มู่หรงอวี๋ตูอธิบายเรื่องเกี่ยวกับตระกูลโอวหยางให้มู่หรงซินผู้เป็นหลานได้ฟัง เย่เทียนเฉินให้เขาออกหน้าสยบตระกูลโอวหยางชั่วคราว มู่หรงอวี๋ตูก็รับปากไปแล้ว
ส่วนมู่หรงซินก็รู้สึกแปลกใจมาก และกังวลใจอยู่บ้าง กังวลว่าเย่เทียนเฉินจะต้องปะทะกับตระกูลโอวหยางและอาจมีอันตรายเกิดขึ้น
หลังจากที่ที่ได้ยินมู่หรงอวี๋ตูผู้เป็นปู่อธิบายแล้ว มู่หรงซินก็ยิ่งกังวลมากขึ้น เธอคิดไม่ถึงเลยว่าตระกูลโอวหยางจะมีอำนาจแข็งแกร่งขนาดนี้ กระทั่งรัฐบาลเองหากต้องการจะแตะต้องตระกูลโอวหยางก็ยังต้องใคร่ครวญให้ดี
ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลเบื้องหลังทุกตระกูล ที่พวกเขาต้องปิดซ่อนตัวตนก็เป็นเพราะต้องการที่จะเก็บงำความสามารถของตนเอง แต่จะมากจะน้อยก็ยังทำให้ความสามารถของตนอ่อนแอลงบ้าง
แต่จากที่มู่หรงอวี๋ตูกล่าว ตระกูลโอวหยางคงจะเป็นเพียงตระกูลเดียวที่ไม่ได้เก็บงำความสามารถของตนและยังปิดซ่อนตัวตนไม่ปรากฏตัวออกมา เห็นได้ว่ามีความแข็งแกร่งมากเพียงใด
จุดที่ตระกูลโอวหยางไม่เหมือนกับตระกูลใหญ่อื่นๆ ก็คือ ตระกูลโอวหยางเป็นตระกูลที่มีอิทธิพลใต้ดินอันยิ่งใหญ่ เป็นผู้นำของกลุ่มอิทธิพลใต้ดิน
ตระกูลเช่นนี้ป่าเถื่อนเป็นอย่างมาก ฆ่าคนราวกับผักปลา และสามารถดำรงอยู่ต่อไปได้ตลอด ยิ่งไปกว่านั้นยังเก็บงำความแข็งแกร่งเอาไว้มากอีกด้วย ในตระกูลจะต้องมียอดฝีมือมากมายราวกับเมฆบนท้องฟ้าแน่นอน เป็นศัตรูกับตระกูลที่มีอำนาจใต้ดินเช่นนี้ จะต้องมีความกล้าหาญเป็นอย่างมากจริงๆ
“ตระกูลโอวหยางเป็นตระกูลที่มีอิทธิพลใต้ดิน เรียกได้ว่าเป็นตระกูลที่มีอำนาจมืดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศจีน เมื่อปีนั้นตอนที่ประเทศเพิ่งจะก่อตั้ง ท่านผู้นำสูงสุดเคยพบกับหัวหน้าตระกูลโอวหยางมาก่อน และพูดคุยกันถึงบางเรื่อง ตระกูลโอวหยางจึงได้เก็บงำตัวตนแบบนี้ โชคดีที่หลายปีมานี้ตระกูลโอวหยางไม่ได้ขยายอำนาจของตนออกไปอีก ทำเพียงควบคุมให้อยู่ในขอบเขตที่แน่นอนเท่านั้น แต่อย่างไรความแข็งแกร่งของพวกเขาก็เป็นสิ่งที่ไม่ต้องสงสัยเลย คนระดับสูงในประเทศก็ให้ความสนใจมาโดยตลอด!” มู่หรงอวี๋ตูพูดพลางขมวดคิ้ว
บนโลกนี้เมื่อมีดำก็ต้องมีขาว ก็เหมือนกับกลางวันและกลางคืน ไม่ว่าใครก็ไม่อาจแทนที่ใครได้ ยิ่งไม่อาจทำร้ายใครสักคนหนึ่งไปได้ ดำไม่อาจมาแทนที่ขาว ขาวก็ไม่สามารถทำลายดำได้ตลอดกาล ทำได้เพียงหาจุดสมดุลระหว่างกันเท่านั้น
ขอเพียงอำนาจของตระกูลโอวหยางไม่ขยายต่อไป ขอเพียงไม่คุกคามไปถึงความปลอดภัยในทรัพย์สินและชีวิตของประชาชนคนธรรมดา รัฐบาลก็จะไม่ต่อต้านอย่างรุนแรง
จะอย่างไรหากกำจัดตระกูลโอวหยางไปก็จะทำให้เกิดผลกระทบอย่างมาก หากยังไม่ถึงเวลาที่จำเป็น รัฐบาลก็ไม่อยากให้มีผลกระทบไปถึงความปลอดภัยของประชาชน
สามารถจินตนาการได้เลยว่า ตระกูลเช่นนี้ที่กระทั่งรัฐบาลต้องใคร่ครวญก่อนที่จะแตะต้องพวกเขา คนที่อยู่ในตระกูลนี้จะโอหังบ้าอำนาจขนาดไหน?
มิน่าล่ะโอวหยางเฟยอวิ๋นถึงได้โอหังขนาดนี้ กระทั่งคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงก็ไม่เห็นอยู่ในสายตา กระทั่งดูถูกการเข้าร่วมพรรคคุณชาย และยังมีความกล้าหาญอยู่บ้าง เพียงแต่น่าเสียดายที่โอวหยางเฟยอวิ๋นตายไปแล้ว ถูกคนฆ่าตาย ส่วนเรื่องที่ใครเป็นคนฆ่านั้น เย่เทียนเฉินมั่นใจเลยว่าไม่ใช่เขาแน่นอน แต่อย่างไรก็ตามปลายหอกทั้งหมดก็ชี้มาที่เขา
ตระกูลโอวหยางที่มีอำนาจแข็งแกร่งและยโสโอหังมาโดยตลอด จะต้องไม่ยอมจบง่ายๆ แน่นอน เย่เทียนเฉินย่อมไม่หวั่นกลัว และจะรับมือไปตามสถานการณ์ การถอยไม่ใช่นิสัยของเขา
เพียงแต่เขาในตอนนี้ต้องไปกำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยนที่มณฑลชวน จึงทำได้เพียงให้มู่หรงอวี๋ตูออกหน้าให้ เพื่อสยบตระกูลโอวหยางชั่วคราว รอจนตนกลับมาจากมณฑลชวนเสียก่อน ดูสิว่าตระกูลโอวหยางของพวกเขาคิดจะเล่นลูกไม้อะไร
“งั้นคุณปู่คะ พวกเราช่วยเย่เทียนเฉินกันเถอะ ถึงแม้ฝีมือเขาจะร้ายกาจ แต่ตระกูลเย่ก็ไม่ได้แข็งแกร่ง จะต้องไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตระกูลโอวหยางแน่นอน หากเป็นแบบนี้ต่อไปตระกูลเย่ก็จะมีอันตรายมาก!”
มู่หรงซินเป็นคนฉลาดมาก เพียงไม่นานก็สามารถคิดได้ถึงจุดสำคัญของปัญหา รีบเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“ฮ่าๆ เด็กคนนี้นี่ วางใจเถอะ ปู่รับปากเย่เทียนเฉินไปแล้วว่าจะช่วยเขาทำให้ตระกูลโอวหยางสงบสักหลายวัน ส่วนเรื่องต่อไปนั้นก็ต้องพึ่งตัวเขาเองแล้ว!” มู่หรงอวี๋ตูพูดด้วยรอยยิ้ม
ตกลงแล้วมู่หรงซินมีความรู้สึกอย่างไรต่อเย่เทียนเฉินกันแน่ มู่หรงอวี๋ตูยังดูไม่ออกทั้งหมด
อาจเป็นไปได้ว่ากระทั่งตัวมู่หรงซินเองก็ไม่รู้ เย่เทียนเฉินช่วยชีวิตเธอเอาไว้ ในใจของเธอย่อมซาบซึ้งเป็นอย่างมาก แต่เมื่อคิดถึงตอนที่ทั้งสองอยู่ในถังน้ำถังเดียวกัน รินน้ำอุ่นลงไปจนเต็ม หันหน้าเข้าหากันด้วยร่างกายเปลือยเปล่า แล้วยังจูบกันอีก ก็ทำให้มู่หรงซินหน้าแดง ดูเหมือนว่าหัวใจจะเต้นตึกตักไม่ยอมหยุด คงไม่เป็นเพียงความซาบซึ้งใจง่ายๆ เช่นนั้นแน่
“จริงเหรอคะ ถ้างั้นก็ดีมากเลย!” มู่หรงซินพูดอย่างดีใจ
“เอาล่ะ ซินเอ๋อร์ หลานออกไปก่อนเถอะ ปู่ยังมีเรื่องต้องทำ!” มู่หรงอวี๋ตูพูดยิ้มๆ
“ค่ะ!” มู่หรงซินพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
เมื่อเห็นท่าทางมีความสุขและสุขภาพแข็งแรงของมู่หรงซินผู้เป็นหลาน มู่หรงอวี๋ตูก็รู้สึกปลาบปลื้มใจเป็นอย่างมาก
โชคดีที่ตอนนั้นเย่เทียนเฉินช่วยมู่หรงซินเอาไว้ มิฉะนั้นถ้าหลานสาวของตนตายไป มู่หรงอวี๋ตูก็ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรจริงๆ ทั้งตระกูลมู่หรงมีเพียงเขาและหลานสาวเท่านั้นที่นับว่ามีความเกี่ยวพันทางสายเลือดกันโดยตรง ปู่หลานสองคนพึ่งพาอาศัยกันมาหลายปีแล้ว
“คุณปู่ หนู…ถ้ามีเวลาหนูอยากจะออกไปเที่ยวสักหลายวันได้ไหมคะ?” มู่หรงซินเดินมาถึงบริเวณประตูห้องหนังสือ สุดท้ายจึงหันไปถามอย่างน่ารัก
“รออีกสักหลายวันค่อยว่ากันเถอะ บำรุงร่างกายให้ดี!” มู่หรงอวี๋ตูพูดอย่างเมตตา
“ค่ะ!” มู่หรงซินยู่ปากแล้วเดินออกไปจากห้องหนังสือ
มู่หรงอวี๋ตูมีชีวิตอยู่จนอายุปูนนี้แล้ว ยังมีเรื่องอะไรที่มองไม่ออกอีกบ้าง เขาย่อมต้องรู้ความคิดของมู่หรงซินผู้เป็นหลานอยู่แล้ว
ถึงแม้ว่าเขาจะมีความประทับใจที่ดีต่อเย่เทียนเฉิน แต่เมื่อดูจากสถานการณ์ในปัจจุบัน เย่เทียนเฉินจะสามารถเอาชนะได้หรือไม่ จะสามารถทำให้ตระกูลเย่ผงาดขึ้นมาได้หรือไม่ ยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนที่มากจนเกินไป หากพ่ายแพ้ก็จะต้องตายโดยไร้ที่ฝัง กระทั่งตระกูลเย่ก็จะถูกฆ่าล้าง
มู่หรงอวี๋ตูดื่มชาไปอึกหนึ่ง จากนั้นจึงวางหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะ แล้วหยิบโทรศัพท์บนโต๊ะขึ้นมา กดเบอร์โทรออกไปด้วยตัวเอง
การที่สามารถทำให้มู่หรงอวี๋ตูโทรออกไปด้วยตัวเองได้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นน้อยมาก อย่างไรก็ตามโทรศัพท์สายนี้ของเขาโทรออกไปเพื่อช่วยเหลือเย่เทียนเฉิน และโทรไปหาตระกูลโอวหยางโดยตรง เบอร์โทรของตระกูลโอวหยางนี้ก็สามารถต่อสายไปถึงผู้นำตระกูลโอวหยางได้
หลังจากกดโทรออกแล้ว เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นประมาณเจ็ดแปดครั้ง ด้านในจึงมีเสียงวัยรุ่นคนหนึ่งดังขึ้น
“ฮัลโหล ต้องการคุยกับใคร?”
“ฉันต้องการคุยกับโอวหยางเจิ้นฮว๋า!” มู่หรงอวี๋ตูเอ่ยปากพูด
“คุณคือ…”
“มู่หรงอวี๋ตู!”
“ได้ครับ กรุณารอสักครู่!”
คนที่เพิ่งจะรับโทรศัพท์เมื่อสักครู่นี้จะต้องไม่ใช่โอวหยางเจิ้นฮว๋าซึ่งเป็นผู้นำตระกูลโอวหยางแน่นอน คนที่มีตำแหน่งเช่นเขา อายุก็ไม่แตกต่างกับมู่หรงอวี๋ตูมาก จะมีเวลามาเฝ้าอยู่ข้างโทรศัพท์ได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้นครั้งนี้หลานชายของโอวหยางเจิ้นฮว๋าซึ่งก็คือโอวหยางเฟยอวิ๋นตายไปแล้ว โอวหยางเจิ้นฮว๋าจะต้องโกรธเป็นอย่างมากแน่นอน ไม่เพียงแต่จะเสียใจที่หลานชายของตนถูกคนอื่นฆ่า ทั้งยังโกรธที่ถูกคนอื่นยั่วยุศักดิ์ศรีของตระกูลโอวหยางอีกด้วย
ไม่นานอีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ก็มีเสียงของชายชราคนหนึ่งดังขึ้น ดูเหมือนจะไม่พอใจเล็กน้อย แต่ยังนับว่าเอ่ยถามออกมาอย่างสงบ
“หายากจริงๆ ที่สหายอวี๋ตูจะโทรมา ไม่รู้ว่ามีอะไรจะสั่งสอน?”
“ฮ่าๆ สหายเจิ้นฮว๋าเกรงใจเกินไปแล้ว จะสั่งสอนคงไม่กล้ารับ เพียงแต่ไม่ได้ติดต่อกันมานาน เลยโทรมาถามไถ่เท่านั้น!” มู่หรงอวี๋ตูพูดยิ้มๆ
มู่หรงอวี๋ตูและโอวหยางเจิ้นฮว๋าเรียกได้ว่าเป็นเสือร้ายมาชั่วชีวิต คนหนึ่งเป็นนายพลที่ฆ่าฟันจนมีชีวิตรอดผ่านสนามรบออกมาได้ ความองอาจย่อมไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นฮีโร่ที่มีอำนาจใต้ดิน เรียกได้ว่าเป็นจักรพรรดิของเหล่าผู้มีอิทธิพลใต้ดินเลยทีเดียว
ทั้งสองต่างก็เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ในตำแหน่งต่างกัน เมื่อสนทนากันจึงค่อนข้างที่จะเกรงใจอยู่บ้าง
“ขอบคุณสหายอวี๋ตูที่ใส่ใจ!” โอวหยางเจิ้นฮว๋าพูดด้วยรอยยิ้ม
“ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ พวกเราเองก็ไม่ได้เจอกันหลายปีแล้ว ต่างก็แก่ชรากันแล้ว จริงสิ ผมได้ยินว่าเรื่องของโอวหยางเฟยอวิ๋นหลานของคุณแล้ว ไม่รู้ว่ามีอะไรที่ผมสามารถช่วยได้หรือเปล่า?” มู่หรงอวี๋ตูงเอ่ยปากถาม
“เรื่องนี้ผมย่อมต้องจัดการอยู่แล้ว จะต้องให้ฆาตกรชดใช้ด้วยเลือด!” น้ำเสียงของโอวหยางเจิ้นฮว๋าเย็นยะเยือกเป็นอย่างมาก
โอวหยางเจิ้นฮว๋า เป็นหัวหน้าตระกูลที่มีอำนาจใต้ดินอันยิ่งใหญ่มาเกือบจะร้อยปี เรียกได้ว่าเพียงกระทืบเท้าก็สามารถทำให้อำนาจใต้ดินของประเทศจีนสั่นสะท้าน กระทั่งบุคคลระดับสูงของประเทศก็ไม่อาจล่วงเกินชายชราคนนี้ได้ง่ายๆ เมื่อเขาเกิดบ้าบิ่นขึ้นมา เกรงว่าจะต้องมีพายุครั้งใหญ่เกิดขึ้นแน่นอน
การตายของโอวหยางเฟยอวิ๋นหลานชายของโอวหยางเจิ้นฮว๋าในครั้งนี้ไปกระตุ้นให้ความโกรธของเขาเข้าแล้ว
ถึงแม้โอวหยางเจิ้นฮว๋าจะไม่ได้มีโอวหยางเฟยอวิ๋นเป็นหลานชายเพียงคนเดียว แต่การตายของญาติมิตร ทำให้ศักดิ์ศรีของตระกูลโอวหยางถูกยั่วยุ โอวหยางเจิ้นฮว๋าไม่อาจอดกลั้นได้ เขาในตอนนี้ส่งคนออกไปทำการสืบสวนแล้ว ทุกอย่างต่างชี้ไปที่เย่เทียนเฉิน เพียงแต่ยังไม่ได้หลักฐานที่แน่ชัดก็เท่านั้น
“สหายเจิ้นฮว๋า ระหว่างคุณกับผมไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมหรอกนะครับ? ผมคิดว่าเรื่องนี้อาจจะไม่เกี่ยวข้องกับเย่เทียนเฉิน ต้องตรวจสอบให้แน่ชัดถึงจะถูก!”
มู่หรงอวี๋ตูงเอ่ยปากพูด ทั้งสองต่างก็เป็นคนฉลาด หากเอาแต่พูดอ้อมค้อมจะเป็นการแสดงความโง่ออกมาเปล่าๆ สู้พูดออกไปตรงๆ จะมีประสิทธิภาพและน่าพอใจมากกว่า
“งั้นเหรอครับ? สหายอวี๋ตู ตอนนี้ข้อมูลทุกอย่างที่ผมได้รับต่างชี้ไปที่เย่เทียนเฉินแห่งตระกูลเย่ ไม่ว่าเขาจะฆ่าหลานชายของผมหรือไม่ ผมก็จะต้องจับเขากลับมาถามให้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้เขาไม่ได้ทำ ผมก็ยังต้องการชีวิตเขาอยู่ดี เพราะเขาขัดแย้งกับหลานชายของผม ผมต้องฆ่าเขาและทำลายตระกูลเย่!”
โอวหยางเจิ้นฮว๋ากล่าวอย่างแข็งกร้าว
มู่หรงอวี๋ตูที่อยู่อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ขมวดคิ้ว เขารู้ว่าโอวหยางเจิ้นฮว๋าแข็งกร้าวมาโดยตลอด
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าในครั้งนี้ชายชราคนนี้จะไม่ยอมเจรจา ท่าทางจะโกรธจริงๆ แล้ว สำหรับคนที่มีตำแหน่งเช่นเขา มีไม่กี่เรื่องที่ทำให้เขาโกรธขนาดนี้ได้
“ฮ่าๆ สหายเจิ้นฮว๋า ผมรู้ว่าอำนาจของตระกูลโอวหยางยิ่งใหญ่มาก แต่หวังว่าคุณจะใคร่ครวญให้ดี ตระกูลเย่เคยเป็นตระกูลชั้นหนึ่งถึงแม้ตอนนี้จะตกต่ำลงไปแล้ว แต่จะอย่างไรเย่หย่วนซานก็ยังมีอำนาจอยู่บ้าง ยิ่งไปกว่านั้นในเมื่อคุณตรวจสอบเย่เทียนเฉินแล้ว ก็คงเข้าใจว่าเย่เทียนเฉินไม่ได้เป็นเศษสวะเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นบุคคลระดับสูงของประเทศก็มีความคิดที่ดีต่อเขา หากคุณฆ่าเขาแล้วทำลายตระกูลเย่โดยไม่แยกแยะถูกผิดเช่นนี้ เกรงว่าคงไม่สบายแน่!”
มู่หรงอวี๋ตูพูดอย่างสงบ แต่ในน้ำเสียงกลับเจือไปด้วยความแข็งกร้าว เห็นได้ชัดว่าเขายืนอยู่ข้างเย่เทียนเฉิน ต้องการจะพูดให้โอวหยางเจิ้นฮว๋าฟังอย่างชัดเจน
“หึ คุณกำลังข่มขู่ผมเหรอครับ? ตระกูลโอวหยางของผมแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยกลัว ผมอดทนมานานหลายปีแล้ว!” โอวหยางเจิ้นฮว๋าแค่นเสียงเย็นครั้งหนึ่งแล้วพูดขึ้น
“คุณไม่กลัว แล้วรัฐบาลจะกลัวเหรอ? เมื่อถึงเวลาเกรงว่าคนที่จะถูกฆ่าล้างคงเป็นตระกูลโอวหยางของคุณ!” มู่หรงอวี๋ตูพูดอย่างแข็งกร้าว
“มู่หรงอวี๋ตู นี่คุณกำลังข่มขู่ผมเหรอ? ในเมื่อเป็นแบบนี้ ผมก็จะฆ่าเย่เทียนเฉิน จะทำลายตระกูลเย่ ผมจะดูซิว่าคุณจะทำยังไง!”
โอวหยางเจิ้นฮว๋าที่อยู่อีกฝั่งของโทรศัพท์ตบโต๊ะอย่างแรงแล้วพูดขึ้น
…………