หลิงเยว่ พ่อของหลิงอวี่สวิ๋นและหัวเรือใหญ่แห่งตระกูลหลิง เป็นชายที่ประสบความสำเร็จและมีความสามารถเป็นอย่างมาก มิฉะนั้นเขาคงไม่ได้เป็นหัวเรือใหญ่ของตระกูลลิงที่ยิ่งใหญ่ในตอนที่คุณปู่ของหลิงอวี่สวิ๋นยังคงอยู่ในโลกนี้แน่
ประมาณสามปีก่อน ตอนนั้นตระกูลหลิงยังอยู่ต่างประเทศ ปักหลักอยู่ที่ประเทศ M คุณปู่ของหลิงอวี่สวิ๋นซึ่งก็คือผู้อาวุโสหลิง เห็นว่าลูกชายของเขาหลิงเยว่มีความสามารถถึงขนาดนี้ทั้งยังมีความกตัญญู รวมกับที่ตัวเขาเองก็แก่ชรามากแล้ว มีหลายเรื่องที่อยากทำแต่ไร้เรี่ยวแรง จึงได้มอบตำแหน่งหัวเรือใหญ่แห่งตระกูลหลิงให้แก่หลิงเยว่โดยไม่สนใจเสียงคัดค้านของเหล่าพี่น้องและคุณลุงคุณอาทั้งหลายในตระกูล ถึงแม้ตระกูลหลิงจะมีหลายคนที่ไม่พอใจต่อตัวของหลิงเยว่มาโดยตลอด แต่ก็หวาดกลัวผู้อาวุโสที่ยังมีชีวิตอยู่จึงไม่กล้าขัดแย้งกันอย่างชัดเจน
แต่หลิงเยว่และพ่อของเขาเคยคุยเรื่องธุรกิจกันมาก่อน เขารู้ว่ามีคุณลุงคุณอาบางคนไม่ต้องการที่จะกลับมาในประเทศ พวกเขาอยู่ที่ประเทศ M จนคุ้นชินแล้ว และยังมีชีวิตมั่นคงร่ำรวยอยู่ที่นั่น ลืมประเทศแม่และบ้านเกิดของตัวเอง กระทั่งในหมู่พี่น้องของหลิงเยว่ก็มีคนที่คัดค้านอยู่จำนวนหนึ่ง แต่ที่พวกเขาไม่กล้าก่อเรื่อง เป็นเพราะผู้อาวุโสหลิงซึ่งเป็นคุณพ่อของพวกเขายังคงมีชีวิตอยู่ จะอย่างไรหลายปีมานี้ผู้อาวุโสหลิงรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองแย่ลงทุกวัน ดังนั้นจึงให้หลิงเยว่ผู้เป็นลูกชายกลับประเทศมา และย้ายธุรกิจของตระกูลหลิงกลับมาในประเทศให้เร็วที่สุด เขารู้ว่าถ้าเขาตายไป หลิงเยว่คงจะต้องเผชิญหน้ากับความกดดันมากมาย เหล่าพี่น้องคุณลุงคุณอาที่ไม่พอใจพวกนั้นก็จะต้องก่อเรื่องขึ้นมาอย่างแน่นอน
ดังนั้นตั้งแต่ที่หลิงเยว่กลับมาในประเทศจึงได้ทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะย้ายธุรกิจกลับมา ซึ่งรวมไปถึงการสร้างความสัมพันธ์กับรัฐบาลประเทศจีนด้วย นี่ทำให้เขาได้รับความสำคัญจากคนระดับสูงในประเทศ จะอย่างไรพวกเราก็เป็นคนจีนด้วยกัน คงไม่มีใครที่ไม่อยากจะช่วย ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลหลิงยังเป็นตระกูลที่มีอิทธิพลยิ่งใหญ่ต่อโลกธุรกิจต่างประเทศอีกด้วย หากว่าย้ายกลับมาทำธุรกิจในประเทศ เชื่อว่าจะต้องทำให้เศรษฐกิจของประเทศจีนพัฒนาขึ้นอย่างมาก และนำพาผลลัพธ์อันน่าตื่นตะลึงมาด้วยแน่นอน ดังนั้นประเทศจีนจึงยินดีต้อนรับเป็นที่สุด
ไม่ง่ายเลยกว่าที่ธุรกิจของตระกูลที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้จะย้ายกลับมาก่อตั้งอยู่ในประเทศจีนอย่างมั่นคงหยั่งรากลึก ดังนั้นคนในประเทศก็ทำได้เพียงสามารถช่วยเหลืออย่างลับๆ หรือไม่ก็ช่วยพูดเรื่องของนโยบายเล็กน้อย ส่วนใหญ่ก็ยังต้องพึ่งพาตัวของพวกเขาเอง ตัวอย่างไรประเทศจีนก็ใหญ่มาก มีกลุ่มอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่อยู่มากมาย ทางประเทศไม่สามารถละทิ้งทุกอย่างและมาใส่ใจตระกูลหลิงเพียงตระกูลเดียว
เพื่อที่จะช่วยให้ธุรกิจของตระกูลหลิงค่อยๆ ย้ายเข้ามาพัฒนาต่อในประเทศทีละเล็กทีละน้อย หลังจากที่หลิงเยว่กลับมาเขาก็ได้ทำการติดต่อและไกล่เกลี่ยกับคนทุกภาคส่วน ในขณะเดียวกันก็ใคร่ครวญถึงโครงการต่างๆ เตรียมตัวที่จะทำการลงทุนครั้งใหญ่ และเริ่มสานสัมพันธ์กับกลุ่มอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่บางตระกูล หวังว่าพวกเขาจะสามารถช่วยเหลือตระกูลหลิงได้บ้าง มีผลประโยชน์ร่วมกัน นี่จึงทำให้เขาต้องติดต่อกับคนจำนวนมาก ดังนั้นจึงพูดได้ว่าความกดดันของหลิงเยว่มีมากมายเหลือเกิน
ในตอนที่รู้ว่าลูกสาวของเขาหลิงอวี่สวิ๋นได้ไปมาหาสู่กับเย่เทียนเฉิน หลิงเยว่ก็คิดไปถึงจุดสำคัญที่สุดของปัญหาบางอย่างในทันที เมื่อปีนั้นตระกูลหลิงและตระกูลเย่มีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวต่อกันจริงๆ อีกทั้งยังอาศัยอยู่ในซอยเดียวกัน แต่ว่าหลายปีมานี้ก็ไม่ได้มีการติดต่อกันแล้วจึงค่อยๆ ห่างเหินไป ยิ่งไปกว่านั้นหลิงเยว่ยังเข้าใจเป็นอย่างดีว่าตระกูลเย่ตกต่ำลงไปนานแล้ว กลายเป็นตระกูลชั้นสามของเมืองหลวงไปแล้ว และไม่อาจปีนป่ายขึ้นมาได้ ด้วยตำแหน่งฐานะและอำนาจของตระกูลหลิงในปัจจุบันนี้ ตระกูลเย่ไม่สามารถเทียบได้โดยเด็ดขาด
จุดที่สำคัญที่สุดก็คือ หลังจากที่หลิงเยว่ส่งย่าขู่ไปตรวจสอบจึงได้รู้ว่าเย่เทียนเฉินเป็นคนที่กำลังเผชิญกับอุปสรรคอันตรายมากมาย ถึงแม้ความสามารถส่วนตัวของเขาจะแข็งแกร่งมาก ถึงขนาดที่ตระกูลฉินและตระกูลลั่วเคยส่งมือสังหารชั้นยอดไปลอบสังหารเย่เทียนเฉินและสุดท้ายก็ต้องล้มเหลวกลับมา แต่หลิงเยว่ไม่เชื่อโดยเด็ดขาดว่า ด้วยเย่เทียนเฉินเพียงคนเดียวจะสามารถงัดข้อกับอำนาจใหญ่มากมายได้ ยิ่งไปกว่านั้นครั้งนี้คู่ต่อสู้ของเย่เทียนเฉินก็คือคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง เป็นผู้ชายที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเพื่อความรุ่งเรืองของตระกูลหลิงของตนหรือเพื่อความปลอดภัยของลูกสาว หลิงเยว่จึงทำการตัดสินใจว่าจะไม่ให้ลูกสาวได้ไปมาหาสู่กับเย่เทียนเฉินเป็นอันขาด
“พ่อคะ หนูไม่สนใจว่าเย่เทียนเฉินจะเป็นยังไง หนูเป็นเพื่อนกับเขา ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของหนู พ่อไม่มีสิทธิ์ห้าม!” หลิงอวี่สวิ๋นเห็นว่าพ่อของตนจะขังตนเอาไว้ในบ้านก็รีบเถียงออกมาด้วยเหตุผล
“พ่อเป็นพ่อของลูก และเป็นผู้ควบคุมตระกูลหลิง คำพูดของพ่อก็คือคำสั่ง ต่อให้ลูกไม่อยากทำตามก็ต้องทำ ย่าขู่ พาเธอไปซะ ไม่อนุญาตให้เหยียบย่างออกจากคฤหาสน์แม้แต่ครึ่งก้าว!” หลิงเยว่มองหลิงอวี่สวิ๋นผู้เป็นลูกแล้วพูดด้วยความเคร่งขรึมจริงจังอย่างหาใดเปรียบ
“พ่อคะ…” หลิงอวี่สวิ๋นน้ำตาไหล เธอคิดไม่ถึงว่าพ่อจะแน่วแน่ถึงขนาดนี้ ตั้งแต่เล็กจนโต นี่เป็นครั้งแรกที่พ่อของเธอเข้มงวดกับเธอขนาดนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อคิดว่าต่อจากนี้จะไม่ได้เจอเย่เทียนเฉินแล้ว หลิงอวี่สวิ๋นก็รู้สึกปวดใจ
หลิงอวี่สวิ๋นถูกย่าขู่ฝืนบังคับพาตัวออกไป หลิงเยว่ทอดถอนใจ เขารักหลิงอวี่สวิ๋นเป็นที่สุด ลูกสาวคนนี้คือความภาคภูมิใจของเขามาโดยตลอด เขาไม่ต้องการทะเลาะกับลูกสาวแบบนี้ แต่ก็ไม่มีวิธีการใด เพื่อตระกูลหลิง เพื่อความปลอดภัยของลูกสาว เขาจำเป็นต้องทำแบบนี้
“นายท่าน มีคำสั่งอะไรครับ!” บอดี้การ์ดสูทดำคนหนึ่งเดินเข้ามาจากประตูด้านข้าง ยืนอยู่ข้างกายของหลิงเยว่อย่างเคารพนอบน้อมแล้วเอ่ยถามขึ้น
“ช่วยฉันจับตาดูเย่เทียนเฉินแห่งตระกูลเย่ หากเขามีการไปมาหาสู่อะไรกับอวี่สวิ๋น ก็สั่งสอนเขาแทนฉันด้วย ถ้าเขายังทำตัวไม่รู้ความ ก็ฆ่าซะ…” หลิงเยว่พูดจบในดวงตาก็มีประกายความโหดเหี้ยมเพิ่มขึ้น
สำหรับกลุ่มอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเบื้องหน้าหรือโลกเบื้องหลัง เมื่อสามารถกลายเป็นตระกูลที่มีอำนาจเช่นนี้ได้ก็ย่อมมีอำนาจอิทธิพลเป็นของตนเองทั้งทางสว่างและทางมืด มิฉะนั้นก็ไม่สามารถคงอำนาจไว้ได้ เมื่อเทียบกับตระกูลหลิงซึ่งเป็นตระกูลใหญ่ตระกูลแรกในสายธุรกิจของชาวจีนโพ้นทะเลที่ไปอยู่ต่างประเทศ และสามารถยืนหยัดได้โดยไม่ล้ม หากไม่มีอำนาจมืดนั่นเป็นไปไม่ได้โดยเด็ดขาด เพราะมักจะมีการต่อสู้ที่ไม่ยุติธรรมเกิดขึ้นเสมอ มักจะมีเรื่องการลอบสังหารและความอันตรายบางอย่างเกิดขึ้นบ่อยๆ เพียงแต่หากไม่ถึงที่สุดจริงๆ ตระกูลหลิงก็จะไม่ใช้วิธีนี้
“ครับ!” บอดี้การ์ดสูทดำตอบรับ แล้วรีบหมุนกายเดินจากไปทันที
หลิงเยว่หยิบหนังสือพิมพ์บนโต๊ะกาแฟขึ้นมา อ่านข่าวเกี่ยวกับตระกูลฉินและตระกูลลั่วต่อไป พูดออกมาอย่างใคร่ครวญว่า “อวี่สวิ๋น ลูกอย่าตำหนิพ่อเลย เย่เทียนเฉินไม่เหมาะสมกับลูก เขาจะเดินไปได้ไม่ไกลนักหรอก และเขาก็ไม่สามารถทำให้ตระกูลเย่รุ่งเรืองได้ด้วย ทำได้เพียงนำพาอันตรายมาสู่ตระกูลหลิงของพวกเราเท่านั้น เมื่อถึงเวลาที่จำเป็น ฆ่าเขาให้ตายซะยังจะดีกว่า!”
เช้าวันต่อมา ในตอนที่เย่เทียนเฉินตื่นพระอาทิตย์ก็แขวนลอยอยู่บนท้องฟ้าเรียบร้อยแล้ว เขาหาวออกมาครั้งหนึ่งพลางบิดขี้เกียจ ในตอนที่เขาเดินออกมาจากห้องพบว่าจางอีเต๋อกำลังออกกำลังกายเช้าอยู่ในลาน ชายชราอายุเกือบร้อยปีคนนี้ออกท่าทางไปเรื่อย บางทีก็สยายปีกคล้ายกับเหยี่ยว บางทีก็ทำท่าปีนป่ายราวกับลิง เย่เทียนเฉินที่เห็นก็รู้สึกแปลกใจ จางอีเต๋อเป็นคนที่ลึกล้ำเกินคาดเดาจริงๆ นอกจากเขาจะมีฝีมือและเป็นเซียนแพทย์เทวะที่มีวิชาแพทย์สูงส่งแล้ว เขายังเข้าใจในเรื่องของความเป็นอมตะเหนือกว่าคนทั่วไปมาก หากจางอีเต๋อเกิดในช่วงยุคสิ้นโลก หรือไม่ก็เกิดในดวงดาวอื่นหรืออารยธรรมอื่นๆ อาจจะสามารถเดินไปบนเส้นทางแห่งความเป็นอมตะได้ไกลยิ่งขึ้นก็เป็นได้!
“พี่เทียนเฉิน พี่ตื่นแล้วเหรอคะ รีบล้างหน้าเถอะ พวกเราจะกินข้าวกันแล้ว!” จางรั่วถงยกอาหารมา พูดกับเย่เทียนเฉินด้วยรอยยิ้ม
“ได้ ทำอาหารมาเยอะแยะน่าอร่อยขนาดนี้ รั่วถงมีความสามารถจริงๆ !” เย่เทียนเฉินพูดแล้วหัวเราะฮี่ๆ
เมื่อเห็นจางรั่วถงเดินเข้าไปในห้องกินข้าว เย่เทียนเฉินก็ไปล้างหน้า จากนั้นจึงเดินไปหาจางอีเต๋อ จางอีเต๋อในตอนนี้ยังคงหันหลังให้เขาและออกกำลังกายกล้ามเนื้อและกระดูกต่อไป ในตอนนี้มองไม่ออกเลยว่าจางอีเต๋อเป็นชายชราอายุเกือบร้อยปี หลังไม่ค่อมเอวไม่คด ร่างกายนั้นทำให้ผู้คนรู้สึกเหลือเชื่อจริงๆ
ฉัวะ!
ไหนเลยจะรู้ว่า เย่เทียนเฉินเพิ่งจะเดินไปถึงด้านหลังของจางอีเต๋อ ยังไม่ทันได้พูดอะไร เงาหมัดก็ต่อยมายังเย่เทียนเฉิน ทั้งเฉียบขาดและว่องไวเป็นอย่างมาก ไม่เหมือนกับกำลังลองเชิง แต่เหมือนกับต้องการต่อสู้เป็นตายจริงๆ
พลั่ก!
เย่เทียนเฉินลงมือ เอี้ยวตัวไปทางซ้าย มือซ้ายจับข้อมือขวาของจางอีเต๋อเอาไว้แล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “จะออกกำลังกายเหรอครับ?”
จางอีเต๋อมองเย่เทียนเฉิน ในดวงตาเจือความประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าปฏิกิริยาของเด็กคนนี้จะว่องไว เดิมทีตั้งแต่เมื่อคืนเขาก็คิดที่จะทดสอบฝีมือของเย่เทียนเฉินแล้ว เพียงแต่ตอนนั้นทั้งสองต่างก็ผ่านการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่มาจนได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นจางอีเต๋อจึงคิดจะลงมือตอนนี้แทน
เมื่อเห็นจางอีเต๋อไม่พูดอะไรเอาแต่โจมตีตนเองมาไม่หยุดหย่อน เย่เทียนเฉินก็โถมตัวเข้าไปเต็มกำลัง ทั้งสองออกกระบวนท่าอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่ได้ใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษอันแข็งแกร่ง เพราะการต่อสู้ระหว่างยอดฝีมือสามารถรู้แพ้รู้ชนะได้ภายในไม่กี่กระบวนท่า ไม่จำเป็นต้องสู้กันถึงตายก็สามารถตัดสินได้ว่าผู้ใดเหนือกว่า
พลั่ก!
หลังจากสิบกระบวนท่าผ่านไป เย่เทียนเฉินและจางอีเต๋อก็ปะทะหมัดกัน ทั้งสองถูกแรงปะทะจนกระเด็นออกมา มองฝั่งตรงข้ามอย่างตื่นตะลึงและหัวเราะออกมาถ้าจะพร้อมกัน
“ฝีมือดี ชนะผมตอนหนุ่มได้แล้ว!” จางอีเต๋อมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
“ถ้าตอนที่ผมอายุร้อยปีและมีความสามารถได้แบบคุณ ผมก็พอใจมากแล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
จางอีเต๋อมองเย่เทียนเฉินแล้วพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไร เดินไปยังห้องกินข้าว เย่เทียนเฉินสัมผัสได้ถึงความแปลกไปของจางอีเต๋อ ดูเหมือนว่าชายชราคนนี้จะมีเรื่องในใจบางอย่าง แน่นอนว่าเขาไม่เต็มใจจะพูด เย่เทียนเฉินเองก็ไม่อยากถาม เดิมทีจางอีเต๋อก็เป็นคนที่มีนิสัยแปลกประหลาดอยู่แล้ว บางทีคนชราที่มีอายุถึงตอนนี้ ต่างก็มีความแปลกประหลาดกันทั้งนั้น
ในตอนที่กินข้าวเช้า จางอีเต๋อเอาแต่กินโดยไม่พูดอะไรสักคำ กลับเป็นเย่เทียนเฉินและจางรั่วถงที่พูดคุยกันอย่างมีความสุข จางรั่วถงยังคีบอาหารให้เย่เทียนเฉินอยู่บ่อยๆ อีกด้วย ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกอายมาก ที่สำคัญก็คือฝีมือทำอาหารของจางรั่วถงยอดเยี่ยมมาก ดูเหมือนว่าอาหารทุกอย่างจะทำออกมาได้อร่อยทั้งหมด โดยเฉพาะเย่เทียนเฉินที่ได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ที่เรียกได้ว่าเป็นตัวตะกละตะกลาม กินข้าวหมดไปห้าถ้วยแล้ว และกินอาหารบนโต๊ะราวกับยัด สุดท้ายก็เหลือเพียงเย่เทียนเฉินคนเดียวที่ขยับตะเกียบ จางอีเต๋อนั้นออกไปจากห้องกินข้าวนานแล้ว ส่วนจางรั่วถงก็มองเย่เทียนเฉินด้วยรอยยิ้ม
“หวา น่าพอใจจริงๆ ฝีมือทำอาหารของเธอไม่เลวเลย คล้ายกับอาหารที่แม่ของฉันทำ เพียงแต่ไม่รู้ว่าวันหลังจะมีโอกาสได้กินอาหารที่เธอทำอีกไหม!” เย่เทียนเฉินผู้ชมจางรั่วถงด้วยรอยยิ้ม
“พี่เทียนเฉิน พี่เป็นคนดี ถ้าพี่มีเวลามาหา หนูก็จะทำอาหารให้พี่กิน!” จางรั่วถงยิ้มหวาน กระพริบดวงตากลมโตมองไปยังเย่เทียนเฉิน
………………….