หลังจากที่รับประทานอาหารเสร็จ เย่เทียนเฉินและฉีหรูเสวี่ยมองเขม่นกันแวบหนึ่ง จากนนั้นเย่เทียนเฉินก็ขึ้นไปชั้นบน เพื่อเตรียมตัวเข้านอน คืนนี้ยังต้องไปกำจัดหลี่เถีย คิดว่าหมีภูเขาที่เป็นลูกน้องของหลี่เถียคงจะนำคำพูดที่บอกว่าตนเองจะไปเยี่ยมเยียนไปบอกเรียบร้อยแล้ว พักผ่อนเติมแรงให้เต็มที่สักหน่อย เที่ยงคืนยังต้องออกไปต่อสู้อีก
“ฉันเหลือกุ้งมังกรครึ่งตัว นายจะกินไหม?” ฉีหรูเสวี่ยตั้งใจยกกุ้งมังกรครึ่งตัวมา ยิ้มพลางกล่าวแซวเย่เทียนเฉิน
เย่เทียนเฉินกลืนน้ำลายเอื๊อก ถ้าหากว่าเป็นของอย่างอื่น ย่อมไม่อาจดึงดูดความสนใจของเขาได้แน่ ยกเว้นของอร่อยเท่านั้น ต้องยอมรับเลยว่าคุณหนูใหญ่ผู้สูงศักดิ์อย่างฉีหรูเสวี่ย ทั้งฉลาดและมีไหวพริบ อาหารที่ทำก็ไม่แย่ โดยเฉพาะกุ้งมังกรและเป๋าฮื้อที่ดูน่ากินมาก ขนาดหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ที่ไม่ชอบกินเป๋าฮื้อมาโดยตลอด ก็ยังกินไปสองตัวอย่างอดไม่ได้
“ไม่กิน อาหารของเธอนี่ ยังอร่อยสู้เครื่องปรุงรสบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไม่ได้เลย” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางกรอกตามองบนใส่ฉีหรูเสวี่ย
“ไม่กินก็ช่าง ฉันจะเก็บไว้เป็นอาหารเช้าพรุ่งนี้” ฉีหรูเสวี่ยยกยิ้มหวาน ท่าทางดูน่ารักอยู่หลายส่วน
เห็นท่าทางพออกพอใจของฉีหรูเสวี่ย เย่เทียนเฉินก็รู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อย ที่คิดไม่ออกก็คือ ทำไมยัยนี่ถึงได้จับจุดอ่อนของเขาได้เร็วขนาดนี้กันนะ?
เย่เทียนเฉินหมุนกายจากไป ไม่สนใจฉีหรูเสวี่ยอีก เขากังวลจริงๆ ว่าตนเองจะทนไม่ไหวจนต้องพุ่งเข้าไปแย่งกุ้งมังกรครึ่งตัวในมือของฉีหรูเสวี่ยมากิน
เย่เทียนเฉินเข้ามายังห้องนอนของตน ปิดประตูลง นั่งขัดสมาธิลงบนเตียง มองดูแสงจันทร์สลัวนอกหน้าต่าง ดวงตาทั้งสองเปลี่ยนไปเป็นคมกริบ ไม่หลงเหลือแววไม่สนใจสิ่งใดให้เห็นอีกแม้แต่นิดเดียว ค่ำคืนนี้ถูกกำหนดให้แล้วว่าจะมีกการหลั่งเลือด หากต้องการจัดการตระกูลฉิน อย่างแรกต้องตัดแขนซ้ายและแขนขวาของตระกูลฉินทิ้งเสียก่อน ซึ่งสุนัขรับใช้ของตระกูลฉินก็คือหลี่เถียที่เป็นหัวโจกกลุ่มอิทธิพลใต้ดินแห่งเมืองหลวง คนคนนี้กล้าส่งคนมาลอบสังหารพ่อของตน แน่นอนว่าต้องตาย
ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีในชีวิตนี้จะต้องปกป้องให้ได้ ใครก็ไม่อาดมาเอาเปรียบคนข้างกายของตนได้ ไม่งั้นจะต้องได้พบกับหมัดของเย่เทียนเฉินแน่นอน
ตอนที่เย่เทียนเฉินเพิ่งจะนั่งขัดสมาธิบนเตียง เตรียมที่จะสัมฟัสถึงพลังพิเศษในร่างกายอยู่นั้น อยู่ๆ เขาก็รู้สึกได้ถึงการผันแปรของพลังอันแปลกประหลาดบริเวณหน้าต่างจึงหันไปมอง พบเงาของคนคนหนึ่งยืนอยู่บนขอบหน้าต่าง สวมชุดดำทั้งตัว จ้องมองมายังเย่เทียนเฉินด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว เขารู้สึกได้ว่าคนๆ นี้ไม่ธรรมดา จากความสามารถในการรับรู้ของพลังพิเศษ กระแสพลังในร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน กระแสพลังในร่างกายที่แผ่ออกมาจากคนธรรมดาจะอ่อนแรง ส่วนกระแสพลังที่แผ่ออกมาจากร่างกายของผู้แข็งแกร่งบางคน ต่อให้ปิดซ่อนเอาไว้ดีแค่ไหน ก็ยังปล่อยกระแสพลังอันแข็งแกร่งออกมาอย่างเบาบาง
หลังจากที่ตนได้มาเกิดใหม่ เย่เทียนเฉินมีความรู้สึกเช่นนี้เป็นครั้งแรก ชายที่ยืนอยู่บนระเบียงห้องนอนของเขาในตอนนี้คงจะแข็งแกร่งมาก ไม่อย่างนั้นตนคงไม่เพิ่งพบเขาในช่วงเวลาเดียวกันกับที่เขาปรากฏตัว
“มีข่าวลือว่าเย่เทียนเฉินตัวตลกของเมืองหลวงเปลี่ยนไปกลับเนื้อกลับตัวใหม่แล้ว ที่แท้ก็เป็นความจริง” ชายที่ยืนอยู่บนขอบหน้าต่างเอ่ยขึ้นพร้อมกับยิ้มอย่างเย็นชา
แม้ว่าจะรับรู้ได้ว่าชายที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหันคนนี้แข็งแกร่งมาก เย่เทียนเฉินก็ยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงอย่างสงบ ยิ้มหลางกล่าวว่า “มีธุระอะไรรึเปล่า? ถ้าไม่มีธุระ ฉันจะนอนแล้ว!”
ชายคนนั้นขมวดคิ้ว เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเย่เทียนเฉินจะสงบเช่นนี้ เขาที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหันคงไม่ได้มาเพื่อเยี่ยมเยียนเย่เทียนเฉินออย่างเดียวหรอกใช่หรือไม่? อีกอย่างการที่สามารถมาปรากฏตัวบนระเบียงหน้าต่างห้องนอนของเย่เทียนเฉินได้โดยไร้ซุ่มไร้เสียง ก็อธิบายได้ว่าฝีมือของเขาไม่ได้อ่อนแอ แต่เย่เทียนเฉินกลับถามเขาว่ามีธุระอะไร? ตกลงเจ้าหมอนี่มันแกล้งทำเป็นสงบ หรือว่ายังคงเป็นคนปัญญาอ่อนคนหนึ่งกันแน่?
“ฉันชื่ออู๋เสวี่ยเป็นคนที่จะมาฆ่าแก!” ชานคนนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“อ้อ? นายเป็นนักฆ่าที่น่าสนใจจริงๆ ไม่คิดเลยว่าจะบอกชื่อออกมาเอง” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เฮอะ นี่เป็นหลักการในการเป็นนักฆ่าของฉันอู๋เสวี่ย ฉันจะให้คนที่ตายได้ตายอย่างกระจ่าง”
ผู้ที่มาก็คืออู๋เสวี่ยนักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ความจริงแล้วตั้งแต่ตอนที่เขาเพิ่งจะปรากฏตัว เย่เทียนเฉินก็รับรู้ถึงความแข็งแกร่งของเขาแล้ว นี่อาจเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขาพบตั้งแต่เข้ามาอยู่ในเมือง
ตอนนี้เย่เทียนเฉินนึกถึงคำพูดที่ชางหลางบอกกับตนเมื่อตอนที่ออกมาจากกองทัพ ไม่ว่าเวลาใด ที่ไหนมีผู้คนที่นั่นย่อมมีการต่อสู้ ย่อมมีผู้แข็งแกร่ง อีกอย่างในโลกนี้ก็มีผู้แข็งแกร่งจากพรรควรยุทธ์โบราณและคนคลุ้มคลั่งที่มีพลังพิเศษอันแข็งแกร่งเช่นกัน ส่วนจะมีมนุษย์กลายพันธุ์และสัตว์อสูรหรือไม่ เย่เทียนเฉินไม่อาจทราบได้
“จะสู้จริงๆใช่ไหม?” เย่เทียนเฉินกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม
“คืนนี้ก่อนเที่ยงคืน ฉันจำเป็นต้องให้หัวแกหลุดจากบ่า ไม่งั้นคงไม่มีทางกลับไปชี้แจ้งให้ผู้ว่าจ้างได้ เพื่อไม่ให้รบกวนครอบครัวของแก ออกมาเถอะ!” อู๋เสวี่ยเอ่ยอย่างเย็นชา
ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินก็พบว่านักฆ่านามอู๋เสวี่ยคนนี้ยึดถือหลักการของตนเองมาก และค่อนข้างพิเศษ ไม่เหมือนกับนักฆ่าคนอื่นๆ ที่ทำได้ทุกอย่างเพื่อเป้าหมายของตน แต่อูเสวี่ยกลับมีด้านที่มีมนุษยธรรมอยู่ด้วย ไม่ได้ชั่วช้าสามานย์เหมือนดั่งนักฆ่าธรรมดาทั่วไป
ความจริงแล้วตอนนที่อู๋เสวี่ยเพิ่งจะปรากฏตัว พลังพิเศษภายในร่างกายของเย่เทียนเฉินก็เดือดพล่านขึ้นมาแล้ว หากต้องการทะลวงพลังพิเศษระดับราชันย์ให้ไปถึงระดับจอมราชันย์ ก็ต้องการการต่อสู้ที่ดุเดือดเลือดพล่านมากกว่านี้ มีเพียงการต่อสู้เท่านั้นที่จะสามารถกระตุ้นแก่นพลังในสมองและสามารถขุดพลังภายในชีพจรออกมาได้
“งั้นก็ดี ถ้าหากแกแพ้ ฉันจะไม่ฆ่าแก!” เย่เทียนเฉินยังคงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
อู๋เสวี่ยขมวดคิ้ว เขารู้สึกได้ถึงความไม่ธรรมดาของเย่เทียนเฉิน เมื่อก่อนตอนที่รับการว่าจ้างให้ไปฆ่าคน เขาก็จะบอกกับคนที่จะถูกฆ่าเช่นนี้ คนจำนวนมากหากไม่คุกเข่าร้องขอชีวิต หรือพยายามเสี่ยงชีวิตกับตน ก็จะขยับขาวิ่งหนี แต่ว่าเย่เทียนเฉินไม่เหมือนกัน ตอนที่ทราบว่าตนมาเพื่อฆ่าเขา ก็ยังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงตลอด ไม่ขยับเขยื้อน คนที่มีรอยยิ้มที่ดูไร้ไร้พิษสง ขนาดอู๋เสวี่ยยังรู้สึกเกรงกลัวเล็กน้อย
“ฉันจะรอแกอยู่ที่ป่าใกล้ๆนี่!” อู๋เสวี่ยได้สติกลับมา ไม่พบร่างเขาบนขอบหน้าต่างแล้ว
เย่เทียนเฉินยิ้มบางพลางลุกขึ้นยืน เดินออกไปจากห้องนอนของตนเอง ขณะที่เห็นหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ เย่เชี่ยนเหวินน้องสาว และฉีหรูเสวี่ยคุณหนูใหญ่ผู้สูงศักดิ์ กำลังพูดคุยหยอกล้อกันอยู่ ก็เอ่ยขึ้นว่า “ผมออกไปเดินเล่นย่อยอาหารสักหน่อยนะครับ!”
“เดินเล่น? ย่อยอาหาร? พี่ พี่กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไปแค่ถ้วยเดียวไม่ใช่เหรอ? ยังจะอาหารไม่ย่อยอีกเหรอ?” เย่เฉียนเหวินกล่าวถามด้วยความแปลกใจ”
“อยากจะออกไปหาอะไรกินก็บอกมาชัดๆ เถอะ จะทำฟอร์มไปทำไม!” ฉีหรูเสวี่ยเองก็กล่าวพลางยิ้มอย่างพออกพอใจ
“เธอสิออกไปหาอาหาร เธอสิยัยตะกละ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปต่างหากล่ะที่สุดยอด อร่อยกว่าอาหารที่ใครบางคนทำตั้งเยอะ ฉันตัดสินใจแล้ว ต่อจากนี้ตอนไหนที่ใครบางคนทำอาหาร ฉันก็จะกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป” เย่เทียนเฉินปากแข็ง
“เทียนเฉิน งั้นลูกก็แย่แน่ แม่กำลังคิดอยู่เลยว่าต่อไปนี้จะให้หรูเสวี่ยช่วยแม่ทำอาหาร ให้แม่ซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเตรียมไว้ให้ลูกหลายๆ ลังหน่อยเอาไหม?” หลัวเยี่ยนเองก็เปิดปากถามด้วยรอยยิ้ม
เย่เทียนเฉินรู้สึกหดหู่ใจเป็นอย่างยิ่ง โบกมือเล็กน้อยแล้วเดินออกจากประตูบ้านไป ตอนนี้ไม่มีทางที่จะพูดคุยกับหญิงทั้งสามได้โดยสิ้นเชิง ไม่รู้ว่าฉีหรูเสวี่ยเอายาอะไรให้แม่และน้องกิน ทุกวันนี้พวกเธอถึงได้ยืนอยู่ฝั่งฉีหรูเสวี่ยอย่างเต็มตัว ช่วยพูดให้ฉีหรูเสวี่ยเสร็จสรรพ ไม่สนใจความรู้สึกของผู้เป็นลูกชายและพี่ชายเลย ถ้ารู้อย่างนี้ก็จะไม่สงสารฉีหรูเสวี่ยจนพาเธอกลับมาบ้านหรอก ตอนนี้เขาไม่มีที่ยืนและที่พูดในบ้านเลยสักนิด
หลังจากเดินออกจากประตูบ้าน เย่เทียนเฉินก็ควักบุหรี่ออกมาหจุดสูบเข้าไปเฮือกหนึ่ง ตอนที่ดูเวลาในโทรศัพท์มือถือพบว่าเป็นเวลาเกือบสี่ทุ่มแล้ว นอกจากอู๋เสวี่ยนักฆ่าที่มาโจมตีคนนี้แล้ว ก็ยังมีอันธพาลหลี่เถียที่รอให้ตนเองไปฆ่าอยู่ เขาจึงต้องลงมือให้รวดเร็ว
รอจนเย่เทียนเฉินเดินเข้าไปในป่าเล็กๆ ของเชตคฤหาสน์ อู๋เสวี่ยนั่งอยู่บนหินก้อนหนึ่ง ดวงตาทั้งสองมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างเยือกเย็น ในเมื่อเขาตอบรับตระกูลลั่วแล้ว ก็ต้องทำตามเงื่อนไขของตระกูลลั่ว ขอเพียงฆ่าเย่เทียนเฉินได้ ลั่วซงเฉิงจะหาทางปล่อยพ่อบุญธรรมของตนออกมา เพื่อชื่อเสียงของนักฆ่าอันดับหนึ่งในเมืองหลวงของตน เพื่อพ่อบุญธรรม ไม่ว่าเย่เทียนเฉินจะแข็งแกร่งขนาดไหน อู๋เสวี่ยก็เตรียมจะลงมือฆ่าโดยใช้ทั้งหมดที่มี
“มีอะไรจะสั่งเสียไหม? ฉันช่วยบอกต่อให้ครอบครัวแกได้นะ” อู๋เสวี่ยกล่าวเสียงเย็น
“ไม่มี แกดูสิวันนี้พระจันทร์สวยจะตาย ถ้ายังไงฉันลองเดาดูหน่อยไหมว่าใครส่งแกมาฆ่าฉัน?” เย่เทียนเฉินเงยหน้ามองดวงจันทร์สว่างไสวที่ลอยอยู่บนฟ้า
“ไม่ต้องหรอก ตอนที่แกจะตาย ฉันจะให้แกตายอย่างไม่ค้างคา…”
คำพูดของอู๋เสวี่ยเพิ่งจะออกจากปาก ตัวก็พุ่งแวบเข้าหาเย่เทียนเฉินราวสายฟ้า กระโดดสูงขึ้นหนึ่งเมตรกว่าๆ แล้วปล่อยหมัดใส่หน้าอกของเย่เทียนเฉิน
แววตาของเย่เทียนเฉินเปลี่ยนไป เขามองไม่ผิดจริงๆ นักฆ่าที่ชื่ออู๋เสวี่ยคนนี้แข็งแกร่งมาก ลงมือเฉียบคม ทั้งยังมีการผันแปรของพลังภายในที่แข็งแกร่ง หากว่าเขาเดาไม่ผิดล่ะก็ อู๋เสวี่ยควรจะเป็นยอดฝีมือจากพรรควรยุทธ์โบราณ เคยฝึกฝนพลังภายในของพรรควรยุทธ์โบราณมาก่อน
เปรี้ยง!
เย่เทียนเฉินหลบหมัดของอู๋เสวี่ยที่ต่อยเข้ามา กำปั้นถูกใส่ต้นไม้ใหญ่ด้านข้างต้นหนึ่งซึ่งมีขนาดหนึ่งคนโอบเสียจนทะลุ เย่เทียนเฉินเห็นดังนั้นก็ตกตะลึงงัน
“หมัดของแกแข็งจริงๆ!” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ลงมือเถอะ ฉันว่าแกเองก็ไม่อ่อน ให้ฉันดูหน่อยว่าเย่เทียนเฉินเรื่องน่าขบขันที่สุดในเมืองหลวงที่เขาลือกัน หลังจากกลับตัวกลับใจแล้วจะร้ายกาจขนาดไหน!” อู๋เสวี่ยไม่คิดเลยว่าเย่เทียนเฉินจะหลบหมัดของตนเองที่แข็งแกร่งและรวดเร็วได้ง่ายๆ ในใจจึงสั่นสะท้านอย่างอดไม่ได้ พลันตัดสินใจว่าจะลงมือเต็มกำลัง
“งั้นแกระวังตัวด้วยล่ะ!” เย่เทียนเฉินยังคงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“โอหัง!”
อู๋เสวี่ยคำรามออกมาครั้งหนึ่ง กำหมัดทั้งสองแน่น ดูเหมือนกับนกสยายปีก เตรียมโจมตีอย่างรุนแรงในสายตาของเขา ต่อให้เย่เทียนเฉินมีฝีมืออยู่บ้าง แต่ก็ไม่อาจเอาชนะตัวเขาอู๋เสวี่ยได้
เมื่อต้องรับมือกับการออกหมัดอีกครั้งของอู๋เสวี่ย เย่เทียนเฉินก็ขมวดคิ้ว เนื่องจากเขารับรู้ได้ถึงการผันแปรของพลังภายในที่แข็งแกร่งสายหนึ่ง ตอนที่อยู่ในโลกแห่งความวินาศเขาเคยต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งจากพรรควรยุทธ์โบราณมาก่อน ดังนั้นเขาจึงคุยเคยกับการรับรู้ถึงความผันแปรของพลังภายในเช่นนี้เป็นอย่างดี อีกทั้งเขายังสัมผัสได้ว่าพลังภายในที่ อู๋เสวี่ยระเบิดออกมายังแข็งแกร่งมาก
สองหมัดจู่โจม อู๋เสวี่ยสยายปีกยักษ์ออก เมื่ออู๋เสวี่ยออกหมัด การโจมตีด้วยพลังภายในที่แฝงไว้ด้วยความแข็งแกร่ง ทำให้เย่เทียนเฉินราวกับเห็นนกตัวใหญ่พุ่งโจมตีเข้ามา เขาไม่กล้าชักช้า รีบกลิ้งตัวลงบนพื้น แล้วเตะใส่ก้อนหินที่อยู่บนพื้น
ตู้ม!
เสียงหนึ่งดังสนั่นหวั่นไหว สองหมัดของอู๋เสวี่ยซึ่งแฝงไว้ด้วยพลังภายในที่กล้าแข็ง กระแทกใส่ก้อนหินจนแหลกเป็นผุยผง
………………………………………………..