การมีลุงใหญ่กับลุงรองเช่นนี้ ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกได้ถึงโสกนาฏกรรมในการเกิดใหม่ของตนเอง มิน่าเล่าตระกูลเย่ถึงได้ตกต่ำลงทุกวัน ความเจริญก้าวหน้าของตระกูลอาศัยพลังของคนเพียงคนเดียวทำได้ยากมาก บวกกับหลังจากที่เย่หย่วนซานเกษียณออกมาแล้ว ลูกชายทั้งสามก็ไม่มีใครรับช่วงต่อ โดยเฉพาะแนวโน้มของลูกชายคนโตเย่มู่ไป๋และลูกชายคนรองเย่เฮ่อกั๋ว ที่มีแต่จะการแก่งแย่งชิงดีหนักข้อขึ้นทุกวัน ความแตกแยกเช่นนี้ ตระกูลเย่จะไม่ตกต่ำอย่างไรไหว
ในเมื่อลุงใหญ่และลุงรองไม่เห็นตนเองเป็นคนในครอบครัว เย่เทียนเฉินก็ย่อมไม่เกรงใจ รวมกับได้ยิน หลัวเยี่ยนแม่ของตนได้รับความอยุติธรรม เขาจึงโกรธขึ้นมาในทันที หากไม่เห็นว่าสองคนนี้เป็นพี่ชายของพ่อตน เย่เทียนเฉินคงลงมือไปแล้ว
“แก…แกกล้าใช้กำลังที่บ้านหลักตระกูลเย่ ยังเคารพกฏบ้านอยู่บ้างไหม?” ยามอีกคนหนึ่งที่ตกใจจนสั่นไปทั้งตัวพูดออกมา
เปรี้ยง!
เย่เทียนเฉินยังคงใช้ขาเตะยามอีกคนปลิวกระเด็นออกไป ในขณะที่มองดูยามทั้งสองร้องโอดโอยอยู่บนพื้น เย่เทียนเฉินก็พูดอย่างเย็นชาว่า “สุนัขรับใช้อย่างพวกแกสองคนบังอาจพูดถึงกฏบ้านตระกูลเย่ พวกแกคู่ควรแล้วเหรอ? จากนี้ไปถ้ายังกล้าพูดจาไม่เคารพกับเจ้านายอีก ใครก็ปกป้องชีวิตสุนัขของพวกแกไว้ไม่ได้!”
“เทียนเฉิน ช่างเถอะๆ พวกเราไปกันเถอะ ไปเถอะนะ…” หลัวเยี่ยนมีจิตใจดีงาม อย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นบ้านหลักตระกูลเย่ ผู้อาวุโสก็อยู่ หากเกิดเกิดปัญหาขึ้นมาคงจะไม่ใช่เรื่องดี จึงรีบกล่าวเตือน
เย่เทียนเฉินถลึงมองสุนัขรับใช้ทั้งสองอย่างดุร้าย ยามทั้งสองตกใจจนร่างสั่นระริก เมื่อก่อนพวกมันล้วนทำตามคำสั่งของเย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋ว ทุกครั้งที่พ่อแม่และน้องสาวของเย่เทียนเฉินมาก็ไม่เคยยิ้มแย้มให้ เย่หงเพื่อความเจริญรุ่งเรืองและความมั่นคงของตระกูลจึงไม่ได้คิดเล็กคิดน้อย แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะร้ายกาจถึงขนาดนี้ เขาไม่เหมือนกันเศษสวะไม่เอาไหนดังเช่นในอดีตอีกต่อไปแล้ว
เย่เทียนเฉินที่ออกจากบ้านหลักตระกูลเย่ อารมณ์ดีมาก หลายปีมานี้เมื่อพ่อแม่และน้องสาวกลับไปที่บ้านหลักตระกูลเย่ ไม่เพียงต้องพบกับคำพูดถากถางดูถูกของลุงใหญ่ลุงรอง กระทั่งยามเฝ้าประตูก็ยังกล้ารังแกพวกเขา ได้รับความอยุติธรรมมาไม่น้อยเลยทีเดียว เย่หงผู้เป็นพ่อทำเพื่อความเจริญรุ่งเรืองและความมั่นคงของตระกูล แต่เย่เทียนเฉินไม่เหมือนกัน เขาไม่แส่หาความยุ่งยากวุ่นวาย แต่ก็ไม่กลัวความยุ่งยาก ขนาดสุนัขรับใช้ยังกล้าทำแบบนี้ หากยังไม่จัดการ ก็บอกไม่ได้ว่าต่อไปพ่อแม่และน้องสาวจะต้องพบเจอกับความอยุติธรรมอีกเท่าไหร่
“เทียนเฉิน อย่างไรเสียพวกเขาก็เป็นลุงใหญ่ลุงรองของลูก ลูกทำแบบนี้ พ่อของลูกต้องรู้สึกผิดในใจแน่ ถึงยังไงอาวุโสก็อายุมากแล้ว” หลัวเยี่ยนกล่าวเตือนเย่เทียนเฉิน
“แม่ครับ ต่อไปนี้พวกแม่ก็อย่าไปที่บ้านหลักตระกูลเย่อีกเลย มีเรื่องอะไรก็ไม่ต้องไป เรื่องของครอบครัวเรา พวกเราจัดการกันเอง” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“อืม!”
เพราเหตุการณ์ในครั้งนี้ ทำให้หลัวเยี่ยนรู้สึกผิดหวังและเจ็บปวดจริงๆ เดิมทีคิดว่าไม่ว่าจะอย่างไรก็เป็นคนครอบครัวเดียวกัน ในช่วงเวลาเป็นตายก็ต้องช่วยเหลือกัน ไหนเลยจะรู้ว่าเย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วที่เป็นพี่ใหญ่ ไม่เพียงไม่ช่วยเหลือ แต่กลับพูดจาถากถาง โยนหินลงบ่อซ้ำเติม ช่างทำร้ายจิตใจคนในครอบครัวเหลือเกิน
“ใช่แล้วลูก เรื่องตระกูลลั่วจะจัดการยังไง ตกลงตำรวจสองคนนั้นมาหาลูกเพราะเรื่องอะไรกันแน่?” หลัวเยี่ยนกล่าวถามอย่างไม่ค่อยวางใจนัก
“เรื่องของตระกูลลั่วผมจัดการได้ครับ ตำรวจสองคนนั้นก็ไม่ได้มีเรื่องอะไร ก็แค่สอบถามทั่วไปเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวกับผมเลย ดังนั้นผมก็เลยกลับมา!” เย่เทียนเฉินตอบด้วยรอยยิ้ม
เมื่องหลัวเยี่ยนมองเย่เทียนเฉินผู้เป็นลูกชาย ก็พบว่าลูกชายที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ ทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจขึ้นทุกวันๆ แม้ว่าจะมีอารมณ์ขันเป็นบางครั้ง พูดคุยล้อเล่นกับครอบครัวเหมือนกับเมื่อก่อน แต่ว่าความเกเรในตัวกลับหายไป มีความกล้าแข็งของลูกผู้ชายมากขึ้น ดีที่สิ่งเหล่านี้เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดี บางทีลูกชายอาจจะเติบโตขึ้นจริงๆ แล้วก็ได้ หลัวเยี่ยนได้แต่คิดถึงเหตุผลนี้ข้อนี้
ในคฤหาสน์ตระกูลลั่ว ลั่วซงเฉิงกำลังพูดคุยกับลั่วฉีผู้เป็นลูกชายคนรองของตน เนื้อหาที่พูดคุยกันนั้นเกี่ยวกับเรื่องของอู๋เสวี่ยนักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง เนื่องจากความเปลี่ยนนแปลงของเย่เทียนเฉินเกินความคาดหมายของลั่วซงเฉิง เขาเองก็ไม่กล้าลงมืออย่างโจ่งแจ้ง จึงคิดที่จะซื้อตัวอู๋เสวี่ยให้ฆ่าเย่เทียนเฉิน สรุปแล้วตระกูลลั่วของพวกเขาทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
“ทางอู๋เสวี่ยว่าไงบ้าง” ลั่วซงเฉิงเอ่ยถาม
“เขาบอกว่าจะลงมือคืนนี้ หวังว่าพรุ่งนี้เช้าเขาจะได้เห็นพ่อบุญธรรมของเขาออกจากคุก” ลั่วฉีตอบ
“บอกเขาไปว่าไม่มีปัญหา แต่ต้องจัดการเรื่องราวให้เรียบร้อยไร้ข้อบกพร่อง ถึงตอนนั้นฉันไม่เพียงจะคิดหาวิธีปล่อยพ่อบุญธรรมเขาออกมา แต่ยังจะให้เงินเขาก้อนหนึ่งเพื่อให้เขาไปให้ไกลแสนไกลด้วย” ลั่วซงเฉิงกล่าวด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย
“พ่อ พ่อคิดจะปล่อยพ่อบุญธรรมของอู๋เสวี่ยจริงๆ เหรอ? แล้วยังจะให้เงินเขาด้วย?” ลั่วฉีรู้จักพ่อของตนเป็นอย่างดี ลั่วซงเฉิงนั้นเป็นคนอำมหิตมาก ทำไมอยู่ดีๆ ถึงใจดีขนาดนี้?
“เจ้าลูกคนนี้นี่ คำพูดย่อมต้องพูดไปแบบนี้ จำไว้ว่าให้ส่งคนไปกับอู๋เสวี่ด้วย พอมันลงมือเสร็จก็ให้ยิงมันทิ้งซะ ฉันไม่อยากจะให้มีคนเจอเงื่อนงำอะไร”
“เข้าใจแล้วครับพ่อ ผมจะไปจัดการให้!”
ลั่วซงเฉิงเป็นคนที่โหดร้ายคนหนึ่ง ไม่เพียงแต่คิดจะให้อู๋เสวี่ยไปฆ่าเย่เทียนเฉิน แต่ยังคิดจะกำจัดอู๋เสวี่ยไปพร้อมๆ กันด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ทำให้คนอื่นหาหลักฐานที่เขาส่งคนไปลอบสังหารเย่เทียนไม่พบไปตลอดกาล อีกทั้งยังได้กำจัดเย่เทียนเฉินที่เป็นหนามตำตา เป็นเสี้ยนตำเนื้อด้วย
ตอนที่เย่เทียนเฉินและแม่กลับมาถึงคฤหาสน์ก็เป็นเวลาหกโมงกว่าแล้ว เวลานี้เย่เทียนเฉินไปเดินห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อเสื้อผ้าเป็นเพื่อนหลัวเยี่ยน รอจนพวกเขากลับมาถึงบ้านก็พบว่าบนโต๊ะอาหารมีอาหารเลิศรสวางอยู่เต็มโต๊ะ ส่วนฉีหรูเสวี่ยก็กำลังวุ่นอยู่ในห้องครัว
“คุณป้าคะ กลับกันแล้วเหรอคะ พักผ่อนสักครู่นะ อีกเดี๋ยวเฉี่ยนเหวินก็จะเลิกเรียนกลับมาบ้านแล้ว เดี๋ยวพวกเราค่อยทานข้าวกัน!” ฉีหรูเสวี่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลัวเยี่ยนพยักหน้าอย่างชื่นชม แม้ว่าเรื่องที่ตระกูลฉีถอนหมั้นกับตระกูลเย่จะทำให้ตระกูลเย่ได้รับความอัปยศ แต่ว่าฉีหรูเสวี่ยเป็นผู้บริสุทธิ์ อีกทั้งผเด็กคนนี้ก็ทั้งสวยและขยัน กล่าวได้ว่าเบื้องหน้ารับแขกได้ดี เบื้องหลังเข้าครัวได้ดี ไม่ทันไรก็กลายเป็น ‘ว่าที่ภรรยา’ ของลูกชาย’ในใจของหลัวเยี่ยนไปเสียแล้ว
“ลูกคนนี้นี่ของดีอยู่ตรงหน้าแต่กลับไม่เห็น ภรรยาที่ดีขนาดนี้ อีกประเดี๋ยวก็ไปกล่าวชมเสียหน่อย อย่าทำเป็นไม่รู้จักถูกผิด” หลัวเยี่ยนหันไปกล่าวกับเย่เทียนเฉิน
เย่เทียนเฉินรู้สึกหดหู่ขั้นสุด เขาไม่รู้จริงๆ ว่าฉีหรูเสวี่ยต้องการจะทำอะไร เธอใช้คำโกหกหลอกลวงแม่และน้องสาว ตอนนี้ก็มาเข้าครัวทำอาหาร คงไม่ใช่ว่าหลงรักเขาเข้าจริงๆหรอกนะ? พอคิดถึงความเป็นไปได้นี้ เย่เทียนเฉินก็ส่ายหน้าแรงๆ แม้ว่าเวลาที่อยู่กับฉีหรูเสวี่ยจะสั้น แต่ว่าสำหรับนิสัยของคุณหนูใหญ่คนนี้ เขาเข้าใจอยู่บ้งา คงไม่ใช่ทำอาหารให้พวกเขากินด้วยเจตนาดีหรอก
“หรูเสวี่ย ทำไมถึงเข้าครัวด้วยตัวเองล่ะ มานี่เร็ว ให้ป้าทำเอง” หลัวเยี่ยนกล่าวยิ้มๆ แต่มือก็ไม่ได้ขยับ ราวกับว่ากำลังพิจารณาลูกสะใภ้คนนี้อยู่ก็ไม่ปาน
“คุณป้าไปพักผ่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวทำซุปนี้เสร็จก็เรียบร้อยแล้วค่ะ” ฉีหรูเสวี่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
จริงๆ สาเหตุที่ฉีหรูเสวี่ยเข้าครัวทำอาหารก็เพรา อย่างแรกคือว่างจนเบื่อ ตอนที่อยู่ต่างประเทศเธอใช้ชีวิตคนเดียว และมักจะทำอาหารเองบ่อยๆ ฝีมือทำอาหารก็พอไปวัดไปวาได้ อย่างที่สอง การมาพักอาศัยอยู่ที่ตระกูลเย่ จะอย่างไรก็ถือว่าเป็นการรบกวน เธอรู้สึกไม่ค่อยดีนัก การทำอาหารให้คุณป้ากับคุณน้องกินสักก็ไม่ถือว่าเกินเลย
สักพักหนึ่ง เย่เชี่ยนเหวินก็เลิกเรียนกลับถึงบ้าน พอเห็นอาหารเต็มโต๊ะ ก็ยิ้มอย่างแปลกใจพลางกล่าวถามว่า “แม่ วันนี้วันอะไรเหรอคะ? ฉลองอะไรเหรอ? อาหารเยอะขนาดนี้ มีแม้กระทั่งเป๋าฮื้อกับกุ้งมังกรด้วย!”
“ฮ่าๆ แม่ไม่ได้เป็นคนทำ พี่หรูเสวี่ยของลูกลงแรงทั้งนั้น” หากฟังน้ำเสียงของหลัวเยี่ยนแล้ว จะพบว่าเธอรู้สึกพอใจลูกสะใภ้คนนี้เพิ่มขึ้นทุกๆ วัน
“ว้าว พี่หรูเสวี่ยสุดยอดเลย หน้าตาก็สวย ทำอาหารก็เป็น ใครได้แต่งกับพี่สาวหรูเสวี่ย คงต้องขอบคุณฟ้าดินไปชั่วชีวิต!” เย่เชี่ยนเหวินกล่าวพลางหัวเราะฮี่ๆ
พูดจบ เย่เชี่ยนเหวินก็ถึงไปข้างกายเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินกำลังนั่งเอนตัวอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนโซฟา พร้อมๆ กับกินกาแฟอย่างสบายอกสบายใจ
“พี่ชาย พี่ควรจะสำนึกตัวหน่อยนะ ว่ากันตามจริงแล้ว หนูไม่รู้ว่าพี่สาวหรูเสวี่ยถูกใจส่วนไหนของพี่กันแน่? ถ้าหากว่าหนูเป็นพี่สาวหรูเสวี่ย คงไม่ชอบพี่แน่นอน!” เย่เชี่ยนเหวินกล่าวพลางกรอกตามองบนใส่พี่ชายของตน
“นี่ ยัยเด็กคนนี้นี่จะทรยศใช่ไหม? มีใครที่ไหนพูดถึงพี่ชายตัวเองแบบนี้บ้าง?” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางมองน้องสาวอย่างอับจนคำพูด
“แม่ว่าน้องสาวลูกก็พูดไม่ผิดหรอกนะ คางคกอย่างลูกสามารถได้รับความรักจากหงส์อย่างหรูเสวี่ย ก็ถือเป็นโชควาสนาแล้ว!” ไม่รอให้เย่เชี่ยนเหวินผู้เป็นน้องได้โต้แย้ง หลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ก็กล่าวแทรกมาจากด้านข้าง
“แม่ครับ มีแม่ที่ไหนพูดถึงลูกชายแบบนี้บ้าง?”
เมื่อต้องรับมือกับแม่และน้องสาว เย่เทียนเฉินก็ไร้คำพูดโดยสิ้นเชิง ฉีหรูเสวี่ยพูดจาไพเราะน่าฟัง ก็หลอกให้พวกแม่เชื่อถือได้แล้ว การที่เขากลายเป็นชายทรยศ ฉีหรูเสวี่ยกลายเป็นผู้หญิงงมงายในรัก ทำให้แม่และน้องสาวดูถูกเล็กน้อย ตอนนี้พอฉีหรูเสวี่ยทำอาหาร ก็ทำให้เย่เทียนเฉินกลายเป็นคางคก หดหู่ใจเหลือเกิน
“คุณป้า น้องสาว กินข้าวได้แล้วค่ะ!” ฉีหรูเสวี่ยกล่าวยิ้มๆ ในขณะที่ประคองน้ำซุปที่ทำเสร็จแล้ววางลงบนโต๊ะ
“ในที่สุดก็กินได้แล้ว ไปเดินช้อปปิ้งเป็นเพื่อนแม่มาทั้งบ่าย หิวจนท้องร้องจ้อกจ้อกแล้ว!”
เย่เทียนเฉินพุ่งเข้าไปที่โต๊ะอาหารเป็นคนแรก เขาค่อนข้างให้ความสำคัญกับเรื่องกินมาโดยตลอด อีกอย่างอาหารเต็มโต๊ะที่ฉีหรูเสวี่ยทำ มีครบทั้งรูปรสกลิ่น คิดไม่ถึงเลยว่าฝีมือทำอาหารของคุณหนูใหญ่ผู้สูงส่งคนนี้จะใช้ได้ไม่เลวเลยทีเดียว
แต่ตอนที่เย่เทียนเฉินเตรียมจะขยับตะเกียบ ฉีหรูเสวี่ยก็เข้ามาขวางไว้ในทันที พบว่าฉีหรูเสวี่ยทำหน้าบึ้งพร้อมๆ กับยิ้มอย่างชั่วร้าย ด้วยท่าทางน่ารักเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะดวงตาทั้งสองข้างซึ่งกำลังมองเย่เทียนเฉินอย่างดุดัน เธอกล่าวว่า “ที่ฉันทำอาหารมื้อนี้ก็เพื่อที่จะขอบคุณคุณป้าและน้องสาว ขอบคุณที่พวกยอมให้ฉันอยู่ มีแค่นายคนเดียวที่พยายามไล่ฉันไป ยังจะคิดมากินอาหารที่ฉันทำอีกเหรอ ไม่มีทาง!”
“นี่ ฉีหรูเสวี่ย เธอช่วยทำให้มันชัดเจนด้วย ที่นี่คือบ้านของฉัน ไม่ใช่บ้านของเธอ ฉันกินข้าวที่บ้านตัวเอง ยังต้องผ่านความเห็นชอบจากเธอด้วยเหรอไง?” เย่เทียนเฉินกล่าวถามอย่างหงุดหงิด
“พวกคุณคิดว่าไงคะ?” ฉีหรูเสวี่ยยิ้มอย่างชั่วร้าย มองไปยังแม่และน้องสาว
เย่เทียนเฉินหันไปมองแม่และน้องสาว พบว่าพวกเธอต่างก็กำลังพยักหน้าอยู่ เป็นความหมายว่ายืนอยู่ฝั่งเดียวกับฉัหรูเสวี่ยอย่างชัดเน ทำให้เย่เทียนเฉินโกรธจนเนื้อเต้น
“เป็นไงล่ะ? ถ้าหากนายเลือกที่จะขอโทษฉัน ฉันก็จะให้นายกิน” ฉีหรูเสวี่ยยิ้มหวานหยดย้อยอย่างชั่วร้ายพลางกล่าว
“ไม่มีทาง ฉันกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเอาก็ได้ ไม่กินอาหารที่เธอทำหรอก รสชาติต้องแย่แน่!”
อาหารมื้อนี้ ฉีหรูเสวี่ย หลัวเยี่ยนและเย่เชี่ยนเหวินสามคน กินอย่างมีความสุขตลอดหนึ่งชั่วโมงกว่า กินจนกระทั่งฟ้ามืดเวลาประมาณสองทุ่ม ส่วนเย่เทียนเฉินกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอยู่ด้านข้าง ถูกฉีหรูเสวี่ยแซวเล่นเป็นระยะๆ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าแม่กับน้องสาวอยู่ด้วย เกรงว่าเย่เทียนเฉินกับฉีหรูเสวียที่รักกันปานจะกลืนกิน คงจะบีบคอกันไปแล้ว แต่ในความรู้สึกของหลัวเยี่ยนและเย่เชี่ยนเหวินกลับเหมือนคู่รักทะเลาะกันไม่มีผิด
……………………………………………