรักที่สมบูรณ์แบบ นี่เป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ และเป็นวิสัยปกติของมนุษย์ หากต้องปล่อยตัวร่วมอภิรมย์ไปกับผู้ชายที่ไม่ชอบคนหนึ่งเพียงเพื่อที่จะฝึกฝนวรยุทธให้สูงส่ง เกรงว่าต่อให้วรยุทธจะสูงส่งมากเพียงใดก็จะกลายเป็นความเสียใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไปชั่วชีวิต เพียงแค่คิดก็ทำให้ผู้คนรับไม่ไหวแล้ว
จินตนาการได้เลยว่า หากให้คุณอยู่กับผู้ชายที่ไม่รักคนหนึ่งด้วยร่างกายที่เปลือยเปล่า ดวงตาทั้งสี่สบกันโดยไม่มีรู้สึกส่วนตัวเลยแม้แต่น้อย จะมีผู้หญิงสักกี่คนที่รับได้กัน?
“ไปเถอะ เซวียนเยวี๋ยนเถิงช่วยอะไรไม่ได้แล้ว ฉันว่าเย่เทียนเฉินคนนี้ก็ไม่ใช่คนที่จะหาเรื่องได้ง่ายๆ ถึงแม้จะมีท่าทางไม่เอาไหน แต่พอเอาจริงขึ้นมากลับทำให้คนต้องรู้สึกขนลุก!” ชายชรากล่าวด้วยรอยยิ้ม ดูเหมือนจะชื่นชมเย่เทียนเฉินมาก
“การประลองใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว ระยะนี้หนูจะไม่มามหาวิทยาลัย ทางตระกูลคุณลุงก็ช่วยหนูบอกกับพ่อหน่อยนะคะ บอกให้เขาไม่ต้องเป็นห่วง และไม่ต้องขัดขวางหนู หนูมีฐานะเป็นศิษย์ในสำนัก นี่เป็นความรับผิดชอบและหน้าที่ของหนู ต่อให้สู้จนตายก็ตาม!” สาวร่างสูงให้ความรู้สึกเก่งกาจไม่แพ้ผู้ชาย
สาวร่างสูงที่สวมผ้าปิดปากและแว่นตาสีดำและชายชราที่เธอเรียกว่าคุณลุงมองเย่เทียนเฉินครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงหันกายเดินจากไป บทสนทนาระหว่างพวกเขาหากคนอื่นได้ยินเข้าคงจะต้องตกใจจนคางแทบร่วง
ในตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินอัดชายปากเสียสามคนจนปลิวออกไป จากนั้นจึงเดินไปเบื้องหน้าเซวียนเยวี๋ยนเถิงโดยไม่สนใจท่าทางตกตะลึงจนตาค้างของคนอื่น เซวียนเยวี๋ยนเถิงในตอนนี้ ใบหน้าทั้งสองฝั่งบวมเป่งเป็นซาลาเปา มองดูแล้วไม่เหลือมาดของคุณชายใหญ่เลยแม้แต่น้อย เหมือนกับหมูตัวหนึ่งมากกว่า
“เย่เทียนเฉิน ฉันไม่สนใจว่าแกจะมีเบื้องหลังอะไร กล้ามาเป็นศัตรูกับชั้นเซวียนเยวี๋ยนเถิง แกจะต้องตายแน่นอน!” เซวียนเยวี๋ยนเถิงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วตะโกนขึ้น
“ฉันคิดว่าฉันพูดไปแล้วนะ ฉันไม่อยากจะเป็นศัตรูกับแก เซวียนเยวี๋ยนเถิง…” เย่เทียนเฉินยังคงพูดด้วยรอยยิ้ม
“งั้นแก…”
พริบตานั้นเซวียนเยวี๋ยนเถิงรู้สึกว่าเย่เทียนเฉินกำลังหยอกล้อตนอยู่ ปากบอกว่าไม่อยากเป็นศัตรูกับเขาเซวียนเยวี๋ยนเถิง แต่กลับอัดเขาจนหน้าบวมเป็นหมู น้องชายของเขาเซวียนเยวี๋ยนอวี่ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย ตกลงหมายความว่าอะไรกันแน่?
“เพราะว่าแกมันไม่คู่ควร ฉันคิดจะเป็นศัตรูกับตระกูลเซวียนเยวี๋ยนทั้งตระกูลของแก บางทีทำแบบนี้คงจะสนุกขึ้นสักหน่อย!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้มเรียบเฉย
“แก…”
เมื่อเย่เทียนเฉินกล่าวจบ นักศึกษาชายหญิงที่ล้อมดูจำนวนหลายร้อยคนต่างพากันสูดหายใจเย็นยะเยือก นักศึกษาชายหลายคนต่างเลือดลมพลุ่งพล่านขึ้นมา นักศึกษาหญิงหลายคนพากันมองด้วยอาการใจเต้น เย่เทียนเฉินเท่มากจริงๆ หล่อมาก ถึงกับพูดว่าจะเป็นศัตรูกับตระกูลเซวียนเยวี๋ยนทั้งตระกูลต่อหน้าทุกคน ทำให้ยากที่จะเชื่อจริงๆ
“นี่…ไอ้หมอนี่ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วเหรอ?”
“เป็นศัตรูกับตระกูลเซวียนเยวี๋ยนทั้งตระกูล?”
“กล้าพูดแบบนี้ออกมาถือเป็นการประกาศสงครามกับตระกูลเซวียนเยวี๋ยนแล้ว เกรงว่าจะต้องดึงดูดอันตรายครั้งใหญ่อย่างแน่นอน!”
ยังมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่อดไม่ได้ที่จะวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นมาเสียงเบา พวกเขาไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะระหํ่าถึงขนาดนี้ ประกาศสงครามกับตระกูลเซวียนเยวี๋ยนต่อหน้าทุกคน ไม่เห็นตระกูลแห่งโลกเบื้องหลังอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย กระทำในสิ่งที่คนอื่นไม่กล้าทำ แค่ความกล้าที่ไม่สนใจต่อกลุ่มอำนาจก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนต้องนับถือแล้ว
“ยืดเยื้อมานานมากแล้ว ฉันยังต้องไปเรียนที่มหาวิทยาลัยอีก การเรียนวันแรกไม่ควรจะไปสาย แกเองก็ไปพบท่านยมฯให้เร็วๆหน่อยเถอะ ทุกคนจะได้คลายกังวล!” เย่เทียนเฉินพูดกับเซวียนเยวี๋ยนเถิงด้วยรอยยิ้มน้อยๆ
“แก…อั่ก!”
เซวียนเยวี๋ยนเถิงยังไม่ทันได้พูดออกมาก็ถูกเย่เทียนเฉินบีบลำคอ เขารู้สึกหายใจไม่ออกในพริบตา น่าเสียดายที่เขายังไม่ทันได้ร้อง เย่เทียนเฉินก็หิ้วเขาขึ้นมาด้วยมือข้างเดียวจนขาไม่ติดพื้น ลอยอยู่กลางอากาศ ใกล้จะถูกบีบคอจนขาดอากาศหายใจตายทั้งเป็น
“อย่า…อย่าฆ่า อย่าฆ่าฉัน…” เซวียนเยวี๋ยนเถิงใช้แรงกายทั้งหมดมองไปยังเย่เทียนเฉิน ร้องขอชีวิตออกมาด้วยความหวาดกลัว
“สายไปแล้ว ตอนที่แกฆ่าคนอื่น เคยสนใจคำร้องขอชีวิตของพวกเขาไหม เคยเห็นอกเห็นใจพวกเขาไหม ถึงเวลาที่แกจะได้ลิ้มรสบ้างแล้ว!” เย่เทียนเฉินยังคงพูดด้วยรอยยิ้มที่ไร้พิษภัย
ฉัวะ!
ในตอนที่เย่เทียนเฉินกำลังจะหักคอเซวียนเยวี๋ยนเถิงเพื่อฆ่าเศษสวะคนนี้ ทันใดนั้นก็มีคนลงมือลอบโจมตีเย่เทียนเฉิน การเคลื่อนไหวรวดเร็วเป็นอย่างมาก แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ซัดหมัดไปยังลำคอของเย่เทียนเฉินโดยตรง
เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว สัมผัสได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งของหมัดนี้ มือขวายังคงบีบคอของเซวียนเยวี๋ยนเถิง ถอยหลังไปสองก้าวแล้วใช้มือซ้ายซัดปะทะเข้าไป
ผัวะ!
หมัดของเขาปะทะเข้ากับหมัดของคนที่ลอบโจมตีอย่างรุนแรง เย่เทียนเฉินยืนอยู่กับที่โดยไม่ขยับ เบื้องหน้าของเขาปรากฏชายฉกรรจ์รูปร่างกำยำล่ำสันคนหนึ่ง เขาคิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะรอดพ้นจากหมัดอันรุนแรงของตนไปได้
“คุณชายของพวกเราต้องการให้แกปล่อยเซวียนเยวี๋ยนเถิงไป!” ชายฉกรรจ์คนนั้นมองเย่เทียนเฉินอย่างเย็นชาแล้วเอ่ยปาก
“คุณชายของพวกแกคือใคร? เขาจะสั่งฉันเหรอ?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถามด้วยความไม่พอใจ
“ถูกต้อง ฉันกำลังสั่งแก ถ้าเซวียนเยวี๋ยนเถิงตาย ตระกูลเย่ของแกก็ต้องตาย ฉันจะต้องฆ่าแก!” ในตอนนี้เองด้านหลังของชายฉกรรจ์มีชายร่างผอมคนหนึ่งเดินออกมา มุมปากประดับไปด้วยรอยยิ้มสนุกสนาน แต่น้ำเสียงกลับบ้าอำนาจเป็นอย่างมาก เขามองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
เย่เทียนเฉินไม่รู้จักชายที่โผล่มาอย่างกระทันหันคนนี้ ในตอนที่เขายังไม่ได้พูดอะไร เซวียนเยวี๋ยนเถิงที่ใกล้จะขาดอากาศหายใจก็ทำราวกับว่าพบผู้ช่วยชีวิต เขาพยายามดิ้นอย่างสุดชีวิตแล้วมองไปยังชายที่ปรากฏตัวออกมาอย่างกะทันหันคนนั้น ใช้น้ำเสียงอ้อนวอนกล่าวออกมาว่า “พี่โอวหยาง ช่วยผม ช่วยผมด้วย…”
………………………….