“หรูเสวี่ย เธอทำอะไรน่ะ? จะหนีออกจากบ้านเหรอ?” พอฉีย่ากวงเห็นน้องสาวของตนกำลังลากกระเป๋าเดินทางใบหนึ่งไปยังเบื้องนอกของคฤหาสน์ ก็รีบขวางไว้แล้วกล่าวถาม
“พี่ หนูจะไม่ยอมแน่ นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวกับความสุขชั่วชีวิตของหนู หนูเสียสละตัวเองเพื่อตระกูลไม่ได้หรอก” ฉีหรูเสวี่ยกล่าวโดยที่ใบหน้างามบึ้งตึง
“หรูเสวี่ย พ่อเองก็ไม่มีทางเลือก แม้ว่าตอนนี้ตระกูลฉีของพวกเราจะมีพ่อเป็นหัวหน้าตระกูล แต่ว่าก็ต้องคิดถึงความคิดเห็นของคุณลุงคุณอาด้วย การแต่งงานของตระกูลฉีกับตระกูลฉินจะทำให้อำนาจของตระกูลยกระดับขึ้นไปอีกขั้น ดังนั้น…”
“ดังนั้นพวกพี่ก็เลยเลือกสละความสุขชั่วชีวิตของหนูใช่ไหม? เอาความสุขชั่วชีวิตของหนูไปเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนทางการเมือง?” ฉีหรูเสวี่ยถามโดยที่ในดวงตาซ่อนน้ำตา
“หรูเสวี่ย นี่…”
ฉีย่ากวงรู้ดีว่าฉีหรูเสวี่ยผู้เป็นน้องได้รับความอยุติธรรมเป็นอย่างมาก ต่อให้เป็นเขาหากจู่ๆ ต้องแต่งงานกับคนแปลกหน้า ก็คงจะรับไม่ได้เช่นกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงน้องสาวที่มีนิสัยดื้อรั้นและได้รับการศึกษาระดับสูงจากต่างประเทศเลยว่าจะเป็นอย่างไร?
แต่ว่า การแต่งงานระหว่างตระกูลในประวัติศาสตร์ของเมืองหลวงก็เป็นเช่นนี้ ไม่สนใจว่าเจ้าตัวจะชอบหรือไม่ อย่างไรเสียในอาณาบริเวณที่มีขั้วอำนาจอิทธิพลมากมายอย่างเมืองหลวง ถ้าหากว่าไม่คิดถึงการยกระดับบารมีและอำนาจอยู่ตลอดเวลา ก็เป็นไปได้มากว่าจากตระกูลชั้นหนึ่งจะตกต่ำเป็นตระกูลชั้นสองหรือชั้นสามได้ในทันที ถึงขั้นกลายเป็นตระกูลชั้นสี่ที่ถูกผู้อื่นดูถูก ซึ่งตระกูลเย่ก็เป็นตัวอย่างที่ดีดี
“พี่ พี่ไม่ต้องพูดแล้ว เรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตของหนู หากหนูไม่ได้เป็นผู้กำหนดเองหนึ่งวัน หนูก็จะไม่กลับมาที่บ้านนี้หนึ่งวัน!”
ฉีหรูเสวี่ยเป็นคนที่สวยมาก และก็เป็นคนที่ดื้อรั้นมากเช่นกัน เติบโตที่ต่างประเทศตั้งแต่เด็ก ความคิดของเธอจึงเป็นอิสระและกล้าแสดงออก สำหรับมุมมองในเรื่องความรัก หากเป็นผู้ชายที่ไม่ได้ชอบก็จะไม่ชายตาแล แต่หากเป็นผู้ชายที่ชอบก็จะอ่อนโยนนุ่มนวลกับเขาราวกับสายน้ำ ต่อให้แค่คืนเดียวก็ไม่สนใจ เพียงแต่ยี่สิบปีมานี้ ไม่มีชายใดที่สามารถทำให้ฉีหรูเสวี่ยใจเต้นได้เลย ดังนั้นฉีหรูเสวี่ยที่มีนิสัยเช่นนี้จึงไม่ยอมประนีประนอมเด็ดขาด เธอเองก็ปรารถนามีความรักอันสมบูรณ์แบบที่ลึกซึ้งไม่มีวันลืม เธอจึงไม่ตอบรับการแต่งงานกับชายแปลกหน้าและร่วมหอลงโลงกันแบบนี้
“หยุดนะ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปไม่อนุญาตให้ลูกออกไปไหน อยู่แต่ในบ้านซะ เดือนหน้าต้องหมั้นกับตระกูลฉิน เรื่องนี้ลูกไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ!” ตอนนี้เอง ฉีชางเซิ่งพ่อของฉีหรูเสวี่ยก็เดินเข้ามาในห้อง กล่าวพลางมองฉีหรูเสวี่ยอย่างเคร่งขรึม
“พ่อ…” ดวงตาอันงดงามของฉีหรูเสวี่ยปกคลุมไปด้วยน้ำตา ตั้งแต่เล็กพ่อก็ไม่เคยปฏิบัติเช่นนี้กับตนมาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการตบตีตนเองเลย
“อย่ามาเรียกฉันว่าพ่อ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปแกไม่ได้รับอนุญาตให้ก้าวออกจากบ้านตระกูลฉี ถ้าหากว่าแกไม่ตกลงแต่งงานกับตระกูลฉิน ความสัมพันธ์พ่อลูกของพวกเราก็ตัดทิ้งไปได้เลย!” ฉีชางเซิ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงอันดัง
เมื่อเห็นฉีชางเซิ่งผู้เป็นพ่อเดินจากไป ฉีหรูเสวี่ยก็ทรุดตัวลงกับพื้นทันที อดร้องไห้ออกมาไม่ได้ แม่มาด่วนจากโลกนี้ไป พ่อจึงคอยเลี้ยงดูพวกเขาพี่น้องอย่างยากลำบากมาโดยตลอด ตั้งแต่เด็กก็ไม่เคยใช้คำพูดแรงๆ กับตัวเธอเลยแม้แต่คำเดียว แต่ครั้งนี้เพื่อแต่งงานกับตระกูลฉิน กลับยอมทำลายความสุขของเธอ ฉีหรูเสวี่ยจะไม่เสียใจได้อย่างไร
“หรูเสวี่ย เธออย่าโทษพ่อเลย พ่อเองก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน ผู้อาวุโสตระกูลฉินเป็นรองนายกรัฐมนตรี มีตำแหน่งและอำนาจสูงส่ง การเลือกตั้งใหม่ในครั้งนี้เป็นไปได้สูงว่าจะได้เป็นนายก ดังนั้น…” เมื่อฉีย่ากวงเห็นว่าฉีหรูเสวี่ยผู้เป็นน้องเสียใจ ก็รีบปลอบใจ
“ดังนั้น ดังนั้นพวกเราตระกูลฉีก็เลยต้องการผูกมิตรกับเขาใช่ไหม? ใช้ความสุขของหนูคนเดียวเพื่อคนตระกูลฉีทั้งหมดใช่ไหม?” ฉีหรูเสวี่ยตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด
แม้ว่าฉีหรูเสวี่ยจะเกิดในตระกูลฉีซึ่งเป็นตระกูลใหญ่ ทั้งยังเป็นหญิงสาวสูงศักดิ์ แต่ว่าเธอโตที่ต่างประเทศตั้งแต่เด็ก ทั้งยังได้รับการศึกษาในระดับสูง ย่อมไม่ใช่คนประเภทที่เกลียดความยากจนรักความร่ำรวย ตอนที่เรียนหนังสืออยู่ที่ต่างประเทศ ฉีหรูเสวี่ยยังเต็มใจเรียนและทำงานไปด้วยโดยไม่มีใครบังคับ แม้ว่าเธอจะไม่ต้องการเงินเล็กน้อยเหล่านั้น แต่ก็เพราะอยากลิ้มลองรสชาติต่างๆ ของชีวิต
ฉีย่ากวงรู้ดีว่าถึงจะเกลี้ยกล่อมน้องสาวอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ พ่อได้ตัดสินใจไปแล้วว่าจะต้องให้ฉีหรูเสวี่ยแต่งงานเข้าตระกูลฉินให้ได้ เขาถอนหายใจครั้งหนึ่งก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป
ฉีหรูเสวี่ยที่ผ่านการร้องไห้อย่างหนัก จู่ๆ ก็เข้มแข็งขึ้นมา ลากกระเป๋าเดินทางของตนเดินออกมาจากประตูใหญ่ของตระกูล เธอไม่เต็มใจจะเป็นเหยื่อสังเวยที่ถูกตระกูลใช้แลกเปลี่ยนเพื่อผลประโยชน์แบบนี้ เธอจะต่อสู้เพื่อความสุขของตัวเอง ตามหาเจ้าชายขี่ม้าขาวในฝัน
เวลาเที่ยงคืนในเมืองหลวงเปรียบกับเมืองใหญ่ทั่วไปแล้วคึกคักกว่ามาก แสงไฟหลากสีของสถานบันเทิงกะพริบวูบวาบ ผู้คนสำมะเลเทเมา ในสถานที่ที่มีกลุ่มอำนาจต่างๆ มากมายเช่นนี้ ไม่มีเวลาใดเลยที่จะไม่เกิดเรื่องราวต่างๆ มากมาย
หลังจากที่เย่เทียนเฉินฆ่าเฉินหู่แล้ว ก็ไม่ได้รีบกลับบ้านในทันที แต่กลับเดินทอดน่องอยู่บนถนนใหญ่ เขาต้องการซึมซับความรู้สึกอันเงียบสงบเช่นนี้ ในโลกแห่งความวินาศ ทุกครั้งที่เย่เทียนเฉินสิ้นสุดการต่อสู้ ก็จะหาสถานที่ที่ไม่มีคนสักแห่งหนึ่ง ซึมซับความเงียบสงบชั่วขณะ มันเป็นความรู้สึกที่ทำให้จิตใจฟื้นคืนสู่ธรรมชาติ ทำให้อารมณ์ของตนนิ่งสงบมากขึ้น นี่เป็นวิธีการฝึกฝนพลังพิเศษอย่างหนึ่ง
ตอนที่ผ่านแผงขายบาร์บีคิวแผงหนึ่งที่อยู่ริมถนน เย่เทียนเฉินก็นั่งลง สั่งบาร์บีคิวมาจำนวนหนึ่ง และสั่งเบียร์มาอีกสองขวดคนเดียว จุดบุหรี่ขึ้นมามวนหนึ่งแล้วสูบอย่างสบายอกสบายใจ คิดย้อนไปถึงช่วงเวลาโลกแห่งความวินาศที่มีการต่อสู้ทั้งเช้าเย็น เข่นฆ่าโรมรันกับศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุด ในจำนวนนั้นมีทั้งยอดฝีมือจากพรรควรยุทธ์โบราณ มีทั้งคนที่มีพลังพิเศษระดับจอมราชันย์ และมีทั้งมนุษย์กลายพันธุ์ และสัตว์กลายพันธุ์ ทั้งหมดล้วนแต่เก่งกาจไร้ที่เปรียบ ต่อให้เป็นเย่เทียนเฉินที่มีพลังพิเศษถึงระดับพระเจ้าก็ไม่กล้าผ่อนคลายการระมัดระวังตัวลงแม้แต่น้อย
โลกแห่งความวินาศที่มียอดฝีมือปรากฏขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย ไม่มีใครกล้าประมาท แม้กระทั่งนอนหลับก็ยังต้องลืมตานอน หากไม่ระวังตัวก็จะถูกมนุษย์กลายพันธ์และสัตว์ร้ายโจมตี พวกมันชอบรสชาติเลือดเนื้อของมนุษย์เป็นอย่างมาก หลังจากได้รับสารอาหารแล้ว พวกมันก็จะบ้าคลั่งและแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
เปิดขวดเบียร์ไปหนึ่งขวด เย่เทียนเฉินก็บี้ก้นบุหรี่ลงเพื่อดับไฟ จากนั้นก็หยิบขวดเบียร์ขึ้นมาดื่มไปอึกหนึ่ง มือซ้ายถือปีกไก่ย่างขึ้นมาไม้หนึ่ง มือขวาถือขวดเบียร์ นั่งกินอยู่บนเก้าอี้เล็กๆ คนเดียว นี่เป็นการผ่อนคลายที่หาได้ยากยิ่ง
พอปีกไก่ลงท้องไปแล้วไม้หนึ่ง เบียร์ในมือขวาของเย่เทียนเฉินก็ดื่มไปแล้วครึ่งขวดเขา ยื่นมือออกไปกำลังจะจับน่องไก่ที่ย่างเสร็จแล้วขึ้นมา ใครจะรู้ว่าเขายังไม่ทันได้จับน่องไก่ ก็มีมือเล็กๆ สีขาวนวลข้างหนึ่งที่เคลื่อนไหวเร็วกว่าเขา แย่งน่องไก่ชิ้นนั้นไป กัดเข้าไปคำใหญ่ เมื่อเห็นปากเล็กแดงราวผลเชอร์รี่กินอาหาร ก็รู้สึกไม่เลวจริงๆ
“เธอ…” เย่เทียนเฉินมองสาวงามเบื้องหน้าอย่างตกตะลึง พูดอะไรไม่ออกไปครึ่งวัน
“อึ้งอะไร ฉันหิวแล้ว รีบไปย่างปีกไก่มาอีกหลายๆ ไม้สิ แล้วก็ช่วยเปิดเบียร์ขวดนี้ให้ฉันด้วย” สาวงามเบื้องหน้ากินน่องไก่ไปพลางพูดไปพลาง
สุดท้ายพอย้อนคิดไป เย่เทียนเฉินก็ไม่รู้ว่าทำไมตนเองถึงได้ทำตาม ทั้งไปย่างปีกไก่เพิ่มอีกหลายไม้ และยังช่วยสาวงามเบื้องหน้าคนนี้เปิดขวดเบียร์อีกขวดด้วย ดูเหมือนว่าตนเองกับเธอไม่ได้สนิทสนมกันนัก เพียงแค่เคยพบหน้ากันครั้งเดียวเท่านั้น อีกทั้งการพบหน้ากันในครั้งนั้นก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
จนกระทั่งหลังจากกินบาร์บีคิวทั้งหมดและดื่มเบียร์ทั้งสิบขวดจนหมดเกลี้ยง เย่เทียนเฉินค่อยสังเกตเห็นว่าสาวงามที่นั่งอยู่ตรงข้ามตนก็หยุดปากเล็กๆ สีแดงชุ่มชื้นของเธอ หยิบกระดาษทิชชูแผ่นหนึ่งออกมาจากอก หลังจากที่เช็ดมุมปากเล็กน้อย ก็ใช้ดวงตาอันงดงามของเธอมองเย่เทียนเฉินแล้วกล่าวว่า “ยังไม่รีบไปเช็คบิลอีก มองฉันทำไมมิทราบ?”
“หา? เช็คบิล นี่ฉีหรูเสวี่ย ฉันว่าดูเหมือนเธอจะกินเยอะที่สุดไม่ใช่เหรอ? อีกอย่างพี่ชายสุดหล่อคนนี้ก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับเธอ ทำไมต้องเลี้ยงบาร์บีคิวเธอด้วย?” เมื่อเย่เทียนเฉินได้สติกลับมาก็พูดอย่างไม่พอใจ
ที่แท้ตอนที่เย่เทียนเฉินกำลังกินบาร์บีคิวและดื่มเบียร์อย่างสุขอุราอยู่นั้นเอง ฉีหรูเสวี่ยกลับลากกระเป๋าเดินทางของตนโผล่ออกมา ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เริ่มต้นกินบาร์บีคิวดื่มเบียร์ ดื่มเบียร์ เกือบครึ่งชั่วโมงเต็มๆ ถึงค่อยหยุดลง ทำให้ เย่เทียนเฉินอดมองรูปร่างผอมเพรียวของฉีหรูเสวี่ยไม่ได้ นอกจากหน้าอกและก้นที่ดูค่อนข้างจะอุดมสมบูรณ์แล้ว ส่วนอื่นๆ ก็ล้วนเพรียวบาง แต่เย่เทียนเฉินไม่ได้ชอบผู้หญิงประเภทที่ผอมจนเกินไป มีเนื้อมีหนังหน่อยถึงจะดี ผู้หญิงที่สมบูรณ์เวลากอดถึงจะสบาย
“นาย…นายยังเป็นผู้ชายอยู่รึเปล่า สาวสวยอย่างฉันกินข้าวเป็นเพื่อนนาย ก็แค่กินบาร์บีคิวไปไม่กี่ไม้เท่านั้น นายยังไม่เลี้ยงอีก ใช้ไม่ได้เกินไปแล้วมั้ง?” ฉีหรูเสวี่ยไม่คิดเลยว่าเย่เทียนเฉินจะขี้งกขนาดนี้ กระทั่งบาร์บีคิวมื้อเดียวก็ไม่เต็มใจเลี้ยง ปกติแล้วไม่รู้ว่ามีชายหนุ่มกี่คนแย่งกันเลี้ยงอาหารมื้อใหญ่เธอ นั่นยังต้องดูด้วยว่าตนเองยินดีให้เลี้ยงรึเปล่า
“ฉันเป็นผู้ชายแน่นอน ถ้าหากสงสัยล่ะก็เธอจะลองพิสูจน์ดูก็ได้ อีกอย่างฉันกับเธอก็ไม่ได้สนิทสนมกัน พวกเรายกเลิกการหมั้นกันไปแล้ว อย่ามาตื้อฉันอีกเลย บ๊ายบาย!” เย่เทียนเฉินพูดพร้อมกับลุกขึ้น เตรียมตัวจะเดินจากไป
เมื่อฉีหรูเสวี่ยเห็นว่าเย่เทียนเฉินกำลังจะไป ใบหน้ารูปไข่ก็กลายเป็นสีแดง ใช้ดวงตาอันงดงามถลึงมองเย่เทียนเฉินอย่างดุร้ายทีหนึ่ง แล้วรีบลากกระเป๋าเดินทางของตนเดินตามไป
“นี่ เธอตามฉันมาทำไม? เลี้ยงบาร์บีคิวเธอไปแล้ว ยังไม่พอใจอีกเหรอ?” เย่เทียนเฉินหันกลับมาถามฉีหรูเสวี่ย
“ฉัน…ฉันก็ต้องกลับบ้านไปอยู่กับนายอยู่แล้วสิ ฉันออกจากบ้านเพื่อมาหานายโดยเฉพาะ นายจะมาทำตัวใจร้ายอย่างนี้ไม่ได้นะ” ฉีหรูเสวี่ยทำหน้าบึ้งตึงพลางกล่าวออกมา
เย่เทียนเฉินย่อมไม่เชื่อคำพูดของฉีหรูเสวี่ย แม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะสวยมากก็ตาม แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาแม้แต่น้อย เธอออกจากบ้านมาเพื่อตามหาเขาโดยเฉพาะ? คงจะทีแต่คนโง่สติไม่ดีเท่านั้นถึงจะเชื่อคำพูดของฉีหรูเสวี่ย
“ฉันขี้เกียจสนใจเธอแล้ว ทางใครทางมันเถอะ!” พอเย่เทียนเฉินพูดจบก็เดินไปข้างหน้าต่อ
เมื่อเห็นแผ่นหลังของเย่เทียนเฉิน ฉีหรูเสวี่ยก็โกรธจนปวดฟัน ในใจก่นด่าเย่เทียนเฉินว่าช่างไม่มีอีคิวเอาเสียเลย ตนเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว เอ่ยปากขอกลับไปอยู่กับเจ้าหมอนี่ออกมาด้วยตัวเอง หากเป็นผู้ชายคนอื่นคงจะดีใจจนบ้าไปแล้ว ใครจะรู้ว่าเจ้าหมอนี่นอกจากจะไม่เข้าใจเจตนา ยังมาปฏิเสธเธออีก
“นี่ นายรอด้วยสิ รอด้วย ถึงยังไงฉันก็เป็นภรรยาในอนาคตของนายนะ พวกเรายังไม่ได้ยกเลิกการหมั้นหมายสักหน่อย!” ฉีหรูเสวี่ยลากกระเป๋าเดินทาง เท้าที่สวมรองเท้าส้นสูงสีแดงวิ่งเหยาะๆ ตามหลังเย่เทียนเฉินพลางตะโกน
“ไม่มีทาง เธอพูดออกมาได้ไงกัน ตระกูลฉีของเธอต่างหากที่ขอถอนหมั้นกับตระกูลเย่ของฉัน แล้วฉันไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับเธอ ก็เลยจำเป็นต้องถอนหมั้น ไม่ต้องตามฉันมา!” เย่เทียนเฉินรู้สึกหมดคำพูด ในใจก็คิดว่า ฉีหรูเสวี่ยช่างกล้าพูดออกมาจริงๆ ขนาดอยู่บนถนนก็ยังกล้าตะโกนออกมาว่าเธอเป็นภรรยาในอนาคตของตน
………………………………………………