เมื่อเผชิญหน้ากับ “เคล็ดวิชาโครงกระดูกสังหาร” ของหมอกโลหิต เย่เทียนเฉินก็ไม่ได้ดูเบาเลยแม้แต่น้อย ไม่ต้องพูดเลยถึงการดูเบาเลย กลับมีสีหน้าจริงจังหนักแน่นมากด้วยซ้ำ เขาสัมผัสได้ถึงไอสังหารนั้น โดยเฉพาะโครงกระดูกสีแดงเลือดนั้น น่าหวาดกลัวและดุร้ายเป็นอย่างมาก กำลังร้องคำรามด้วยความเจ็บปวด เหมือนกับปีศาจที่ผุดออกมาจากนรกขุมที่เก้าอย่างไรอย่างนั้น มันต้องการดื่มเลือด มันต้องการฆ่าล้าง ต้องการสลัดออกจากการควบคุม สลัดออกจากขบวนภูติผี
ชื่อ “เคล็ดวิชาโครงกระดูกสังหาร” เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเมื่อใช้กระบวนท่านี้ออกมา หากโครงกระดูกสีแดงเลือดไม่อาจดื่มเลือด ถ้างั้นเป็นไปได้มากว่ามันจะไม่อาจดำรงอยู่ได้อีกต่อไป
“โฮก!”
เสียงเสียดแทงใบหูสั่นสะเทือนหูของเย่เทียนเฉินจนเจ็บปวด มีความรู้สึกราวกับแทบจะหูระเบิด แต่ตอนนี้เขาไม่สนใจสิ่งเหล่านี้เลย โครงกระดูกสีแดงเลือดหมุนดวงตามายังด้านหน้า ในมือของโครงกระดูกสีแดงเลือดปรากฏดาบใหญ่สีแดงขึ้นเล่มหนึ่ง เหมือนกับใช้เลือดรวบรวมขึ้นมา ฟันลงไปยังเย่เทียนเฉินดาบหนึ่ง แฝงไปด้วยกลิ่นไอความเน่าเปื่อยผุพัง ในตอนที่ดาบเล่มใหญ่สีแดงเพิ่งจะปรากฏในมือของโครงกระดูกสีแดงเลือดนั้น เย่เทียนเฉินก็รับรู้ได้ว่าพลังชีวิตของต้นหญ้ารอบๆ อ่อนแอลง ต้นหญ้าบางต้นแห้งเหี่ยวลงโดยพลัน พวกมันถูกแย่งชิงชีวิตไป
กระบวนท่านี้อันตรายมากจริงๆ และทำให้ผู้คนมองไม่ออก ในดาวสิ้นโลกเย่เทียนเฉินเห็นเคล็ดวิชาแปลกๆ มามาก เคล็ดวิชาพลังพิเศษอันแข็งแกร่งที่ตัวเขาใช้ก็มีไม่น้อย เพียงแต่กระบวนท่านี้ที่หมอกโลหิตใช้ออกมาทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความรับมือยากและความตื่นตะลึง กระตุ้นพลังภายในออกมาจนปรากฏโครงกระดูกสีแดงเลือดร่างหนึ่งขึ้นบนปลายนิ้วชี้ด้านซ้าย โครงกระดูกนี้เหมือนกับมีชีวิตอย่างไรอย่างนั้น เมื่อออกห่างมือซ้ายของหมอกโลหิตก็บินมายังตนมุ่งสังหาร ในขณะเดียวกัน โครงกระดูกมีเพียงหนึ่งศรีษะและสองแขนเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นทั้งหมดล้วนเกิดจากการรวมตัวกันของเลือดสดๆ กรีดร้องไม่หยุดจนสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวด
ดาบถูกฟันลงมา เย่เทียนเฉินไม่ได้หลบแต่ใช้กระบี่ไท่อาโจมตีออกไป กระบี่ไท่อาร้ายกาจขนาดไหน พริบตาเดียวก็ฟันดาบใหญ่สีแดงเลือดในมือโครงกระดูกนั้นจนแยกออก เพียงแต่กลิ่นอายสีแดงอาบย้อมชายเสื้อของเย่เทียนเฉินแล้ว พริบตาเดียวเสื้อของเย่เทียนเฉินก็ถูกย่อยสลายจนเผยแขนออกมาให้เห็น กลิ่นไอเน่าเปื่อยเช่นนี้เรียกได้ว่ามีอยู่ทุกที่ ไม่มีบรรยากาศของชีวิตเลยสักนิด มีเพื่อแย่งชิงและหล่อหลอมชีวิตโดยเฉพาะ น่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ไม่ใช่ความจริงแต่เป็นกลิ่นอายที่ไร้รูปลักษณ์ กำลังปกคลุมไปในอากาศทีละเล็กทีละน้อย หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เย่เทียนเฉินคงไม่มีทางให้หนี จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
หลังจากที่เย่เทียนเฉินเพิ่งจะใช้กระบี่ไท่อาฟันดาบใหญ่สีแดงเลือดจนสลายไป ในมือขวาของโครงกระดูกก็มีดาบใหญ่สีแดงเลือดรวบรวมสร้างขึ้นมาอีกหนึ่งเล่ม ยังคงฟันเข้ามายังเย่เทียนเฉิน ตอนนี้เย่เทียนเฉินไม่รับตรงๆ แต่กลับถอยหลบออกไป โครงกระดูกสีแดงเลือดนี้แปลกประหลาดจริงๆ เหมือนกับฆ่าไม่ตายอย่างไรอย่างนั้น หากเป็นเช่นนี้ต่อไปตนเองคงทำได้เพียงถูกกระทำ ในตอนที่สู้กับโครงกระดูกสีแดงเลือดเขาใช้พลังพิเศษมากเกินไป ตอนนั้นต่อให้โครงกระดูกสีแดงเลือดถูกกำจัดไปได้ ตนก็คงหมดแรงและถูกหมอกโลหิตสังหารง่ายๆ ในตอนนี้นับว่าเย่เทียนเฉินตกลงสู่ความอันตรายแล้ว ความแข็งแกร่งของหมอกโลหิตเกินกว่าที่เขาจินตนาการ โดยเฉพาะโครงกระดูกสีแดงเลือดนี้ยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าร้ายกาจอย่างที่คาดไม่ถึง
หมอกโลหิตร่อนตัวลงสู่พื้น ไพล่มือซ้ายไว้ด้านหลัง ดาบในมือขวาถืออยู่ในแนวขวางเบื้องหน้าหน้าอก มองทุกสิ่งทุกอย่างนี้ด้วยรอยยิ้มเย็นชา เห็นว่าเย่เทียนเฉินไม่มีวิธีรับมือกับโครงกระดูกโลหิตแม้แต่น้อย เขาก็ยิ่งได้ใจ แต่ในใจก็รู้สึกตื่นตะลึงอยู่บ้าง เคล็ดวิชาโครงกระดูกสังหารนี้เป็นเคล็ดวิชาสังหารที่เขาสร้างขึ้นมานานหลายปีแล้ว กระทั่งคุณชายใหญ่ก็เคยพูดว่า หากเคล็ดวิชาโครงกระดูกสังหารนี้สมบูรณ์แบบก็จะร้ายกาจจนทำให้ผู้คนคิดไม่ถึง ความสามารถของหมอกโลหิตก็จะเพิ่มขึ้นมาก หลายสิบปีมานี้หมอกโลหิตพยามทำ “เคล็ดวิชาโครงกระดูกสังหาร” ให้สมบูรณ์แบบมาตลอด แต่กระบวนท่าเช่นนี้โหดเหี้ยมอย่างมาก หากต้องการทำให้สมบูรณ์เป็นเรื่องที่ลำบากมาก หมอกโลหิตพยายามมาตลอดแต่ยังไม่อาจทำให้สมบูรณ์ได้อย่างแท้จริง มิฉะนั้นสิ่งที่เย่เทียนเฉินเผชิญหน้าด้วยคงไม่ได้เป็นเพียงโครงกระดูกที่มีแค่ศีรษะและแขนเท่านั้น
“ไม่ต้องดิ้นรนแล้ว แกจะต้องตายแน่นอน ให้โครงกระดูกของฉันกินแกซะเถอะ ทุกครั้งที่มันออกมา หากไม่ได้ดื่มเลือดก็จะต้องตาย ฉันเชื่อว่ามันคงชอบเลือดสดๆ ของแกมาก!” หมอกโลหิตพูดด้วยรอยยิ้มเย็นชา
เย่เทียนเฉินไม่ได้พูดอะไร แต่ยังคงหลบไม่หยุด กำลังคิดวิธีทำลายอยู่ เขาเชื่อว่าบนโลกใบนี้ ต่อให้เป็นกระบวนท่าที่แข็งแกร่งขนาดไหนก็ต้องมีวิธีการทำลาย เพียงแต่เคล็ดวิชาโครงกระดูกสังหารนี้แปลกเกินไป เขาเองก็เพิ่งจะเห็นเป็นครั้งแรก ดังนั้นหากจะทำลายมันในเวลาเพียงชั่วพริบตาเป็นเรื่องที่ลำบากมาก ยังต้องการเวลาครุ่นคิด
หมอกโลหิตเห็นเย่เทียนเฉินหลบไม่หยุดก็วางใจและลำพองใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากก็ง่ายๆ ทุกครั้งที่โครงกระดูกสีแดงเลือดตวัดดาบออกไป ในอากาศก็จะเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่แย่งชิงพลังชีวิตนั้น รอจนกระทั่งกลิ่นอายแบบนี้ฟุ้งกระจายไปทั่วทั้งอากาศ ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะตายไป นี่ไม่ใช่กระบวนท่าแต่เป็นกลิ่นอาย ก็เหมือนกับอากาศ ไม่สามารถหลบได้ เย่เทียนเฉินจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
ต่อให้เย่เทียนเฉินหาวิธีทำลาย “เคล็ดวิชาโครงกระดูกสังหาร” ได้ ถึงตอนนั้นเกรงว่าเขาคงใช้พลังพิเศษมากเกินไป ด้วยสามารถของหมอกโลหิต ตอนนั้นหากจะฆ่าเย่เทียนเฉินยังจะทำไม่ได้อีกหรือ? ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ในตอนที่เขาใช้ “เคล็ดวิชาโครงกระดูกสังหาร” ออกมาแล้ว เย่เทียนเฉินก็มีแต่คำว่าตายเพียงคำเดียว นี่เป็นสิ่งที่กำหนดแน่แล้ว แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีใครรอดชีวิตจาก “เคล็ดวิชาโครงกระดูกสังหาร” ของตนไปได้ หมอกโลหิตพึงพอใจกับเคล็ดวิชาสังหารนี้ของตนเป็นอย่างมาก เพียงแต่น่าเสียดายที่ยังไม่สมบูรณ์แบบ หากสมบูรณ์แบบ โครงกระดูกนี้ก็จะร้ายกาจยิ่งกว่าหมอกโลหิตเองเสียอีก
ตู้ม!
เสื้อผ้าบนแขนขวาของเย่เทียนเฉินถูกทำให้สลายไปแล้ว ไม่ใช่ว่าโครงกระดูกสีแดงเลือดโจมตีถูก แต่ถูกกลิ่นอายแย่งชิงชีวิตนั้นเข้าจนหลอมละลายไม่หยุด รอบด้านเต็มไปด้วยบรรยากาศเช่นนี้ ถ้าไม่ระวังก็จะถูกอาบย้อม โชคดีที่การเคลื่อนไหวของเย่เทียนเฉินรวดเร็ว มิฉะนั้นแขนทั้งสองของเขาคงถูกทำลายไปแล้ว สีหน้าเคร่งขรึมจริงจังขึ้นเรื่อยๆ หากยังคิดวิธีกำจัดโครงกระดูกโลหิตนี้ไม่ออกอีก เย่เทียนเฉินคงมีอันตรายถึงชีวิตจริงๆ แล้ว
จะอย่างไรในการต่อสู้นี้เย่เทียนเฉินก็ใช้มือเปล่าต่อสู้กับโครงกระดูกโลหิตมาตลอด ไม่ได้ใช้กระบี่ไท่อา เขามีแผนการของตน กระบี่ไท่อาที่ถูกปักอยู่บนพื้นก็สั่นสะเทือนไม่หยุด มันถูกเย่เทียนเฉินสยบแล้วจึงคิดว่าเย่เทียนเฉินเป็นเจ้านายของมัน การสั่นสะเทือนนี้ของมันทำให้พลังเดชานุภาพที่อยู่ในตัวกระบี่พุ่งออกมา เพราะมันเองก็สัมผัสได้ถึงอันตรายถึงชีวิตที่เย่เทียนเฉินประสบจึงต้องการช่วยเหลือ แต่เย่เทียนเฉินไม่ได้ตะโกนเรียก ทำให้กระบี่ไท่อาไม่อาจบินไปได้
“สัมผัสได้หรือเปล่า แกหลบเคล็ดวิชาโครงกระดูกสังหารไม่พ้นหรอก ฉันใช้เวลายี่สิบปีเพื่อสร้างกระบวนท่านี้ ไม่ง่ายเลยกว่าจะมาถึงขั้นนี้ได้ หากถูกแกทำลายง่ายๆ ความพยายามยี่สิบปีของฉันไม่เสียเปล่าหรือ?” หมอกโลหิตพูดแล้วหัวเราะเสียงดัง
เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินไม่พูดอะไร ทำเพียงป้องกันโครงกระดูกโลหิตไว้อย่างทรงพลัง หลบกลิ่นอายแย่งชิงชีวิตนั้นไม่หยุด หมอกโลหิตก็พูดด้วยรอยยิ้มต่อไป “เคล็ดวิชาโครงกระดูกสังหารนี้ฉันใช้เวลาไป 20 ปีเต็มๆ ถึงจะหาคน 99 คนที่มีวันเกิดและเวลาเกิดในยามหยินได้ หลังจากที่ฆ่าพวกมัน ก็ใช้หัวใจและเลือดเนื้อของพวกมันมาหลอมไม่หยุด ถึงจะกลายเป็นโครงกระดูกโลหิตนี้ได้ ถ้าหากมันใช้การไม่ได้ ความพยายาม 20 ปีของฉันจะไม่เสียเปล่าหรือ?”
ตู้ม!
ในหมัดขวาของเย่เทียนเฉินมีประกายแสงระเบิดออกมา ซัดหมัดออกไปทำให้โครงกระดูกโลหิตสั่นสะเทือน มองไปยังหมอกโลหิตอย่างเย็นชาแล้วพูดขึ้นว่า “ถ้างั้นไม่ใช่ว่าแกอยู่เป็นเพื่อนคนบริสุทธิ์ทั้ง 99 คนที่ถูกแกฆ่าตายทุกคืนรึไง? หรือแกไม่กลัวว่าวิญญาณของพวกเขาจะไม่สงบ จะมีสักวันหนึ่งที่จะหลืนกินวิญญาณทั้งหมดของแกไปเพื่อแก้แค้นเพื่อตัวพวกเขาเอง?”
“ฮ่าๆ ๆ ๆ น่าขำ พวกเขาตายไปแล้ว ยังจะทำอะไรฉันได้อีก?” หมอกโลหิตหัวเราะ
“บนโลกใบนี้จะมีปีศาจหรือไม่ มีเทพเซียนหรือไม่ ใครจะบอกได้ชัดเจนบ้างล่ะ?”
ในตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินพลันแข็งแกร่งขึ้นมาเป็นอย่างยิ่ง คล้ายกับว่าเขาสามารถสัมผัสได้ถึงเสียงร้องไห้ในจิตวิญญาณทั้ง 99 ดวงที่อยู่ในโครงกระดูกโลหิต พวกมันถูกหมอกโลหิตควักเลือดเนื้อหัวใจออกมาสร้างเป็นโครงกระดูกนี้ หลอมรวมเข้าด้วยกัน เท่ากับว่าวิญญาณของพวกมันถูกกักขังอยู่ กระทั่งโอกาสที่วิญญาณจะเป็นอิสระก็ไม่มี ความเจ็บปวดทุกข์ระทมนี้จินตนาการได้เลยทีเดียวในตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินคิดไปถึงวิธีการที่จะเอาชนะโครงกระดูกได้แล้ว
ซู่ม!
ในตอนที่โครงกระดูกสีแดงเลือดอ้าปากที่เต็มไปด้วยเลือด พุ่งเข้ามากลืนกินเย่เทียนเฉินนั้น ลูกประคำเส้นหนึ่งบินออกไปขวางโครงกระดูกสีแดงเลือดเอาไว้โดยตรง ประกายแสงอันอบอุ่นสายหนึ่งครอบคลุมโครงกระดูกสีแดงเลือดเอาไว้ ถึงกับทำให้โครงกระดูกสีแดงเลือดไม่กรีดร้องและโอดครวญอีกต่อไป มีความอ่อนโยนเล็กน้อย นี่ทำให้หมอกโลหิตตื่นตะลึงครั้งใหญ่ เขาคิดไม่ถึงว่าบนตัวของเย่เทียนเฉินจะมีของเช่นนี้อยู่ด้วย นี่ไม่ใช่ว่าเป็นการใช้ของสยบของในคำเล่าลือหรือ?
บนโลกใบนี้จะมีปีศาจและเทพเซียนหรือไม่ ไม่ว่าใครก็บอกได้ไม่ชัดเจน จะอย่างไรสายตาของคนธรรมดาก็แคบมาก สายตาของมนุษย์ล้วนแคบทั้งหมด มีการสำรวจความลับของจักรวาลน้อยมาก ไม่แน่ว่าอาจยังมีการดำรงอยู่อีกมากมายที่ทำให้ผู้คนยากจะเชื่ออยู่ก็ได้
สร้อยประคำเส้นนี้ก็คือของที่คุณย่ามอบให้เย่เทียนเฉินในตอนที่เย่เทียนเฉินและหลัวเยี่ยนกลับไปยังตระกูลหลัว กล่าวว่าเป็นของที่พระอรหันต์ท่านหนึ่งของวัดเส้าหลินพกติดกายเมื่อปีนั้น คิดไม่ถึงว่าจะมีพลังเซียนที่แข็งแกร่งขนาดนี้อยู่ ทำให้โครงกระดูกที่กรีดร้องอย่างอนาถและร้ายกาจเป็นอย่างมากสั่นสะท้านจนนิ่งไป ดูท่าประคำนี้คงไม่ใช่ของธรรมดา สามารถทำให้โครงกระดูกโลหิตหยุดได้ กระทั่งกลิ่นไอที่แย่งชิงพลังชีวิตก็ลดลงอย่างช้าๆ และสลายไป หมอกโลหิตขมวดคิ้วแน่น เดิมทีคิดว่าเย่เทียนเฉินจะต้องตายแน่นอน ไหนเลยจะรู้ว่าจะยังมีลูกประคำเซียนแบบนี้โผล่ออกมาหยุดโครงกระดูกโลหิตเอาไว้ ถึงแม้จะไม่ทำให้มันถูกทำลายไป แต่ก็ทำให้โครงกระดูกโลหิตสงบลงจนหยุดการโจมตีไปแล้ว
“ไปตายซะ!”
เพียงพริบตาเดียวหมอกโลหิตก็ตะโกนออกมา วกัดนิวโป้งมือซ้ายของตนจนเลือดสดๆ สาดไปบนโครงกระดูกสีแดงเลือดโดยตรง พลันนั้นโครงกระดูกสีแดงเลือดขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่า ปกคลุมไปทั่วทั้งท้องฟ้า มันก้มตัวลงมองเย่เทียนเฉินจนดูน่ากลัวหาใดเปรียบ คล้ายจะสามารถกลืนกินเย่เทียนเฉินลงไปได้ทุกเมื่อ…