การปรากฏตัวของหลินตวน ไม่ไก้ทำให้เย่เทียนเฉินอารมณ์เปลี่ยนแปลงมากมายอะไรนัก กลับจะมองคนที่เปิดเผยตรงไปตรงมาคนนี้ในแง่ดีด้วยซ้ำ อย่างน้อยหลินตวนก็เข้ามาอย่างเปิดเผย พูดอย่างตรงประเด็นว่าต้องการประลองกับตน ต้องการถือโอกาสนี้สร้างชื่อเสียงให้กับสำนักงานเทียนหลินของเขา
แต่เรื่องยุ่งยากก็ยังคงยุ่งยาก เย่เทียนเฉินไม่ชอบการเข้าเรียนอะไรนี่เลย นี่ยังลำบากกว่าเข้าไปนั่งในคุกเสียอีก ถึงได้ตอบรับคำขอของหลินตวน ไหนเลยจะรู้ว่าในตอนที่เย่เทียนเฉินและหลินตวนเตรียมจะเดินออกไปจากห้องเรียนใหญ่ของภาควิชาโบราณคดีนั้น ฉินเหยาเยว่จะขวางอยู่เบื้องหน้าของพวกเขาทั้งสอง
“พวกเธอสองคนคิดจะไปไหน? ไม่รู้ว่าถึงเวลาเข้าเรียนแล้วหรือไง?” ฉินเหยาเยว่มองเย่เทียนเฉินอย่างจริงจังเข้มงวดแล้วเอ่ยปากพูด
“ผม…พวกผมมีธุระนิดหน่อยครับ จะออกไปสักครู่” หลินตวนพูดติดตะกุกตะกัก
เมื่อได้ยินคำพูดของหลินตวนและน้ำเสียงที่คนคนนี้พูด เย่เทียนเฉินก็เกือบจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ไหว เมื่อดูภายนอกหลินตวนหล่อเหลา มีท่าทางเย็นชา แต่กลับคิดไม่ถึงว่าต่อหน้าผู้หญิง โดยเฉพาะต่อหน้าผู้หญิงที่สวยเซ็กซี่ พูดออกไปไม่กี่คำก็หน้าแดงซะแล้ว ทำให้เย่เทียนเฉินสงสัยว่าคนคนนี้เป็นผู้อำนวยการสำนักงานเทียนหลินจริงหรือไม่ นี่เป็นองค์กรที่คล้ายกับองค์กรทหารรับจ้าง รับภารกิจที่ต้องฆ่าฟันนองเลือด จะมีคนเหมือนหลินตวนที่ไม่ทันได้แตะต้องผู้หญิงก็หน้าแดงแบบนี้อยู่ด้วยเหรอ?
เมื่อเปรียบเทียบตรงจุดนี้ เย่เทียนเฉินย่อมเหนือกว่าหลินตวนมาก เดิมทีในช่วงยุคสิ้นโลก เย่เทียนเฉินก็มีสาวงามชั้นเลิศอยู่ข้างกายจำนวนไม่น้อย ถึงแม้ว่าเย่เทียนเฉินจะชอบผู้หญิง ในช่วงสิ้นโลกก็นับว่าค่อนข้างจะเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่คนไร้เดียงสา แต่หากเป็นผู้หญิงที่มีนิสัยเหมือนงูพิษ และคนชราที่มีจิตใจโหดเหี้ยม เย่เทียนเฉินก็จะไม่ไว้ไมตรีโดยเด็ดขาด
“อีกหนึ่งนาทีก็จะเข้าเรียนแล้ว เรื่องอื่นก็รอให้เรียนเสร็จก่อนแล้วค่อยว่ากัน เข้าไปเถอะ!” ในตอนที่ฉินเหยาเยว่พูดล้วนมองอยู่ที่เย่เทียนเฉิน เธอกำลังคิดว่าจะสามารถพบข้อมูลอะไรเกี่ยวกับผู้แข็งแกร่งในช่วงยุคสิ้นโลกจากเย่เทียนเฉินได้หรือไม่
ส่วนเรื่องที่ว่าฉินเหยาเยว่รู้ได้อย่างไรว่าเย่เทียนเฉินเป็นผู้แข็งแกร่งในช่วงยุคสิ้นโลกกลับชาติมาเกิดใหม่นั้น เรื่องนี้เกรงว่าจะเป็นเหตุผลที่มีน้อยคนที่จะรู้ และต้องรอให้เย่เทียนเฉินไปตรวจสอบและค้นพบด้วยตัวเอง
“คนสวย พวกเราสองคนจะไปทำธุระ ธุระเร่งด่วนมาก เร่งด่วนมากจริงๆ เร่งด่วนโคตรๆ เร่งด่วนจนไม่สามารถยืดเวลาไปได้แม้แต่ครึ่งวินาที…” เย่เทียนเฉินหัวเราะฮี่ๆ แล้วพูดขึ้น
“ปากเสียให้มันน้อยๆ หน่อย เรียกฉันว่าอาจารย์ที่ปรึกษา จริงจังซะบ้าง ตอนนี้ได้เวลาเข้าเรียนแล้ว เข้าไปเรียนก่อนเถอะ!” ฉินเหยาเยว่โบกไม้ชี้กระดานสีดำของตนแล้วพูดขึ้น
“ไม่ได้ ไม่ได้จริงๆ พวกเราสองคนไป…” ในขณะที่เย่เทียนเฉินพูดก็เข้าไปใกล้ฉินเหยาเยว่ก้าวหนึ่ง ฉินเหยาเยว่ก็ถอยหลังออกไปโดยไม่รู้ตัว เธอไม่ได้กลัวว่าเย่เทียนเฉินจะทำอะไรที่เหลือเชื่อ แต่คิดว่าเย่เทียนเฉินสามารถเอาชนะได้แม้กระทั่งวิชาสะกดใจของตน ฝีมือจะต้องลึกล้ำไม่อาจคาดเดา จะต้องระวังตัวให้มาก ไหนเลยจะรู้ว่าเธอเพิ่งจะถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ริมฝีปากของเย่เทียนเฉินก็เข้ามาใกล้หูของเธอแล้ว แล้วพูดต่อไปว่า “เปิดห้อง!”
“อะไรนะ? พวกเธอ…พวกเธอผู้ชายอกสามศอกทั้งสองคน…”
ฉินเหยาเยว่เบิกตาอันงดงามจนกว้าง มองไปยังหลินตวนและเย่เทียนเฉินอย่างไม่อยากจะเชื่อ แม้ว่าสังคมปัจจุบันนี้ เรื่องของชายรักชายจะไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร และไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด แต่เมื่อเรื่องแบบนี้มาเกิดขึ้นข้างกายของตน คนส่วนใหญ่ก็จะตกใจ อย่างไรก็ตามเรื่องแบบนี้เมื่อคิดดูให้ดีก็ชวนให้คลื่นไส้จริงๆ
“อาจารย์ครับ พวกเราสองคนรักกันจริงๆ อาจารย์สนับสนุนพวกเราด้วยเถอะ…” เย่เทียนเฉินจงใจแสร้งทำท่าทางเจ็บปวดพูดกับฉินเหยาเยว่
“เธอไปให้ห่างฉันหน่อย อย่า อย่าเข้ามาใกล้ฉัน…” ครูจะรีบถอยหลังไปสองก้าว เว้นระยะห่างจากเย่เทียนเฉิน
“อาจารย์ครับ พวกเราเองก็เป็นคน แม้ว่าจะเป็นผู้ชายสองคนแต่พวกเราก็มีความต้องการ พวกเรา…พวกเราเกือบจะทนไม่ไหวแล้ว…” เย่เทียนเฉินพูดถึงส่วนที่น่าตื่นเต้น ทันใดนั้นก็จับมือของหลินตวน ทำให้หลินตวนตกใจจนตัวสั่น
จบแล้ว ฉินเหยาเยว่เห็นเย่เทียนเฉินถึงกับจูงมือของหลินตวนก็แทบจะหาเสียงของตนไม่เจอ จะอย่างไรเธอก็คิดไม่ถึงว่า เย่เทียนเฉินจะถึงกับเป็นเกย์ ยิ่งไปกว่านั้นเพิ่งจะเปิดเรียนก็สามารถหาคู่ขามาควงได้แล้ว แล้วยังพูดว่าจะไปเปิดห้อง สวรรค์ ฉินเหยาเยว่ที่เป็นผู้หญิงก็เกรงว่าจะรับไม่ได้
ต่อให้มาถึงยุคปัจจุบันนี้แล้ว ในสังคมก็มีเกย์มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกย์มีการเรียกร้องสิทธิมนุษยชน เรียกร้องความรักที่แท้จริง แต่ก็เห็นเพียงไม่กี่คู่ที่จะเปิดเผยเหมือนกับเย่เทียนเฉินและหลินตวน
“อาจารย์ครับ พวกเรา พวกเราต้องการ พวกเราจะ…” เย่เทียนเฉินจงใจพูดด้วยน้ำเสียงหื่นกระหาย หลินตวนขนลุกไปทั่วทั้งร่าง ส่วนฉินเหยาเยว่ไม่ต้องไปพูดถึงเลย ใบหน้าอันงดงามซีดขาวไปนานแล้ว รับไม่ได้กับน้ำเสียงชวนคลื่นไส้ของเย่เทียนเฉินจริงๆ
“พวกเธอ…พวกเธอไปเถอะ ไปเถอะ…” เธอรีบโบกไม้ชี้กระดานในมือแล้วพูดขึ้น
“ขอบคุณครับอาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ที่ปรึกษา พวกผมรักอาจารย์นะครับ มีแต่คุณที่จะเข้าใจความสุขและความเจ็บปวดของความรักของพวกเรา ขอบคุณครับ…” เย่เทียนเฉินทำท่าทางน้ำตาซึม มองไปยังฉินเหยาเยว่แล้วพูดขึ้น
“ไป รีบไปซะ…” ฉินเหยาเยว่ตะโกนอย่างไม่สบอารมณ์
เย่เทียนเฉินยิ้มอย่างชั่วร้ายครั้งหนึ่ง จับมือหลินตวนเดินออกไป ทำให้ฉินเหยาเยว่ที่เห็นรู้สึกอับจนคำพูด ไม่อาจไม่กล่าวว่าในตอนที่เย่เทียนเฉินทำตัวเหมือนอันธพาลขึ้นมา ความสามารถในการแสดงยังลึกล้ำมากอีกด้วย ดูเหมือนว่าจะทำให้ฉินเหยาเยว่เชื่ออย่างสนิทใจว่าเย่เทียนเฉินเป็นเกย์ เพียงแต่สิ่งที่ทำให้ฉินเหยาเยว่สงสัยก็คือ ในช่วงยุคสิ้นโลก ซึ่งเป็นโลกที่น่าเหลือเชื่อและเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดจนทำให้ผู้คนไม่อาจจินตนาการได้นั้น มีเกย์เหมือนเย่เทียนเฉินหรือไม่?
หลินตวนและเย่เทียนเฉินเดินออกจากตึกการเรียนการสอนภาควิชาโบราณคดี ทั้งสองย่อมปล่อยมือกันไปนานแล้ว หากจูงมือกันเดินต่อไปแบบนี้ ไม่เพียงแค่หลินตวน เกรงว่าเย่เทียนเฉินก็จะต้องขนลุกไปทั่วทั้งตัวเหมือนกัน รสนิยมทางเพศของเขาย่อมปกติ มีเพียงแม่และน้องสาวสองคนเท่านั้นที่คิดว่าตนเองจะมีรสนิยมทางเพศที่เปลี่ยนไปเพราะเสียใจกับเรื่องของหลิ่วหรูเหมย ทำให้ไม่มีแฟนมาตลอด กระทั่งคนสวยแบบฉีหรูเสวี่ยก็ยังไม่ชอบ ทำให้เย่เทียนเฉินพูดอะไรไม่ออกไประยะหนึ่ง
“ใครจะไปคิดว่าคนที่เหมือนกับเทพแห่งความตายอย่างเย่เทียนเฉิน ในตอนที่นึกสนุกขึ้นมาจะสามารถทำให้คนอื่นต้องอับจนคำพูดได้?” หลินตวนมองเย่เทียนเฉิน มุมปากประดับไปด้วยรอยยิ้ม
“งั้นเหรอ? หลายคนก็คิดว่าฉันจริงจังและเย็นชา ความจริงคนคนนี้ใจดีแล้วก็อ่อนโยนมาก ไม่เย็นชาเลยสักนิด การเป็นคนที่สำคัญที่สุดก็คือความสุข บางครั้งก็ต้องผ่อนคลาย จะสามารถทำให้จิตใจดีและมีความสุขได้!” เย่เทียนเฉินพูดพลางยักไหล่
“นายกับฉันเพิ่งจะรู้จักกันเป็นครั้งแรก นายก็กล้ารับคำท้าของฉัน กระทั่งฉันเป็นใครก็ไม่สงสัยเลยเหรอ? ตอนนี้อำนาจใหญ่ทุกกลุ่มต่างก็กำลังจับตามองนาย นายล่วงเกินกลุ่มอำนาจใหญ่ไปมากมายขนาดนั้น ไม่กลัวว่าฉันจะฆ่านายเหรอ?” จู่ๆหลินตวนก็คิดถึงจุดนี้จึงได้เอ่ยถามขึ้น
“ไม่กลัวหรอก เพราะว่านายฆ่าฉันไม่ได้!” ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินก็พูดออกมาแล้วมองไปยังหลินตวนด้วยท่าทีจริงจัง
หลินตวนชะงักไปครู่หนึ่งแล้วจึงขมวดคิ้ว ความจริงแล้วเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งขนาดไหนเขาก็ไม่รู้ ส่วนใหญ่จะได้ยินมาจากข่าวลือ และทำการสรุปออกมาเท่านั้น จะสามารถเอาชนะเย่เทียนเฉินได้หรือไม่ ในใจของหลินตวนก็ไม่แน่ใจ แต่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการสู้กับเย่เทียนเฉินได้ เพราะว่าสำนักงานเทียนหลินของพวกเขาไม่มีชื่อเสียงอะไรเลยจริงๆ หากสามารถเอาชนะเย่เทียนเฉินได้ ทำให้ชื่อเสียงโด่งดัง ก็จะสามารถได้รับเย่เทียนเฉินมาเป็นตัวช่วย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุ้มค่ามาก
“อย่าลืมประโยคนั้นด้วย ถ้าหากว่านายแพ้ ฉันจะไม่ฆ่านาย นายต้องเข้าร่วมสำนักงานเทียนหลินของฉัน คอยทำงานให้ฉัน!” ทันใดนั้นหลินตวนก็พูดออกมาอย่างเย็นชา
“ได้ อย่าลืมที่ฉันพูดประโยคนั้นด้วย ถ้าหากว่านายแพ้ นายจะต้องยุบสำนักงานเทียนหลินของนายและมาเข้าร่วมกับฉัน!” เย่เทียนเฉินเองก็พูดด้วยรอยยิ้ม
“ได้!”
“คำไหนคำนั้น!”
เดิมทีทั้งสองต่างก็เป็นผู้ชายที่เปิดเผย ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มาก คำพูดคำจาล้วนน่าเชื่อถือ พูดจาคำไหนคำนั้นไม่กลับคำ นี่จึงจะเป็นลูกผู้ชายที่แท้จริง คำที่พูดออกไปแล้ว ต่อให้ต้องหัวขาดก็จะต้องทำ นี่เป็นความภาคภูมิใจ ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนทำได้ กระทั่งยอดฝีมือหลายคนก็ไม่อาจทำได้
สิ่งที่ทำให้ในใจของเย่เทียนเฉินเกิดความกระตือรือร้นขึ้นมาก็เพราะ หลินตวนคนนี้ดูแล้วค่อนข้างผอม เป็นผู้ชายที่โกหกไม่เป็น เขาจะเป็นผู้อำนวยการสำนักงานเทียนหลินจริงๆ หรือ? นี่เป็นสำนักงานที่มีความคล้ายคลึงกับองค์กรทหารรับจ้าง ถ้าไม่มีฝีมือที่แข็งแกร่งมากพอจะกระทำไม่ได้อย่างแน่นอน หลินตวนคนนี้มีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหัน ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกตื่นตะลึง ความสามารถของหลินตวนไม่อ่อนแอ กระทั่งมีกระแสพลังแห่งการต่อสู้ออกมาอย่าเงียบสงบราวกับสาวบริสุทธิ์
ตลอดทางต่างตกอยู่ในความเงียบไม่พูดไม่จา เย่เทียนเฉินและหลินตวนเดินก้าวไปข้างหน้า ไปยังสนามหญ้าอันกว้างขวางแห่งหนึ่งที่ภูเขาด้านหลังของมหาวิทยาลัยหลงเถิง ที่นั่นมีนักศึกษาไปน้อยมาก และตอนนี้ก็เป็นเวลาเข้าเรียน จึงไม่มีใคร
เดินไปเดินไป หลินตวนเดินไปเบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน ทันใดนั้นก็ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน หมัดทั้งสองกำแน่น ร่างกายที่ดูผอมกลายเป็นให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่ขึ้นมา หันไปมองเย่เทียนเฉิน ดวงตาทั้งสองดุเดือดอย่างหาที่เปรียบมิได้ เส้นผมปลิวไสวไปตามลม ให้ความรู้สึกเหมือนปรมาจารย์คนหนึ่ง
“ฉันจะเริ่มแล้ว จะไม่เกรงใจ นายระวังตัวด้วย!” หลินตวนพูดกับเย่เทียนเฉินด้วยรอยยิ้ม
“มาเถอะ!” เย่เทียนเฉินกวักมือแล้วพูดกับหลินตวน
มือขวาของหลินตวนกำแน่น พริบตานั้นจะต่อยไปยังเย่เทียนเฉิน ไหนเลยจะรู้ว่าคนคนนี้จะทำท่าทางให้หยุด ทำให้หลินตวนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม “ทำอะไร?”
“รอฉันก่อน ฉันขอสูบบุหรี่มวนหนึ่ง ไม่งั้นลงมือแล้วจะไม่ชิน!” เย่เทียนเฉินหัวเราะฮี่ๆ แล้วพูดขึ้น
“นายแกล้งฉันหรอ ดูกระบวนท่า…”
ต่อให้หลินตวนจะอารมณ์ดีขนาดไหนก็ถูกเย่เทียนเฉินทำให้โกรธแล้ว มาประลองกับตนเองถึงกับมีอารมณ์ไปสูบบุหรี่ จะดูถูกกันเกินไปแล้ว
พลั่ก!
เมื่อเผชิญหน้ากับหมัดอันคมกริบของหลินตวน สายตาของเย่เทียนเฉินพลันเย็นยะเยือก แม้มุมปากจะประดับไปด้วยรอยยิ้ม แต่กลับไม่กล้าดูแคลน หลบไปทางขวาอย่างรวดเร็ว จากนั้นใช้มือซ้ายจับอยู่บนข้อมือขวาของหลินตวน…
……………………