เฮยเมี่ยนมาเยือนอย่างกะทันหันก็เพื่อต้องการให้เย่เทียนเฉินไปทำภารกิจคุ้มครองคนคนหนึ่งที่ชื่อว่ามู่หรงอวี๋ตู เย่เทียนเฉินรู้เรื่องของบุคคลที่เรียกได้ว่าเป็นคนใหญ่คนโตเหล่านี้น้อยมาก แต่จากที่ได้ยินเฮยเมี่ยนพูด มู่หรงอวี๋ตูคนนี้สุดยอดมาก คนหลายรุ่นของเขาต่างก็สร้างผลงานยิ่งใหญ่เพื่อความปลอดภัยและความเป็นปึกแผ่นของประเทศมามากมาย
ครั้งนี้หลานสาวของมู่หรงอวี๋ตูที่ชื่อว่ามู่หรงซินถูกพิษ เขาจึงไม่เสียดายที่จะต้องแลกด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่มี และบุคคลระดับสูงในประเทศก็ยังให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก เพื่อที่จะแสดงท่าทีของพวกเขาจึงได้ให้เฮยเมี่ยนและเย่เทียนเฉินเคลื่อนไหว ไปคุ้มครองมู่หรงอวี๋ตู
สำหรับคนที่ยืนอยู่ในตำแหน่งเช่นมู่หรงอวี๋ตู ข้างกายคงไม่ขาดแคลนยอดฝีมือที่คอยคุ้มครอง แน่นอนว่าคนแบบเขาก็ย่อมมีคู่แค้นอยู่ไม่น้อย มีตระกูลที่อาฆาตมาดร้ายต่อเขาไม่น้อย ด้วยเหตุนี้มู่หรงอวี๋ตูไปที่ไหนก็มักจะพบกับอันตรายอย่างยิ่งยวด ครั้งนี้ดูท่าแล้วคงจะมียอดฝีมือในหมู่ยอดฝีมือไปลอบสังหารเขา มิฉะนั้นคงไม่ต้องส่งเฮยเมี่ยนที่เป็นยอดฝีมือระดับทัพฟ้าไปคุ้มครอง
เดิมทีด้วยนิสัยของเย่เทียนเฉิน ต่อให้เฮยเมี่ยนจะนำคำสั่งของท่านผู้นำสูงสุดมา ก็ไม่ยอมทำตามง่ายๆ เขาเป็นคนที่ไม่ชอบถูกใครควบคุม แต่สุดท้ายที่เขาสนใจจะไปกับเฮยเมี่ยนนั้น ด้วยเหตุผลสำคัญสองประการ
ประการแรก คนที่สามารถลอบสังหารมู่หรงอวี๋ตูจนทำให้ยอดฝีมือระดับทัพฟ้าอย่างเฮยเมี่ยนต้องไปคุ้มครองอยู่ข้างกายได้ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าฝั่งศัตรูมียอดฝีมือระดับสูงอยู่ เย่เทียนเฉินคิดอยากจะไปเปิดหูเปิดตาดูสักหน่อย ตอนนี้พลังพิเศษของเขาไปถึงขอบเขตจอมราชันแล้ว หากต้องการที่จะทะลวงระดับขึ้นไป ไม่ใช่ว่าอาศัยเพียงการสะสมพลังพิเศษของตนแล้วจะกระทำได้ ยังจะต้องเข้าใจพลังแห่งธรรมชาติอย่างลึกซึ้งถึงจะได้ ต้องอาศัยความ “เข้าใจ”
ประการที่สอง จากคำพูดของเฮยเมี่ยน เย่เทียนเฉินจึงได้รู้ว่ามู่หรงอวี๋ตูหาหมอเทวดาคนหนึ่งพบแล้ว เพื่อที่จะให้เขารักษาพิษให้มู่หรงซินหลานสาวของเขา หมอเทวดานี้จะสามารถรักษาอาการป่วยของแม่ของเสี้ยวหยาได้หรือไม่? ไม่ว่าจะอย่างไรก็คุ้มค่าที่จะลอง
เซียนแพทย์เทวะจากข้อมูลที่ชางหลางให้เย่เทียนเฉิน สามารถเห็นได้ชัดว่าคนๆ นี้เป็นผู้มีพลังพิเศษในสายรักษาที่แข็งแกร่งคนหนึ่ง เคยช่วยยืดอายุของผู้นำระดับประเทศไป 20 ปี และได้หายตัวไป หากต้องการจะตามหาเซียนแพทย์เทวะผู้นี้เป็นเรื่องที่ยากมาก อีกทั้งจนถึงตอนนี้เซียนแพทย์เทวะยังอยู่บนโลกนี้หรือไม่ก็ไม่อาจรู้ได้ ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงคิดจะไปดูเสียหน่อยว่าหมอเทวดาที่มู่หรงอวี๋ตูหาเจอ จะมีส่วนพิเศษอะไรหรือไม่ หากว่ามีวิชาแพทย์สูงส่งจริงๆ และสามารถรักษาแม่ของเสี้ยวหยาได้ ก็ไม่จำเป็นต้องไปตามหาเซียนแพทย์เทวะอะไรนั่นอีก
“เห้อ กระทั่งข้าวเย็นฉันก็ยังไม่ได้กิน ไปทำภารกิจกับแกทั้งๆ ที่ท้องหิว ไม่ใช่ว่าควรจะเลี้ยงข้าวสักมื้อเหรอ?”
เย่เทียนเฉินกลับไปบอกกับแม่และน้องสาวแล้วจึงตามเฮยเมี่ยนไปนั่งในรถจี๊ปทหาร นี่เป็นข้อดีของกองทัพ หากขับรถจี๊ปทหารก็ไม่จำเป็นต้องถูกตรวจสอบในสถานที่หลายๆ แห่ง ลดทอนเวลาไปได้ไม่น้อย ส่วนเย่เทียนเฉินยังคงคิดวนเวียนอยู่แต่กับเรื่องที่ยังไม่ได้กินข้าว
“ตอนนี้ไม่มีเวลาเลี้ยงข้าวแกหรอก ผู้อาวุโสมู่หรงไปเมืองในเขตชานเมืองก่อนแล้ว ฉันจำเป็นต้องรีบตามไป อีกอย่าง ไม่ใช่ว่าแกแกคิดจะให้ผู้อาวุโสมู่หรงเลี้ยงข้าวแกหรือไง พอไปถึงที่นั่นแกก็เอ่ยปากขอท่านไปสิ!” เฮยเมี่ยนเหยียบคันเร่งด้วยความเร็วสูงมุ่งออกจากเขตคฤหาสน์พลางพูดขึ้น
“เห้อ ท่าทางฉันจะเข้ากับพวกแกไม่ได้จริงๆ แย่มาก ขนาดข้าวก็ยังไม่กิน ต่อให้เป็นยอดฝีมือระดับทัพฟ้าก็หิวตายได้!” เย่เทียนเฉินพูดออกมาอย่างทอดถอนใจ
“ไอ้หนูเพลาๆ ลงบ้างเถอะ อย่าได้มากวนฉันขับรถ…” คำพูดของเฮยเมี่ยนยังไม่ทันจบก็ถูกเย่เทียนเฉินขัด
เนื่องจากเย่เทียนเฉินพบว่าบนที่นั่งด้านหลังมีของอยู่หลายอย่าง มีทั้งแฮมเบอร์เกอร์ โค้กกระป๋อง และไส้กรอกแฮม จึงหันไปหยิบมาโดยไม่เกรงใจและกัดกินอย่างตะกละตะกลาม
“ถึงกับซ่อนของดีๆ ขนาดนี้เอาไว้เชียว ดีที่ฉันฉลาดเลยหาเจอ!” เย่เทียนเฉินกัดกินคำใหญ่พลางพูดออกมาด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย
“แก…นั่นเป็นอาหารเย็นของฉัน…เหลือไว้ให้บ้าง…”
เฮยเมี่ยนตะโกนเสียงดัง แต่เย่เทียนเฉินไม่เกรงใจเลยสักนิด จัดการทั้งแฮมเบอร์เกอร์ โค้ก และไส้กรอกแฮมจนหมด ไม่เหลือไว้ให้เฮยเมี่ยนเลย หลังจากกินเสร็จยังจงใจเรอออกมาครั้งหนึ่งแล้วพูดว่า “แค่นี้ไม่พอขัดฟันเลยจริงๆ รอให้ไปถึงก่อนจะต้องให้มู่หรงอวี๋ตูเลี้ยงข้าวให้ได้!”
เย่เทียนเฉินกับเฮยเมี่ยนออกเดินทางตั้งแต่สองทุ่ม บนรถเย่เทียนเฉินสูบบุหรี่หมดไปสองมวน และหลับไปโดยไม่รู้ตัว ตอนที่เขาตื่นขึ้นมาก็พบว่ารอบด้านมีแต่ความมืดมิด มีเพียงข้างหน้าที่มีแสงสว่างอยู่เรืองๆ เมื่อมองไปยังโทรศัพท์โดยไม่ตั้งใจ จึงพบว่าเป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว ขับรถมาสามชั่วโมงกว่าก็ยังไม่ถึงจุดหมายปลายทาง นี่จะไกลเกินไปหรือเปล่า
“ใกล้จะถึงแล้ว เตรียมลงรถเถอะ!” เฮยเมี่ยนพูดอย่างเรียบเฉย
“ทำไมต้องลงรถ ขับเข้าไปสิ ฉันไม่ค่อยชอบเดินเท่าไหร่!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วหัวเราะฮี่ๆ
เสียงดังเอี๊ยดเกิดขึ้น เฮยเมี่ยนจอดรถจี๊ปทหารแล้วเปิดประตูโรงรถไปโดยไม่สนใจเย่เทียนเฉินที่ทำตัวเรื่อยเฉื่อย เย่เทียนเฉินหาวครั้งหนึ่งแล้วลงรถเดินตามหลังเฮยเมี่ยนไป
เดินไปเบื้องหน้าประมาณหนึ่งพันเมตร เย่เทียนเฉินและเฮยเมี่ยนจึงเดินเข้าไปถึงเมืองอันห่างไกลแห่งหนึ่ง แม้จะกล่าวว่าเป็นเมืองเล็กๆ แต่ความจริงเป็นถนนเส้นหนึ่งที่ยาวราวหนึ่งถึงสองพันเมตร สองข้างทางของถนนมีร้านค้าและที่อยู่อาศัยจำนวนหนึ่ง สิ่งปลูกสร้างล้วนดูธรรมดา ไม่มีตึกใหญ่สูงระฟ้าอะไร และบริเวณรอบๆ ถนนแห่งนี้ยังมีบ้านอยู่จำนวนหนึ่ง ส่วนใหญ่เป็นบ้านมุงกระเบื้อง และปิดไฟนอนกันไปเกือบหมดแล้ว มีเพียงไม่กี่ครัวเรือนที่ไฟยังสว่างอยู่
เย่เทียนเฉินเดินตามหลังเฮยเมี่ยนมุ่งตรงไปข้างหน้าโดยตลอด เดินตั้งแต่ปากทางของถนนจนสุดถนน จากนั้นจึงเลี้ยวซ้ายเดินไปบนถนนดิน ในตอนที่เฮยเมี่ยนหยุดลง เย่เทียนเฉินก็พบว่าพวกเขาได้มาถึงประตูบ้านแบบโบราณแห่งหนึ่งแล้ว เป็นเรือนแบบเก่าที่มีลานหน้าบ้านอะไรประมาณนั้น เขตเรือนถูกล้อมรอบด้วยกำแพง ประตูใหญ่ก็เป็นประตูไม้แบบโบราณ แม้จะไม่ได้เข้าไปเย่เทียนเฉินก็พบว่าภายในลานมีต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าอยู่ต้นหนึ่ง ไม่รู้ว่ามีอายุกี่ร้อยปี ดูขลังเป็นอย่างมาก
สิ่งที่ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกประหลาดใจก็คือ รอบลานบ้านที่ไม่ใหญ่แห่งนี้มีทหารถือปืนยืนอยู่เต็มไปหมด ทุกคนยืนห่างกันหนึ่งเมตร แต่ละคนยืนตรงตามมาตรฐานของทหาร มือทั้งสองกระชับปืนกลในมือ บริเวณประตูของเขตเรือนแห่งนี้ก็มีทหารร่างกายกำยำยืนอยู่สี่นาย มีรถซีดานสีดำคันหนึ่งและยังมีรถบรรทุกลำเลียงสีเขียวของทหารอยู่อีกหลายคัน พลังพิเศษแห่งการรับรู้ของเย่เทียนเฉินแผ่ขยาย เขาพบว่ายังมีทหารอีกจำนวนมากที่แอบซ่อนตัวอยู่รอบๆ ล้อมเมืองเล็กๆ แห่งนี้ไว้ทั้งเมือง กล่าวได้ว่าแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
“พวกแกสองคนเป็นใคร? ที่นี่ห้ามเข้าไป!” เฮยเมี่ยนและเย่เทียนเฉินเพิ่งจะปรากฏตัวออกมาก็มีทหารถือปืนคนหนึ่งเดินเข้ามาขวางเอาไว้
ในตอนนี้เองเย่เทียนเฉินจึงได้สติกลับมา เมื่อมองไปด้านข้างพบว่ามีนักศึกษาหญิงอายุประมาณ 17-18 ปีคนหนึ่ง ถึงแม้จะแต่งตัวเรียบง่ายแต่ก็ไม่อาจปิดบังหน้าตาที่งดงามหยาดเยิ้มของเธอได้ ตอนนี้กำลังมีท่าทางน้ำตาไหลสะอึกสะอื้น คล้ายกับต้องการที่จะเข้าไปในเขตเรือน
เฮ้ยเมี่ยนเดินเข้าไป หยิบของสิ่งหนึ่งที่ดูคล้ายกับเหรียญตราออกมาจากบริเวณหน้าอก เมื่อทหารถือปืนที่มาขวางพวกเขาเอาไว้ได้เห็นของสิ่งนี้ก็หลบไปยืนด้านข้างอย่างนอบน้อม และยังทำความเคารพเฮยเมี่ยนและเย่เทียนเฉินอีกครั้งหนึ่ง ทำท่าทางเชิญให้เข้าไป
“พี่ชายคะ หนูขอเข้าไปกับพี่ชายได้ไหมคะ?” เฮยเมี่ยนเพิ่งจะก้าวผ่านประตูเข้าไป เย่เทียนเฉินเพิ่งจะเดินถึงประตู นักศึกษาหญิงคนนั้นก็มองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างเขินอายแล้วพูดออกมาเสียงเบา
“เธออยากจะเข้าไปกับพวกเราเหรอ? ข้างในอันตรายมาก ไม่กลัวหรือไง?” เย่เทียนเฉินถามด้วยรอยยิ้ม
“ไม่กลัว บ้านของหนูอยู่ที่นี่ คุณช่วยพูดกับพวกเขาให้หน่อยนะคะ ให้ฉันเข้าไปกับพวกคุณได้ไหม?” นักศึกษาหญิงตัวน้อยพูดกับเย่เทียนเฉินด้วยท่าทางขอร้อง
เย่เทียนเฉินเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “มาเถอะ!”
“ขอบคุณพี่ชาย ขอบคุณมากค่ะ!” บนใบหน้าของนักศึกษาหญิงตัวน้อยปรากฏรอยยิ้มขึ้น
ไหนเลยจะรู้ว่า ในตอนที่เย่เทียนเฉินกำลังจะพานักศึกษาหญิงที่ไม่รู้จักคนนี้เข้าไปด้วยกันนั้น นายทหารถือปืนที่มาขวางพวกเขาในตอนแรกก็ขวางอยู่เบื้องหน้าเย่เทียนเฉินอีกครั้ง แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “ขอโทษด้วยครับ พวกคุณเข้าไปได้แค่สองคน ผู้หญิงคนนี้มีที่มาไม่ชัดเจน ห้ามเข้าไป!”
“ไม่เป็นไร ฉันจะดูแลเธอเอง!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ได้ครับ หากว่าเกิดความผิดพลาดอะไรขึ้น พวกเราคงรับผิดชอบไม่ไหว รวมถึงคุณด้วย!”
“พี่ชาย…”
“วางใจเถอะ ฉันจัดการเอง!” เย่เทียนเฉินยิ้มให้กับนักศึกษาหญิงตัวน้อยคนนั้นแล้วพยักหน้ากล่าว
เย่เทียนเฉินย่อมเข้าใจถึงสาเหตุที่ว่าทำไมจึงไม่ให้นักศึกษาหญิงคนนี้เข้าไป มู่หรงอวี๋ตูมาถึงแล้ว เขาเป็นบุคคลที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก ความปลอดภัยของเขาก็สำคัญมาก ย่อมไม่สามารถปล่อยให้คนที่มีที่มาที่ไปไม่ชัดเจนเข้าใกล้ได้
แต่เย่เทียนเฉินมีสัญชาตญาณอย่างหนึ่ง นั่นก็คือนักศึกษาหญิงคนนี้ไม่มีอันตรายอะไร เขาเชื่อในสัญชาตญาณของตน เชื่อว่าบนร่างของนักศึกษาหญิงคนนี้ไม่มีกลิ่นอายของไอสังหารอยู่ บริสุทธิ์เหมือนกับเสี้ยวหยา
“เฮยเมี่ยน ฉันไม่เข้าไปกับนายแล้ว จะอยู่คุยกับน้องสาวคนนี้ด้านนอก!” เย่เทียนเฉินยักไหล่ให้เฮยเมี่ยนแล้วพูดขึ้น
“แก…ปล่อยให้พวกเขาสองคนเข้าไปด้วยกัน!” เฮยเมี่ยนมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างดุดันครั้งหนึ่ง จนปัญญากับเจ้าหมอนี่จริงๆ ทำได้เพียงออกคำสั่งกับทหารถือปืนหลายคนที่อยู่ด้านข้าง
“มาเถอะ!” เย่เทียนเฉินหันไปพูดกับนักศึกษาหญิงด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณพี่ชายมากค่ะ!” นักศึกษาหญิงพูดกับเย่เทียนเฉินด้วยความซาบซึ้งใจ
เฮยเมี่ยนรู้สึกไม่เข้าใจจริงๆ ตกลงเย่เทียนเฉินมีสมองหรือไม่มีสมองกันแน่ ตกลงเป็นอันธพาลหรือเป็นเทพแห่งความตายกันแน่? ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ถึงกับกล้าพาคนแปลกหน้าเข้าไปด้วย ไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะเป็นนักฆ่าหรือไง?
เพียงแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เฮยเมี่ยนก็จนปัญญากับเย่เทียนเฉิน ครั้งนี้เขาได้รับข้อมูลมาว่า เนื่องจากการปรากฏตัวของมู่หรงอวี๋ตู ทำให้อาจจะมียอดฝีมือมาลอบสังหารได้ตลอดเวลา มาถึงตอนนั้นหากอาศัยเขาเพียงคนเดียว อาจจะไม่มีกำลังมากพอที่จะป้องกัน ยังต้องอาศัยฝีมือของเย่เทียนเฉินด้วย
……………………………..