เมื่อเห็นการจัดกระบวนทัพอันแข็งแกร่งนี้ แม้แต่คนโง่ก็ดูออกว่ามู่หรงอวี๋ตูต้องเป็นคนใหญ่คนโตแน่นอน กระทั่งท่านผู้นำสูงสุดของประเทศก็ยังให้ความสำคัญกับเขาอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าคนเช่นนี้มีอำนาจอิทธิพล และทำผลงานให้แก่ประเทศชาติไปไม่น้อย
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เฮยเมี่ยนอับจนคำพูดก็คือ ภายใต้สถานการณ์ที่เคร่งเครียดและอันตรายเป็นอย่างมากเช่นนี้ กลับมีนักศึกษาหญิงแปลกหน้าอายุประมาณ 17-18 ปีคนหนึ่งร่วมวงด้วย และที่ยิ่งทำให้อับจนคำพูดเข้าไปใหญ่ก็คือ เย่เทียนเฉินถึงกลับไม่ถามถึงเหตุผล ก็ตอบรับคำขอของนักศึกษาหญิงแปลกหน้าคนนี้ และต้องการพาเธอเข้าไปในลานด้วยกัน
“หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น ไอ้หนูอย่างแกต้องรับผิดชอบทั้งหมด!” เฮยเมี่ยนหันไปมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก
“วางใจเถอะ ผู้หญิงน่ารักแบบนี้ จะเป็นคนชั่วไปได้ยังไง? คนที่ไม่เข้าใจอารมณ์ของหนุ่มสาวอย่างแก มิน่าล่ะทุกครั้งถึงได้ถูกถูกผู้หญิงสลัดทิ้ง สมควรแล้ว…” เย่เทียนเฉินที่เป็นคนที่ไม่เข้าใจความรักของชายหญิงคนหนึ่ง ในตอนนี้ถึงกับกล้าพูดเสียดสีเฮยเมี่ยนออกมาได้
“แก…แกไปฟังใครพูดมา?” เฮยเมี่ยนอดไม่ได้ที่จะมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วเอ่ยถามออกมาอย่างดุดัน
“ชางหลาง…อ้อ เขาพูดออกมาโดยไม่ระวังน่ะ!” เย่เทียนเฉินพูดพลางหัวเราะฮี่ๆ
“พวกแก…ชางหลาง ฉันไม่จบกับแกง่ายๆ แน่!” เฮยเมี่ยนกำหมัดแน่น พูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์
เย่เทียนเฉินเห็นว่าเฮยเมี่ยนถูกทำให้โกรธจนหน้าเขียวเข้าจริงๆ ก็อดไม่ได้ที่ยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ เมื่อวันนั้นเขาลากชางหลางมาดื่มเหล้าด้วยกัน สุดท้ายทั้งคู่ก็ดื่มจนเมา ชางหลางเองก็พูดจาออกมามั่วซั่วไปหมด ในตอนที่พูดถึงเฮยเมี่ยน ก็ได้พูดถึงเรื่องน่าอายของเฮยเมี่ยนออกมาเล็กน้อย ตอนนี้ถูกเย่เทียนเฉินเอามาใช้ยั่วยุเฮยเมี่ยนต่อหน้า แน่นอนว่าเฮยเมี่ยนจะต้องโกรธจนอยากจะอัดคน
ในตอนที่เย่เทียนเฉิน เฮยเมี่ยน และนักศึกษาหญิงตัวน้อยแปลกหน้าคนนั้น เดินไปถึงลานด้วยกัน พบว่ากลางลานมีโต๊ะหินอยู่ตัวหนึ่งและเก้าอี้อยู่สามตัว ที่โต๊ะมีชายชราสวมชุดทหารนั่งอยู่ อายุประมาณ 60 ปี หน้าเหลี่ยม โกนหัวจนเกลี้ยง มีบรรยากาศดุดัน ด้านหลังของเขามีบอดี้การ์ดถือปืนท่าทางแข็งแกร่งยืนอยู่สองคน
เชื่อว่าชายชราสวมชุดทหารคนนี้จะต้องเป็นมู่หรงอวี๋ตูแน่นอน เป็นชายชาติทหารที่ผ่านสนามรบมานับร้อยจริงดังคาด ในความคิดของเย่เทียนเฉิน ชายชราคนนี้ดูมีอำนาจเป็นอย่างมาก มีความยิ่งใหญ่ที่ไม่อาจสั่นสะเทือนดั่งเขาไท่ซาน
ฝั่งตรงข้ามของมู่หรงอวี๋ตูมีชายชราอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ คนคนนั้นทั้งเส้นผมและหนวดเคราต่างขาวโพลนไปหมดแล้ว ดูผิวเผินมีรูปร่างผอม แต่ดวงตาเปล่งประกาย ในตอนที่พวกเย่เทียนเฉินทั้งสามคนเดินเข้ามา สายตาของชายชราคนนั้นก็มองมายังเย่เทียนเฉินครู่หนึ่ง คล้ายกับต้องการมองให้เห็นถึงอะไรบางอย่าง
“พี่อีเต๋อ ผมมู่หรงอวี๋ตู ชีวิตนี้ไม่เคยขอร้องใครมาก่อน แต่ตอนนี้ผมขอร้องคุณ ได้โปรดช่วยหลานสาวของผมด้วย ไม่ว่าจะมีเงื่อนไขอะไร ผมก็ยินดีจะตอบรับทั้งหมด!” มู่หรงอวี๋ตูมองไปยังชายชราผมขาวที่อยู่ตรงข้ามแล้วพูดขึ้น
คำพูดของมู่หรงอวี๋ตูไม่แข็งกร้าวจนดูหยิ่งและก็ไม่ได้ถ่อมตนจนเกินไป แต่กลับสามารถแสดงให้เห็นถึงความรักที่คุณปู่คนหนึ่งมีต่อหลานสาว โดยเฉพาะมู่หรงอวี๋ตูที่สู้รบอยู่ในสงครามมาชั่วชีวิต จนถึงตอนนี้สายเลือดของตระกูลมู่หรงเหลือมู่หรงซินที่เป็นหลานสาวเพียงคนเดียว ดังนั้นไม่ว่าจะต้องจ่ายค่าตอบแทนอะไรออกไป มู่หรงอวี๋ตูก็ต้องการช่วยเหลือหลานสาวของตน ต่อให้มู่หรงอวี๋ตูจะเอาชนะอุปสรรคในสนามรบมาได้ชั่วชีวิตและมีบรรยากาศแห่งการฆ่าฟันติดตัวมาจากไฟสงครามทจนทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัว แต่ตอนนี้เพื่อที่จะช่วยหลานสาวของตน มู่หรงอวี๋ตูก็จำเป็นจะต้องวางทิฐิลง
“นายพลมู่หรง คุณจะให้ความสำคัญกับผมจางอีเต๋อเกินไปแล้ว ผมรักษาอาการป่วยของหลานสาวคุณไม่ได้ ผมก็เป็นแค่หมอเดินดินคนหนึ่ง ผมว่าคุณไปขอร้องคนเก่งๆ ดีกว่า อย่าได้เสียเวลาอีกเลย!”
ชายชราผมขาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของมู่หรงอวี๋ตูหยิบกาน้ำชาของตนขึ้นมารินชาพลางกล่าวอย่างเฉยเมย คล้ายกับว่าความเป็นความตายของหลานสาวของมู่หรงอวี๋ตูไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา ราวกับว่าเขาไม่ต้องการที่จะรักษา
“ปรมาจารย์จาง ไม่ขอปิดบังคุณ หลังจากที่ผมทำการตรวจสอบออกมาแล้ว ถึงได้หาที่นี่พบ ผมรู้ว่าคุณมีความสามารถที่จะรักษาหลานสาวของผมให้ดีได้ คุณสามารถทำได้แม้กระทั่งยืดเวลาชีวิตออกไป ทำไมถึงไม่เต็มใจที่จะรักษาให้หลานสาวของผมล่ะครับ? ช่วยชีวิตคนคนหนึ่งประเสริฐก่อสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น!” มู่หรงอวี๋ตูพูดออกมาอย่างสะเทือนใจ
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่หรงอวี๋ตู ชายชราผมขาวที่ชื่อว่าจางอีเต๋อก็อดไม่ได้ที่จะหยุดการกระทำในมือจนน้ำชาในกาที่กำลังรินใส่แก้วล้นออกมาเต็มโต๊ะ เห็นได้ว่าคำพูดของมู่หรงอวี๋ตูทำให้จางอีเต๋อรู้สึกแปลกใจ
ทุกคนที่อยู่ในที่นี้ นอกจากมู่หรงอวี๋ตูและจางอีเต๋อแล้ว คนที่ฟังเข้าใจจนต้องตกตะลึงก็มีเพียงเย่เทียนเฉินคนเดียว สิ่งที่ทำให้เย่เทียนเฉินคิดไม่ถึงก็คือ ชายชราผมขาวตรงหน้าถึงกับสามารถต่ออายุให้คนได้ หรือเขาจะเป็นเซียนแพทย์เทวะเมื่อ 20 ปีก่อนหน้านี้ เป็นยอดฝีมือผู้มีพลังพิเศษที่มีความสามารถในสายพิเศษ?
“ผมไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดอะไร รีบไปเถอะครับ!” เมื่อได้สติกลับมาจางอีเต๋อจึงโบกมือด้วยเจตนาส่งแขก
“ปรมาจารย์จาง ในเมื่อผมพูดมาถึงขั้นนี้แล้ว หวังว่าคุณจะเข้าใจได้ ขอเพียงคุณช่วยหลานสาวของผม เงื่อนไขอะไรผมก็จะตอบรับทั้งนั้น มิเช่นนั้นก็อย่าว่าที่ผมมู่หรงอวี๋ตูจะต้องลงมือ!” มู่หรงอวี๋ตูรู้สึกโกรธขึ้นบ้างแล้ว จ้องมองไปยังจางอีเต๋อแล้วพูดขึ้น
เมื่อเห็นว่าจางอีเต๋อกำลังตกตะลึง มู่หรงอวี๋ตูก็รีบส่งสัญญาณมือ นายทหารสองคนเข็นเก้าอี้รถเข็นแบบพิเศษเข้ามา บนเก้าอี้รถเข็นมีเด็กสาวหน้าตางดงามสะอาดสะอ้านคนหนึ่งนั่งอยู่ ความงดงามเพริศพริ้งของเธอทำให้ทุกคนต้องดวงตาพร่าเลือน เพียงแต่น่าเสียดายที่ใบหน้าของเธอขาวซีด ระหว่างคิ้วถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมนที่อธิบายไม่ถูก ในตอนที่เย่เทียนเฉินเห็นเธอ ดวงตาของเขาก็ไม่มีประกายแม้แต่ครึ่งส่วน ทำเพียงเดินเข้าไปใกล้เก้าอี้รถเข็นแบบพิเศษนั้น
“นี่คือหลานสาวของผม มู่หรงซิน หวังว่าคุณจะช่วยเธอ ผมจะไม่ลืมบุญคุณเลย!” มู่หรงอวี๋ตูประสานหมัดคารวะจางอีเต๋อแล้วพูดขึ้น
จางอีเต๋อมองเด็กสาวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นครู่หนึ่ง เด็กสาวคนนั้นใบหน้าซีดขาว ลมหายใจรวยระริน ระหว่างคิ้วปกคลุมไปด้วยความหม่นหมอง ไม่รู้ว่าป่วยเป็นอะไร
“ไปเถอะครับ ผมไม่มีความสามารถ คุณเตรียมโลงศพไว้ล่วงหน้าเถอะ!” จางอีเต๋อส่ายหน้า ลุกขึ้นยืนเตรียมจะเดินจากไป
ปัง!
มู่หรงอวี๋ตูใช้ฝ่ามือตบลงบนโต๊ะหินพลางลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้หิน จ้องมองไปยังจางอีเต๋อเขม็งแล้วพูดขึ้น “ปรมาจารย์จาง ผมมู่หรงอวี๋ตู ชั่วชีวิตนี้ฆ่าคนไปไม่น้อย แต่ว่า แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยฆ่าคนบริสุทธิ์ ซินเอ๋อร์เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงคนเดียวของตระกูลมู่หรงของผม หากว่าเธอตาย ผมก็ไม่มีห่วงอะไรอีก ถึงตอนนั้นก็อย่ามาตำหนิผมแล้วกัน!”
จางอีเต๋อหันไปมองมู่หรงอวี๋ตู ดวงตาเจือประกายความโกรธเคือง เขามองไปยังทหารถือปืนรอบๆ สุดท้ายจึงมองไปยังนักศึกษาหญิงแปลกหน้าที่อยู่ข้างกายเย่เทียนเฉิน ทอดถอนใจออกมาแล้วพูดกับมู่หรงอวี๋ตูว่า
“นายพลมู่หรง ในเมื่อคุณพูดมาอย่างชัดเจนแบบนี้แล้ว ผมจางอีเต๋อก็จะพูดกับคุณให้เข้าใจ เกรงว่าหลานสาวคนนี้ของคุณจะไม่ได้เจ็บป่วย แต่ว่าถูกพิษ เป็นพิษประเภทสยบเรียกว่าหญ้าสยบกายา จะทำให้เกิดการเจ็บป่วยเนื่องจากพลังหยินมากเกิน คนที่ถูกพิษไม่มีทางช่วยเหลือมีเพียงหนทางแห่งความตายเท่านั้น ไม่รู้ว่าคุณไปล่วงเกินใคร ถึงได้ต้องการจะฆ่าสายเลือดคนสุดท้ายที่เหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียวของตระกูลมู่หรงของคุณ!”
ทุกคนที่ได้ยินคำพูดของจางอีเต๋อต่างก็ต้องสั่นสะท้าน คนที่อยู่ในฐานะและตำแหน่งอย่างพวกเขา ย่อมเข้าใจได้มากกว่าคนธรรมดาทั่วไป กระทั่งเย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจ พิษสยบ ไม่ได้ยินคำนี้มานานแล้ว ในช่วงยุคสิ้นโลกซึ่งเป็นโลกที่มีความแปลกประหลาดทุกสิ่งทุกอย่างอยู่นั้น วิชาสายมืดอันเก่าแก่มากมายต่างก็ถูกขุดออกมา ส่วน “สยบ” ก็คือวิชาประเภทมืดหนึ่งในนั้น หากพูดง่ายๆ ก็คล้ายกับตุ๊กตาวูดู เป็นวิชาสาปแช่ง
แต่พิษที่มู่หรงซินหลานสาวของมู่หรงอวี๋ตูได้รับไม่ใช่คำสาปสยบธรรมดา แต่เป็นพิษสยบ เป็นการรวมพิษกับคำสาปสยบเข้าด้วยกัน ไร้หนทางแก้ไขโดยสิ้นเชิง ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะมีชีวิตรอดแม้แต่น้อย มิน่าล่ะ หลังจากที่จางอีเต๋อเห็นมู่หรงซินถึงได้ปฏิเสธอย่างเด็ดขาด หากต้องการแก้พิษจากหญ้าสยบกายา ยังยากยิ่งกว่าการไต่ขึ้นสวรรค์เสียอีก
“ผมขอบอกคุณอย่างไม่ปิดบัง หญ้าสยบกายาเป็นสมุนไพรพิษระดับสูงประเภทหนึ่ง ในนั้นเขาไปด้วยคำสาปที่ผู้ใช้วิชามีต่อผู้ถูกคำสาป และหญ้าชนิดนี้เดิมทีก็มีพิษอยู่แล้ว รู้ไหมว่าทำไมเมื่อมันเข้าไปในร่างกายของหลานสาวของคุณแล้วเธอถึงยังสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ และใบหน้าสีขาวขึ้นเรื่อยๆ? นั่นก็เป็นเพราะผู้ใช้วิชาต้องการทรมานเธอ ต้องการให้คุณเจ็บปวด จึงได้ลดทอนประสิทธิภาพของหญ้าสยบกายาลง ให้มันค่อยๆ ซึมเข้าไปเพื่อกัดกินเลือดเนื้อของหลานสาวของคุณทีละน้อย จนกระทั่งเลือดของเธอถูกกินจนแห้งเหือด อวัยวะภายในถูกกัดกินจนว่างเปล่า ผู้ใช้อาคมคนนี้โหดเหี้ยมมาก!” จางอีเต๋อพูดพลางส่ายหน้า
“นี่…ปรมาจารย์จาง ไม่ว่าจะอย่างไรคุณก็ต้องช่วยหลานสาวผม ไม่ว่าจะมีเงื่อนไขอะไรผมก็จะตอบรับ ไม่ว่าจะต้องใช้เงินหรืออำนาจอะไร หรือต้องการชีวิตของผม ผมก็ให้คุณได้…” มู่หรงอวี๋ตูตกตะลึง รีบมองไปยังจางอีเต๋อแล้วพูดขึ้น
“ผมไร้ความสามารถจริงๆ คุณไปเถอะ ไปขอร้องคนที่มีความสามารถเถอะ!” จางอีเต๋อพูดพลางส่ายหน้า
“ปรมาจารย์จาง ผมคิดทุกวิถีทางแล้ว ตอนนี้มีเพียงอาศัยคุณเท่านั้น ผมคิดว่าคุณเองก็คงเข้าใจ กว่าผมสามารถหาที่นี่พบก็ลงแรงไปมาก ผมเชื่อว่าคุณจะต้องมีวิธีแน่นอน เมื่อปีนั้นคุณยังสามารถยืดอายุให้ท่านผู้นำได้ ทำไมจะไม่สามารถแก้พิษสยบนี้ได้ล่ะครับ?” มู่หรงอวี๋ตูเอ่ยปากพูด
“เรื่องเมื่อปีนั้นผมเองก็คิดว่าทำเพื่อประโยชน์ของประชาชน ครั้งนี้พิษสยบของหลานสาวของคุณ ผมไร้ความสามารถจริงๆ เชิญคุณไปเถอะครับ อย่าได้มารบกวนการพักผ่อนของผมเลย!” จางอีเต๋อพูดจบก็หมุนตัวเดินไปในบ้าน คล้ายกับว่าต่อให้ต้องตายก็จะไม่ช่วย
เมื่อเห็นจางอีเต๋อไม่เต็มใจที่จะรักษาหลานสาวของตัวเอง มู่หรงอวี๋ตูก็ไร้ซึ่งหนทางจริงๆ แล้ว เขาทำได้เพียงเดิมพันว่าจางอีเต๋อจะมีวิธีการแก้พิษสยบนี้ได้ จางอีเต๋อซ่อนตัวมา 20 ปีแล้ว เมื่อปีนั้นที่ท่านผู้นำป่วยหนักอีกครั้งหนึ่ง ทางรัฐได้ส่งยอดฝีมือจำนวนนับไม่ถ้วนออกไปตามหาแต่ก็หาจางอีเต๋อไม่พบ หากไม่ใช่ว่าวันนี้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีการพัฒนาไปมาก เกรงว่ามู่หรงอวี๋ตูก็คงได้แต่มองหลานสาวตายไปต่อหน้า ไม่อาจตามหาจางอีเต๋อจนเจอ
ทันใดนั้น มู่หรงอวี๋ตูหยิบปืนออกมาจากเอวโดยพลัน เล็งไปยังท้ายทอยของจางอีเต๋อแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “จางอีเต๋อ ผมนับถือในคุณธรรมและวิชาแพทย์ของคุณ ถึงได้เอ่ยปากขอร้อง ถ้าหากหลานสาวผมมีอันตรายอะไรขึ้นมาจริงๆ ผมจะต้องฆ่าคุณแน่ จะฆ่าตระกูลจางของพวกคุณทั้งหมดให้ตายเป็นเพื่อนหลานสาวของผม!”
…………………………….