เย่เทียนเฉินรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าแม่กับน้องสาวจะประทับใจต่อคำโกหกที่ฉีหรูเสวี่ยแต่งขึ้นและทักษะการแสดงเว่อร์ๆ เร็วขนาดนี้ ทางฉีหรูเสวี่ยเผผยรอยยิ้มชั่วร้ายที่ดูน่ารักออกมาตรงมุมปาก แล้วหันไปแลบลิ้นใส่เย่เทียนเฉิน
“คนบ้า พวกเราไม่ได้ถอนหมั้นกันหนึ่งวัน ก็เท่ากับยังเป็นสามีภรรยาที่หมั้นหมายกันหนึ่งวัน นายมันได้ใหม่ลืมเก่า จิตใจโลเล ใจจืดใจดำ…” ฉีหรูเสวี่ยเดินลากกระเป๋าเดินทางตามหลังไปพลาง ตะโกนใส่เย่เทียนเฉินไปพลาง
เย่เทียนเฉินอึดอัดใจมาก ไม่คิดเลยว่าตนเองแค่กินบาร์บีคิวก็ยังเจอกับฉีหรูเสวี่ยได้ เมืองหลวงอันกว้างใหญ่ ที่คนสองมาพบเจอกันได้ ควรจะกล่าวว่าเป็นพรหมลิขิตหรือจะกล่าวว่าคู่แค้นทางแคบดี[1]?
คิดถึงตอนที่พบกับฉีหรูเสวี่ยเป็นครั้งแรก ทั้งสองก็ได้ยกเลิกการหมั้นหมายกัน แม้ว่าสุดท้ายเป็นเพราะฉีหรูเสวี่ยฉีกหนังสือสัญญาถอนหมั้น ทำให้ทั้งสองไม่ได้มีการถอนหมั้นอย่างเป็นรูปธรรม แต่ในสายตาของเย่เทียนเฉิน การหมั้นหมายนี้ได้ยกเลิกกันไปเรียบร้อยแล้ว เขาคิดว่ามันไม่คุ้มค่าที่จะเกาะติดกับตระกูลฉีโดยการไม่ถอนหมั้น ไม่ว่าจะเป็นชีวิตก่อนหรือชีวิตนี้ เย่เทียนเฉินก็ไม่ใช่คนที่มีจิตใจโลเล
“อย่างแรก ฉันกับเธอก็ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน ครั้งนี้เพิ่งจะนับว่าเป็นครั้งที่สอง อีกอย่างเธอเองก็รู้ดี การหมั้นหมายของพวกเราทั้งสอง ผู้อาวุโสของตระกูลฉีกับตระกูลเย่เป็นคนจัดการ พูดอีกอย่างก็คือ ฉันไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับเธอแม้แต่น้อย และฉันก็เชื่อว่าเธอเองก็ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับฉัน ดังนั้นมันไม่มีการได้ใหม่ลืมเก่าหรือจิตใจโลเลอะไรทั้งนั้นอยู่แล้ว บ๊ายบาย!”
พอเย่เทียนเฉินพูดจบ ก็วิ่งตรงไปยังถนนฝั่งตรงข้าม การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของฉีหรูเสวี่ย และการมาตามตื๊อเขา ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกสงสัย อีกทั้งสิ่งที่ตระกูลฉีทำกับตระกูลเย่ ทำให้ความรู้สึกที่เย่เทียนเฉินมีต่อฉีหรูเสวี่ยไม่ดีเท่าไหร่นัก จึงเตรียมตัวที่จะหนีอย่างรวดเร็ว
เมื่อฉีหรูเสวี่เห็นว่าเย่เทียนเฉินข้ามไฟจราจรไปถึงถนนอีกฝั่งหนึ่ง ก็รีบลากกระเป๋าเดินทางวิ่งเหยาะๆ ตามไป ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว ฉีหรูเสวี่ยที่ใช้ชีวิตในต่างประเทศตั้งแต่เด็ก ไม่ค่อยมีเพื่อนในจีนมากนัก ดังนั้นเธอไม่ยอมปล่อยให้เย่เทียนเฉินหนีไปเด็ดขาด
ความจริงแล้ว หลังจากที่ฉีหรูเสวี่ยลากกระเป๋าเดินทางออกมาจากคฤหาสน์ตระกูลฉี ในใจก็รู้สึกเป็นกังวล ตนเองจะไปไหนดี? จะไปนอนโรงแรมก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ปลอดภัยขนาดนั้น หากจะกลับคฤหาสน์ ตอนนี้ฉีชางเซิ่งพ่อของตนก็ตัดสินใจแน่วแน่ไปแล้วว่าจะต้องให้ตนแต่งเข้าตระกูลฉิน การหนีออกจากบ้านเป็นวิธีการเดียวที่ฉีหรูเสวี่ยจะต่อสู้ดิ้นรนเพื่ออิสรภาพและความสุขของตนเองได้
ใครจะทราบว่า ในขณะที่ฉีหรูเสวี่ยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีนั่นเอง ก็พลันเห็นเย่เทียนเฉินที่แผงขายบาร์บีคิวข้างทาง เรื่องนี้ทำให้เธอรู้สึกดีใจมาก แม้ว่าจะไม่ได้สนิทสนมกับเย่เทียนเฉิน แต่หลังจากที่ฉีหรูเสวี่ยได้พบกับเย่เทียนเฉินที่เครือไห่หวาง ก็ทราบว่าชายคนนี้ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับตนเองเลย อย่างน้อยหากกลับบ้านไปอยู่กับเขา ตนก็จะไม่มีอันตรายทางกาย แถมยังมีที่ให้พัก ดีกว่าฝืนเดินเตร่ไปมาในเมืองหลวงตอนกลางดึกเป็นไหนๆ
ดังนั้น ฉีหรูเสวี่ยที่คิดวิธีเช่นนี้ได้ ก็รีบเข้าไปตีสนิทกับเย่เทียนเฉินทันที อีกทั้งผลักสถานะ ‘ว่าที่สามีภรรยา’ไปให้ในตอนที่ชายคนนี้ยังไม่ได้ให้ความสนใจตน เพื่อบีบบังคับให้เย่เทียนเฉินพาตนเองกลับบ้าน
สิ่งที่เกินความคาดหมายไปมากคือ เย่เทียนเฉินไม่มีอีคิวเลยแม้แต่น้อย เดินไปคนเดียวโดยที่ไม่สนใจตนเองโดยสิ้นเชิง ฉีหรูเสวี่ยโกรธจนอยากจะอัดเย่เทียนเฉิน แต่กลับยังต้องรีบลากกระเป๋าเดินทางไล่ตามไป มิฉะนั้นคืนนี้คงต้องนอนข้างถนนแล้ว
ฉีหรูเสวี่ยที่สนใจแต่การไล่ตามเย่เทียนเฉินไม่ได้สังเกตเลยว่าไฟตรงทางเดินได้เปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้ว เพิ่งจะลากกระเป๋าวิ่งเหยาะๆ ไปถึงกลางทาง รถบรรทุกคันใหญ่ก็เลี้ยวพุ่งเข้ามาอย่างเร็ว คนขับรถแก่ๆ ที่ขับรถบรรทุกตกใจจนเหงื่อท่วมตัว เนื่องจากรถบรรทุกใหญ่เลี้ยวมาอย่างรวดเร็ว จึงหยุดไม่ได้ ขณะกำลังจะชนใส่ฉีหรูเสวี่ยที่จังๆ ถ้าหากว่าถูกชนเข้าล่ะก็ต้องตายแน่นอน
“กรี๊ด…”
เมื่อได้ยินเสียงร้องของฉีหรูเสวี่ย เย่เทียนเฉินก็หันกลับไป แล้วเห็นรถบรรทุกคันใหญ่คันหนึ่งกำลังจะชนใส่ ฉีหรูเสวี่ย เหลือระยะห่างเพียงไม่ถึงหนึ่งเมตรเท่านั้น ยังไงก็ต้องตายอย่างแน่นอน
เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว พลังพิเศษระดับราชันย์กระจายไปทั่วร่าง แล้วหายวับไปจนมองไม่เห็น เหลือทิ้งไว้เพียงเงาร่างเงาหนึ่ง
เสียงตูมดังขึ้น กระเป๋าเดินทางของฉีหรูเสวี่ยถูกชนจนปลิวออกไป รกบรรทุกคันนั้นเบรกอย่างกะทันหัน ถูเป็นรอยเบรครถไว้บนพื้นยาวถึงสามเมตรกว่าๆ ถึงค่อยหยุดลง คนขับรถกลัวจนฉี่แทบราด เมื่อเห็นกระเป๋าที่ถูกชนจนปลิว และเสื้อผ้าที่อยู่ในกระเป๋าทั้งหมดล้วนกระจายออกมากลางอากาศ ใบหน้าก็ขาวซีดมากขึ้น
รอจนกระทั่งตอนที่คนชราที่ขับรถบรรทุกลงมาจากรถด้วยอาการสั่นไปทั้งตัว ต้องการจะดูว่า สถานการณ์เป็นอย่างไรนั่นเอง ถึงค่อยพบว่าเย่เทียนเฉินอุ้มฉีหรูเสวี่ยพุ่งล้มไปบนถนน
“เธอไม่เป็นไรใช่ไหม ตายหรือยัง?” เย่เทียนเฉินลุกขึ้นยืนพลางถาม
“นายสิตาย เจ้าคนใจดำ” ฉีหรูเสวี่ยหันมากล่าวกับเย่เทียนเฉินพลางยู่ปากอันเซ็กซี่ของเธออย่างดุร้าย
“ถ้าฉันใจดำ คงไม่ช่วยเธอหรอก ขี้เกียจสนใจเธอแล้ว ลาก่อน!”
เย่เทียนเฉินปัดฝุ่นบนตัว กรอกตามองบนใส่ฉีหรูเสวี่ยครั้งหนึ่งก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป เมื่อสักครู่นี้หากไม่ใช่ว่าตนเองกระตุ้นพลังภายในร่างกายทั้งหมด เพื่อยกระดับความเร็วขึ้นหลายเท่า และเคลื่อนไหวเข้าไปในชั่วพริบตาล่ะก็ เกรงว่าฉีหรูเสวี่ยคงจะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว
ช่วยคนหนึ่งชีวิตยิ่งกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น แม้ว่าไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับฉีหรูเสวี่ยมากมาย แต่ก็มองดูเธอถูกรถชนตายไปต่อหน้าต่อตาไม่ได้
“เจ้าบ้า หยุดนะ อ๊า…”
ฉีหรูเสวี่ยที่ต้องการยืนขึ้นจู่ๆ กลับร้องออกมา แล้วทรุดตัวลงไปกับพื้น ข้อเท้าขวาของเธอปวดจนยากจะบรรยาย ดูเหมือนว่าเมื่อสักครู่นี้จะทำให้เท้าขวาได้รับบาดเจ็บ
“เจ้าคนบ้า ใจดำ ไม่เข้าใจความรู้สึกคนอื่น…”
ดวงตาอันงดงามของฉีหรูเสวี่ยมีน้ำตาไหลออกมาไม่ขาดสาย เป็นเพราะคนบ้าเย่เทียนเฉินทำให้เธอโกรธ อีกทั้งเป็นเพราะรู้สึกว่าตนเองไม่มีที่พึ่งพิง ตระกูลต้องการให้เธอแต่งเข้าตระกูลฉิน ใช้ความสุขของเธอไปแลกกับผลประโยชน์มหาศาลของตระกูล กระทั่งฉีชางเซิ่งที่ดีกับเธอมาตลอดยังไม่ยืนอยู่ข้างเธอ ฉีหรูเสวี่ยเจ็บปวดใจจริงๆ
“ให้ค้างแค่คืนเดียว พรุ่งนี้ต้องไปนะ!”
เมื่อได้ยินเสียงของเย่เทียนเฉิน ฉีหรูเสวี่ยก็เงยหน้าขึ้นมอง เห็นชายคนนี้ยังคงมองเธอด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ จน ฉีหรูเสวี่ยไม่รู้ควรจะดีใจ หรือว่าควรจะใช้หมัดอัดเย่เทียนเฉินให้หนักๆ สักยกดี
เย่เทียนเฉินเองก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก ไม่รู้ว่าทำไมสุดท้ายแล้วตนเองก็ตอบรับคำขอร้องของฉีหรูเสวี่ย อาจเป็นเพราะเห็นว่าฉีหรูเสวี่ยยังมีความน่ารักอยู่บ้าง หรืออาจเป็นเพราะเย่เทียนเฉินทนเห็นท่าทางเช็ดน้ำตาอย่างน่าสงสารของผู้หญิงไม่ได้ หรืออาจเป็นเพราะโชคตะตา…
หลังจากที่แบกฉีหรูเสวี่ยขึ้นหลัง ไม่รอให้ฉีหรูเสวี่ยมีปฏิกิริยา เย่เทียนเฉินก็เดินไปที่แยกถัดไปแล้ว แยกนี้เกิดอุบัติเหตุ ไม่นานรถก็คงจะติด หากอยากจะนั่งแท็กซี่กลับบ้านจำเป็นต้องไปยังแยกหน้า แต่ข้อเท้าของฉีหรูเสวี่ยได้รับบาดเจ็บ จึงทำได้เพียงแบกเธอเดินไป
“นี่ เจ้าบ้านายทำอะไร ปล่อยฉันลงนะ!” ฉีหรูเสวี่ยกล่าวพร้อมกับดิ้น เป็นครั้งแรกที่ถูกผู้ชายแบกขึ้นหลัง ใบหน้ารูปไข่อันงดงามกลายเป็นสีแดงเรื่อ
“อย่าขยับสิ เท้าขวาเธอได้รับบาดเจ็บ เดินไม่ได้หรอก ถ้าหากว่ายังขยับมั่วๆ แล้วตกลงไปฉันไม่รับผิดชอบนะ อีกอย่างฉันขอบอกเธอไว้ก่อน อิฐบนพื้นนี่แข็งมาก ผู้หญิงก้นใหญ่ๆ อย่างเธอเนี่ย ถ้าตกลงไปต้องเจ็บมากแน่ๆ ” เย่เทียนเฉินเดินตรงไปพลางพูดไปพลาง
ฉีหรูเสวี่ยอายจนใบหน้าแดงยิ่งขึ้น พร้อมกับบดฟันของตัวเอง อยากจะกัดเย่เทียนเฉินเป็นอย่างยิ่ง ต่อหน้าหญิงสาว ดันมาพูดว่าก้นของเธอใหญ่ จะไม่ให้เธออายได้อย่างไร? เจ้าคนไร้มารยาท
ครึ่งชั่วโมงต่อมา เย่เทียนเฉินกับฉีหรูเสวี่ยก็มาถึงประตูคฤหาสน์ตระกูลเย่ เนื่องจากเย่เทียนเฉินแบกฉีหรูเสวี่ยไว้ เวลาจึงเลยตีหนึ่งไปแล้ว เย่เทียนเฉินคาดว่าพ่อแม่กับน้องสาวคงหลับไปแล้วเรียบร้อย ในขณะที่แบกฉีหรูเสวี่ยไว้ ก็หยิบกุญแจออกมาเปิดประตูคฤหาสน์แล้วเดินเข้าไป
ที่ไหนได้ ตอนที่เย่เทียนเฉินกำลังแบกฉีหรูเสวี่ยเดินเข้าประตูบ้านไป หลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่และเย่เชี่ยนเหวินผู้เป็นน้องกำลังคุยกันพร้อมกับดูทีวีอยู่ในห้องโถง ยังไม่ได้เข้านอน พอเย่เทียนเฉินเดินเข้าไป แม่กับน้องสาวก็หันมามอง พวกเธอตกใจเพราะเห็นฉีหรูเสวี่ยที่เย่เทียนเฉินแบกไว้บนหลังทันที จากนั้นก็เผยรอยยิ้มอันเจิดจ้าอย่างหาที่เปรียบมิได้ออกมาต้อนรับ
หลัวเยี่ยนและเย่เชี่ยนเหวินสบตากันครั้งหนึ่ง ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาบนใบหน้า ท่าทีเช่นนั้นราวกับจะพูดถึงเย่เทียนเฉินว่า ‘ไม่ทันไรก็แบกผู้หญิงเข้าบ้านซะแล้ว รีบจริงๆ ไม่เลวๆ!’
“อ้าว ลูก กลับมาแล้วเหรอ ผู้หญิงคนนี้เป็นใครกัน?” หลัวเยี่ยนถามด้วยรอยยิ้ม
“พี่ชาย พี่ทำอะไรเร็วจริงๆ เลยนะ แป๊บเดียวก็หัดแบกผู้หญิงเข้าบ้านแล้ว พี่สาวคนนี้ชื่ออะไรเหรอคะ สวยจังเลย!” เย่เชี่ยนเหวินเองก็กล่าวถามเย่เทียนเฉินด้วยรอยยิ้มหยอกล้อเช่นกัน
เมื่อได้ยินคำพูดของหลัวเยี่ยนและเย่เชี่ยนเหวิน เย่เทียนเฉินกับฉีหรูเสวี่ยถึงจะได้สติกลับมา โดยเฉพาะฉีหรูเสวี่ยที่อายจนหน้าแดงไปหมด รีบลงจากหลังเย่เทียนเฉิน แฃ่งพูดอย่างอายๆ ว่า “สวัสดีค่ะคุณป้า ฉันคือฉีหรูเสวี่ย”
“เธอ เธอคือฉีหรูเสวี่ยเหรอ?”
“คุณคือฉีหรูเสวี่ยที่ถอนหมั้นกับพี่ชายฉัน?”
“เอ่อ คุณป้า เรื่องที่ถอนหมั้นกับเย่เทียนเฉินตัวฉันไม่ทราบมาก่อน ต้องขอโทษด้วยค่ะ ฉัน… ฉันไม่อยากแยกจากเทียนเฉิน!”
ฉีหรูเสวี่ยเป็นผู้หญิงฉลาด เธอรู้ว่าหากตนต้องการค้างคืนที่ตระกูลเย่ จะต้องทำให้หลัวเยี่ยนและ เย่เชี่ยนเหวินชอบตนให้ได้ แต่เรื่องที่ตระกูลฉีบีบบังคับตระกูลเย่ให้ถอนหมั้น ทำให้ตระกูลเย่ต้องอับอาย พวกเธอต้องไม่ชอบตนเองแน่ ตอนนี้จึงได้แต่แสร้งว่าตนเป็นผู้เคราะห์ร้าย ถึงจะได้รับความเห็นใจจากพวกเธอ
“หา? นี่ อย่าพูดมั่วๆ ได้ไหม!” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางมองฉีหรูเสวี่ยอย่างอึดอัด
“คุณป้า น้องสาว ฉันเรียนที่ต่างประเทศมาตลอด เพิ่งจะกลับมาเมื่อไม่นาน ถึงได้รู้ว่าที่บ้านจะให้ฉันถอนหมั้นกับเย่เทียนเฉิน แล้วให้ฉันแต่งกับฉินเหิงแห่งตระกูลฉิน คิดว่าพวกคุณก็คงทราบดีว่าลูกผู้หญิงคนหนึ่งวาดฝันถึงอะไร ฝันเพียงได้อยู่กับคนที่ตนรักไปตลอดชีวิต แม้ว่าวันเวลาที่ฉันได้อยู่ร่วมกับเย่เทียนเฉินจะน้อยมาก แต่ฉันรักเขา ลูกผู้หญิงแต่งกับไก่ต้องก็ตามไก่ แต่งกับสุนัขก็ต้องตามสุนัข ฉันจะไม่แต่งงานกับฉินเหิง ฉันอยากแต่งกับเทียนเฉิน!” ฉีหรูเสวี่ยยิ่งพูดก็ยิ่งมีท่าทางเจ็บปวดใจ แทบจะเช็ดน้ำตาอยู่แล้ว
“ฝีมือเธอนี่ ถ้าไม่ไปแสดงละครก็เสียของจริงๆ จะต้องได้เป็นราชินีจอเงินแน่!” เย่เทียนเฉินกรอกตามองบนพลางกล่าวออกมา
“เทียนเฉิน ลูกคนนี้นี่ทำไมถึงได้พูดจาแบบนี้กัน หนูหรูเสวี่ยสวยออกขนาดนี้ เธอรักลูก เต็มใจจะอยู่กับลูก โดยไม่สนใจการคัดค้านจากที่บ้าน เรื่องนี้ต้องใช้ความกล้าหาญมากเลยนะ แม่ไม่ยอมให้ลูกรังแกเธอนะ!” หลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่พูดพลางมองเย่เทียนเฉินด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“ใช่แล้ว พี่อุตส่าห์ได้รับความจริงใจจากผู้หญิงสวยๆ อย่างพี่หรูเสวี่ยก็เป็นโชคดีของพี่แล้ว อย่าไม่รู้จักแยกแยะดีชั่วน่า” เย่เชี่ยนเหวินผู้เป็นน้องพูดพร้อมกับถลึงมองใส่เย่เทียนเฉิน
………………………………………………
[1] สำนวนจีน หมายถึง บุคคลที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตไม่ปรารถนาที่จะพบกันแต่เวรกรรมก็บันดาลให้พบกันจนได้