พวกของฉีย่ากวงเดิมทีอยากจะข่มเย่เทียนเฉินที่ไม่เข้าใจเรื่องการจัดการเครือข่าย อยากจะบีบบังคับให้เขาทิ้งหุ้นห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ใครจะไปคิดว่าเย่เทียนเฉินพูดแค่เพียงประโยคเดียว ก็ทำให้ผู้ถือหุ้นที่เหลือหลายคนทำอะไรไม่ได้ ใครหน้าไหนแม่งก็ไม่เชื่อฟัง พอจะซื้อหุ้นแก แกก็ไล่ฉันอีก
การรับมือกับคนถ่อยที่ชอบใช้เล่ห์เหลี่ยมลับหลังอย่างฉีย่ากวง เย่เทียนเฉินยิ่งไม่ไว้หน้า เดิมทีการมาขอถอนหมั้นถึงที่บ้านของตระกูลฉี ก็ทำให้พ่อและแม่ได้รับความอัปยศ เย่เทียนเฉินย่อมไม่มีความรู้สึกที่ดีอะไรต่อตระกูลฉี ดังนั้นจึงยิ่งไม่เกรงใจฉีย่ากวง
“แก….เย่เทียนเฉิน แกคิดว่าตัวเองเป็นใครกันวะ กล้ามาพูดแบบนี้กับฉัน ระวังเถอะฉันจะทำให้ตระกูลเย่ของแกลืมตาอ้าปากไม่ได้ไปตลอดกาล” ฉีย่ากวงด่าออกมาด้วยความโกรธสุดขีด
เย่เทียนเฉินมองฉีย่ากวงครู่หนึ่ง ขี้เกียจเปลืองน้ำลายกับคนถ่อยเช่นนี้ หยิบบัตรทองใบหนึ่งออกมาจากอก แล้วโยนลงบนโต๊ะของห้องประชุมเสียงดังตุบ มองทุกคนที่กำลังนั่งอยู่เล็กน้อย กล่าวว่า “ในนี้มีห้าพันล้าน เพียงพอที่จะซื้อหุ้นสามสิบเปอร์เซ็นต์ หากพวกคุณเต็มใจที่จะเอาหุ้นทั้งหมดออกมาขาย ผมก็สามารถนำเงินออกมาได้อีก ผมหวังว่าทุกคนจะร่วมมือร่วมใจกันทำให้เครือไห่หวังพัฒนาขึ้นให้ดีกว่าเดิม ได้กำไรมากกว่าเดิม แต่ถ้าหากมีใครพยายามสร้างปัญหา ไม่ร่วมมือกับผมเย่เทียนเฉิน งั้นก็ต้องขอโทษด้วย ผมจะซื้อหุ้นของพวกคุณ แล้วไล่พวกคุณออกจากเครือไห่หวัง”
เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน ฉีย่ากวงและผู้ถือหุ้นคนอื่นอีกสี่คนที่เหลือ ทั้งหมดล้วนสองตาแดงก่ำ โกรธจนทนแทบไม่ไหว แต่ก็สิ้นไร้หนทาง พวกเขาทั้งห้าคนปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรให้เย่เทียนเฉินนำหุ้นห้าสิบเปอร์เซ็นต์ออกมาขาย ให้อยู่ในเครือไห่หวังต่อไม่ได้ ใครจะรู้ว่าการรับมือเจ้าหมอนี่จะยากกว่าที่พวกเขาคิดเอาไว้มาก ทำอะไรไม่อ้อมค้อม ปะทะเข้ามาโดยตรง คุณกล้ามาโวยวายผม ผมก็จะซื้อหุ้นของคุณ ไล่คุณออก เป็นวิธีการที่ตรงประเด็นจนทำให้คนทั้งหมดรู้สึกช็อก
“งั้นตระกูลฉีของฉันจะออกเงิน ซื้อหุ้นห้าสิบเปอร์เซ็นต์ในมือของนายเอง” ฉีย่ากวงมองเย่เทียนเฉินอย่างดุร้าย แล้วกล่าวออกมา
จริงๆ การซื้อหุ้นของทั้งสองฝ่าย ทั้งเย่เทียนเฉินและฉีย่ากวงต่างก็คิดถึงจุดนี้อยู่แล้ว พูดอย่างตรงไปตรงมา อิงตามแนวโน้มการพัฒนาของเครือไห่หวังในตอนนี้ การแบ่งผลประโยชน์หลังจากนี้ก็จะยิ่งมากขึ้นทุกๆ ปี หากเทขายหุ้นออกไปจนหมด ก็ไม่มีอะไรเหลือแล้ว เงินที่จะได้มากขึ้นก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคุณอีก ไม่คุ้มเลยจริงๆ
“นายไม่คู่ควร ตระกูลฉีของนายก็ไม่คู่ควร ตรงนี้มีอยู่ห้าร้อยล้าน ซื้อหุ้นในมือของนายยี่สิบเปอร์เซ็นต์ จากนั้นฉันจะแบ่งให้สี่คนที่เหลือนี้ หวังว่าทุกคนจะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน พัฒนาเครือไห่หวังให้ยิ่งใหญ่ขึ้น” เย่เทียนเทียนไม่ไว้หน้า ฉีย่ากวงแม้แต่น้อย แถมยังบอกว่าจะซื้อหุ้นของเขามาแบ่งให้ผู้ถือหุ้นทั้งสี่อีก
ตอนนี้เอง เมื่อเหอฉี่ซานและผู้ถือหุ้นรายย่อยคนอีกสี่คนได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน ก็เปลี่ยนจากประหลาดใจเป็นยินดี นึกไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะซื้อหุ้นยี่สิบเปอร์เซ็นต์ในมือของฉีย่ากวง และบอกว่าจะแบ่งให้พวกเขาทั้งสี่คน หากเป็นเช่นนี้จริงในมือของผู้ถือหุ้นรายย่อยอย่างพวกเขาก็จะมีหุ้นเพิ่มขึ้นอีกคนละห้าเปอร์เซ็นต์ ในหนึ่งปีได้มากขึ้นหลายพันล้าน ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เหตุใดจะไม่ยินดีล่ะ
“ผม ผมว่าวิธีนี้เหมาะสม จะอย่างไรพี่ฉีก็มาที่เครือไห่หวังไม่บ่อยอยู่แล้ว”
“ใช่แล้ว ตระกูลฉียอดเยี่ยมในทุกๆ ด้าน เครือไห่หวังจะนับเป็นอะไรได้ อีกอย่างเงินห้าพันล้านซื้อหุ้นยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ก็ไม่นับว่าขาดทุน”
“พี่ฉีลองพิจารณาดูหน่อยเถอะ ถึงอย่างไรการพัฒนาบริษัทก็มีความเสี่ยงอยู่ตลอดเวลา”
“ทำไมไม่ขายให้ประธานเย่ล่ะ?”
เมื่อผลประโยชน์มาอยู่ต่อหน้า ผู้ถือหุ้นรายย่อยทั้งสี่ที่ดูถูกเย่เทียนเฉิน และยืนอยู่ข้างฉีย่ากวงในตอนแรกก็อดใจต่อความยั่วยวนไม่ไหว ทุกคนต่างก็ย้ายไปอยู่ข้างเย่เทียนเฉิน ทำให้ฉีย่ากวงโกรธจนแทบกระอักเลือด
“พวกคุณ….”
“เอาล่ะ ฉันไม่อยากจะพูดอะไรไร้สาระแล้ว ถ้านายอยากทำงานในเครือไห่หวังต่อ งั้นก็อยู่ต่อ ถ้าไม่อยาก ฉันก็จะขอรับหุ้นของนาย”
แม้ว่าช่วงเวลาสิ้นโลกที่เย่เทียนเฉินอยู่จะเป็นยุคที่เต็มไปด้วยการรบราฆ่าฟัน ในฐานะที่เป็นผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้า พบกับการต่อสู้เอาชีวิตอยู่ตลอดเวลา จึงไม่ค่อยรู้เรื่องการจัดการบริษัทและการพัฒนามากัก แต่ว่าเย่เทียนเฉินตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้เชื่อมั่นในหลักการข้อหนึ่ง นั่นก็คือในการต่อกรกับคนถ่อยที่วางแผนชั่วลับหลัง มีเพียงต้องแข็งกร้าวจนถึงที่สุดเท่านั้น ถึงจะสามารถทำลายแผนชั่วได้
“ดี ถือว่าเป็นทีของแก เรื่องนี้ก็ให้จบแค่ตรงนี้ ตอนนี้ตระกูลฉีของฉันถอนหมั้นกับนาย ต่อหน้าผู้ถือหุ้นทุกคนที่อยู่ ณ ทีนี้ ต่อจากนี้ตระกูลเย่ของแกอย่าได้มาเกี่ยวข้องกับตระกูลฉีของพวกเราอีก”
ฉีย่ากวงโกรธจนทนไม่ไหว แผนการของตนเองล้มเหลวแล้ว ดูท่าแล้วจะเป็นดั่งที่ฉีชางเซิ่งผู้เป็นพ่อได้กล่าวไว้ เย่เทียนเฉินตรงหน้านี้ ไม่เหมือนกับลูกล้างผลาญ ยิ่งไม่เหมือนกับเศษสวะ มีความฉลาดเฉียบแหลมและเด็ดขาดเป็นอย่างมาก ใช้คำพูดเรียบง่ายไม่กี่ประโยคก็ทำลายแผนการของพวกตนได้แลว หรือเขาจะแสร้งทำเป็นลูกล้างผลาญ แสร้งทำเป็นเศษสวะ มาตลอดยี่สิบปี เพื่อหลอกลวงคนทั้งเมืองหลวง?
ตอนนี้เมื่อเห็นว่าไม่มีทางบังคับให้เย่เทียนเฉินยอมละทิ้งหุ้นของเครือไห่หวังได้อีก ฉีย่ากวงเองก็ไม่ใช่คนโง่ ย่อมเข้าใจดีว่าเวลาน้ำขึ้นให้รีบตัก ตอนนี้ถ้าหากตนต้องการปะทะกับเย่เทียนเฉินให้ได้ คงไม่เกิดผลดีอะไรแน่ บวกกับผู้ถือหุ้นทั้งสี่ที่ถูกเย่เทียนเฉินหลอกล่อด้วยผลประโยชน์แล้ว ขอเพียงรักษาหุ้นในเครือไห่หวังไว้ให้ดี ก็จะสามารถค่อยๆ บังคับ เย่เทียนเฉินให้ออกไปได้
“เอาออกมาสิ สัญญาอยู่ไหน? ฉันเซ็นก็โอเคแล้ว” เย่เทียนเฉินเดิมทีก็ไม่ได้สนใจเรื่องจะถอนหรือไม่ถอนหมั้น กล่าวตามจริง กระทั่งหน้าตาของฉีหรูเสวี่ยก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อน จะไปมีความรู้สึกชอบพอมาจากที่ไหน ทั้งหมดเป็นเรื่องที่ผู้อาวุโสตระกูลฉีกับผู้อาวุโสตระกูลเย่จัดการ
“รอเดี๋ยว น้องของฉันยังมาไม่ถึง เธอจะมาเซ็นหนังสือสัญญายกเลิกการหมั้นหมายกับนายด้วยตัวเอง และถือว่าเป็นการสิ้นสุดความสัมพันธ์โดยสิ้นเชิง” ฉีย่ากวงกล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นชา
“จริงๆ ก็ไม่เป็นไรหรอก ฉันเซ็นก่อนก็ได้ ยังมีธุระด่วนต้องไปทำ หากว่าถึงตอนนั้นต้องเจอคนอัปลักษณ์ เดี๋ยวกินข้าวเที่ยงไม่ลงกันพอดี….”
“นายสิอัปลักษณ์!”
เย่เทียนเฉินเพิ่งจะพูดจบ เสียงผู้หญิงอันหวานเพราะพริ้งและเจือความขุ่นเคืองเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ประตูบานใหญ่ของห้องประชุมถูกเปิดออก สาวงามคนหนึ่งซึ่งสวมชุดเดรสลายดอกไม้ สวมรองเท้าส้นสูงสีแดง ร่างกายสูงประมาณร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร เดินเข้ามาในห้องประชุม จ้องมองยังเย่เทียนเฉินด้วยใบหน้าบึ้งตึง
เมื่อเห็นว่าสางงามคนนี้กำลังใช้ดวงตาอันสวยงามของเธอจ้องมายังตนเอง เย่เทียนเฉินอดชะงักไปชั่วครู่ไม่ได้ นี่คือผู้หญิงที่เจอตรงประตูเข้าตึกของเครือไห่หวังคนนั้นไม่ใช่เหรอ? หรือว่าเธอคือ….
“พี่ คนๆ นี้คือเย่เทียนเฉินงั้นเหรอคะ?” สาวงามเดินมายังเบื้องหน้าของเย่เทียนเฉิน แล้วกล่าวถามด้วยใบหน้าบูดบึ้ง
“ใช่แล้วน้อง เขาก็คือเย่เทียนเฉิน” ฉีย่ากวงกล่าวเสียงเย็น
น้องสาว? น้องสาวของฉีย่ากวงก็คือฉีหรูเสวี่ยไม่ใช่เหรอ? หรือว่าสาวงามที่เจอหน้ากันหน้าตึกใหญ่ของเครือไห่หวังก็คือฉีหรูเสวี่ยที่จะถอนหมั้นกับตน? ผู้หญิงที่ยืนอยู่เบื้องหน้า และกำลังใช้ตางดงามจ้องมาที่ตนในตอนนี้ก็คือฉีหรูเสวี่ย?
เย่เทียนเฉินไม่มีความประทับใจใดๆ ต่อฉีหรูเสวี่ยเลยแม้แต่น้อย เขาเป็นผู้แข็งแกร่งซึ่งมีพลังพิเศษระดับพระเจ้าที่มาเกิดใหม่ และยังมีความทรงจำของเย่เทียนเฉินในยุคนี้อยู่ด้วย แต่ไม่มีความทรงจำใดๆ เกี่ยวกับผู้หญิงตรงหน้านี้เลยแม้แต่น้อย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
คิดไปคิดมา สาเหตุคงมีอยู่แค่อย่างเดียว การหมั้นหมายของเย่เทียนเฉินกับฉีหรูเสวี่ยไม่ได้ผ่านพวกเขาทั้งสองคน พูดอีกอย่างก็คือ เย่เทียนเฉินกับฉีหรูเสวี่ยไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน เรื่องหมั้นหมายเป็นเรื่องที่ผู้อาวุโสของตระกูลฉีและตระกูลเย่สองคนตัดสินใจกันเอง นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ในหมู่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลวง การแต่งงานของลูกชายและลูกสาวใช้เพื่อการร่วมมือ และเพื่อผูกสัมพันธ์ ไม่ได้มาจากการตัดสินใจของตัวพวกเขาเอง
“นายก็คือเย่เทียนเฉิน เป็นคนทุเรศขั้นสุดยอดจริงๆ ซะด้วย” ฉีหรูเสวี่ยเดินมาเบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน กล่าวพลางมองเย่เทียนเฉินอย่างแง่งอน
“ฉันไม่มีเวลามาพูดมากกับเธอหรอกนะ อยากถอนหมั้นก็ถอน รีบมาเซ็นชื่อเถอะ”
เย่เทียนเฉินไม่ใช่คนที่เจอสาวงามแล้วทำอะไรไม่ถูก ในช่วงสิ้นโลก เขาซึ่งเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษระดับพระเจ้า มีสัมพันธ์กับผู้หญิงมาก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ อีกทั้งทุกคนก็ล้วนแต่เป็นดั่งหญิงชั้นยอด ดังนั้นถ้าตระกูลฉีต้องการถอนหมั้น ก็ถอนหมั้น ไม่มีอะไรต้องพูด
“นี่ เข้าใจไว้ด้วยนะ ตระกูลฉีของฉันถอนหมั้นกับตระกูลเย่ของนายต่างหาก ไม่ใช่ตระกูลเย่ของนายถอนหมั้นกับตระกูลฉีของฉัน เข้าใจชัดรึยัง?”
เมื่อฉีหรูเสวี่ยเห็นท่าทางหงุดหงิดรำคาญของเย่เทียนเฉิน ปรารถนาจะถอนหมั้นกับตนเต็มแก่ ก็รู้สึกไม่ชอบใจเล็กน้อย ตนก็เติบโตในต่างประเทศตั้งแต่เด็ก กลับประเทศไม่บ่อยนัก เรื่องที่ครอบครัวทำเรื่องหมั้นหมายให้เธอก็แค่เคยได้ยินมา ย่อมไม่เคยเจอหน้าเย่เทียนเฉินมาก่อนเลย
ตอนนี้ท่าทางที่เย่เทียนเฉินเหมือนอยากจะถอนหมั้นกับตนเองเต็มแก่ ได้ทำร้ายความภาคภูมิใจในตัวเองของ ฉีหรูเสวี่ย ตั้งแต่เล็กจนโตไม่ทราบว่ามีผู้ชายกี่คนที่ตามจีบตนเอง แม้ตอนที่อยู่ต่างประเทศ ชาวต่างชาติสูงศักดิ์ที่ตามจีบตนเองก็มีมากมาย ไม่เคยมีคนปรารถนาไม่อยากมีความสัมพันธ์กับตนอย่างเย่เทียนเฉินมาก่อน
“ไม่ว่าจะถอนหมั้นด้วยเหตุผลอะไร สรุปแล้วก็คือต้องถอนหมั้น เอาหนังสือสัญญาการถอนหมั้นออกมาสิ ฉันเซ็นชื่อก็พอแล้ว!” เย่เทียนเฉินไม่อยากจะพูดกับฉีหรูเสวี่ยให้มากความ แต่เดิมก็ไม่ได้รู้จักกันอยู่แล้ว
ฉีย่ากวงชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์เท่าไหร่นัก น้องสาวของตนเป็นคนหยิ่งมาตั้งแต่ไหนแต่ไหร่ มีหน้าตางดงาม ยี่สิบปีมานี้ไม่มีชายคนไหนอยู่ในสายตาของเธอเลย ลูกหลานตระกุลผู้ดีมากมายต่างอยากพูดคุยกับ ฉีหรูเสวี่ย คนเหล่านั้นต่างก็เป็นพวกสุรุ่ยสุร่าย ถึงยังไงเขาก็ไม่เคยเห็นน้องสาวจะเต็มใจพูดคุยกับผู้ชายเช่นนี้ และยังเป็นชายที่ต้องการถอนหมั้นกับตัวเธออีกด้วย
“พี่ ห้ามเอาให้เขานะ ถ้าเจ้าหมอนี่ไม่พูดกับฉันให้ชัดเจน ฉันจะไม่เห็นด้วยกับการถอนหมั้นเด็ดขาด” เมื่อ ฉีหรูเสวี่ยเห็นว่าเย่เทียนเฉินไม่เห็นตนเองอยู่ในสายตา ก็เอ่ยปากขึ้นอย่างดุดันพลางทำปากจู๋
“หา? ไม่ถอนหมั้น?”
คำพูดของฉีหรูเสวี่ยทำให้พวกผู้ถือหุ้นที่อยู่ตรงนั้นต่างก็ตกตะลึงจนคางแทบจะหลุด ประมุขตระกูลฉีเป็นฝ่ายไปขอถอนหมั้นกับตระกูลเย่ถึงที่ และให้เงื่อนไขการชดเชยโดยไม่เสียดาย แต่ตอนนี้ฉีหรูเสวี่ยดันฉีกสัญญากับเย่เทียนเฉิน ไม่ยอมถอนหมั้นกับเขา นี่มันคืออะไรกัน
“ยังไงก็ต้องถอนหมั้น รีบเอาหนังสือสัญญาถอนหมั้นออกมาเร็ว เดี๋ยวฉันเซ็นชื่อเสร็จก็จะไปแล้ว ไม่อยากจะเกี่ยวข้องกับตระกูลฉีของเธอแม้แต่นิดเดียว อีกอย่างฉันยุ่งมาก ไม่มีเวลามาคุยไร้สาระกับเธอหรอก” เย่เทียนเฉินกล่าวอย่างรำคาญ
“ไม่ได้ นายกล้าดูถูกฉันคนนี้ การหมั้นนี้ฉันไม่ยกเลิกแล้ว” ฉีหรูเสียกล่าวออกมาในขณะที่ใบหน้ารูปไข่อันสวยงามบึ้งตึง ด้วยท่าทางอยากจะกระโดดไปกัดเย่เทียนเฉิน
“หรูเสวี่ย เรื่องนี้พ่อตัดสินใจถอนหมั้นกับตระกูลเย่ และเตรียมตัวให้เธอแต่งงานกับฉินเหิงจากตระกูลฉินแล้วนะ” ฉีย่ากวงรีบลากน้องสาวของตนมาพูดคุยอีกด้านหนึ่ง
“อะไร? ทำไมพ่อทำแบบนี้ ฉันไม่ใช่สินค้านะ มาเร่ขายไปตามใจได้ยังไง เรื่องการแต่งงานของฉัน ฉันจะเป็นคนตัดสินใจเอง สรุปแล้วการหมั้นครั้งนี้ฉันยังไม่ยกเลิก” ฉีหรูเสวี่ยขมวดคิ้วพลางกล่าวออกมา
………………………………………….