ในจิงตูนั้นฉินเหิงขึ้นชื่อเรื่องความไร้มนุษยธรรม เพียงเพราะว่าอำนาจของตระกูลฉินนั้นไม่น้อย จึงมีน้อยคนที่จะกล้าวิจารณ์ตระกูลฉิน ไม่เหมือนกับตระกูลเย่ที่ตกต่ำ ขนาดหัวหน้ากลุ่มอิทธิพลใต้ดินคนหนึ่งก็ยังกล้ามารังแก เย่เทียนเฉินก็กลายเป็นเศษสวะและคนไม่เอาไหนที่โด่งดังในจิงตู
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ก็ดี ยังไงซะผมกับฉีหรูเสวี่ยนั่นก็ไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน แค่เคยได้ยินมาว่าเธอสวยมาก เล่นด้วยสักหน่อยก็แล้วกัน ถึงตอนนั้นพวกเราก็ใช้ความสัมพันธ์กับตระกูลฉีเพื่อให้ได้รับประโยชน์มากที่สุดในการเลือกตั้งครั้งนี้ พ่อแค่บอกผมสักหน่อย ผมก็จะเปลี่ยนเป้าหมายแล้ว!” ฉินเหิงกล่าวอย่างเบื่อหน่าย
ฉินเทาหยวนมองลูกชายหัวดื้อคนนี้ อยากที่จะใช้มือตีเขาให้ตาย แต่ว่าเขามีลูกชายคนนี้เพียงคนเดียว ตระกูลฉินเองก็เป็นตระกูลใหญ่ ผู้อาวุโสตระกูลฉินก็ต้องยกให้เขาดูแลตระกูลฉิน นี่เป็นอำนาจที่ได้มาไม่ง่ายเลย แน่นอนว่าฉินเทาหยวนต้องการที่จะกุมไว้ ไม่ให้พี่น้องคนอื่น อีกทั้งท้ายที่สุดก็อยากจะส่งต่อให้ฉินเหิงลูกชายของตนเอง ไหนเลยจะรู้ว่าฉินเหิงจะเป็นเศษสวะที่โง่เง่าเช่นนี้ ทำให้ฉินเทาหยวนโกรธจนแทบกระอักเลือด
“สรุปแล้วช่วงนี้แกอย่าสร้างปัญหาให้กับฉัน ถ้าหากว่าทำเรื่องอะไรแล้วถูกตระกูลฉีรับรู้ คงไม่ดีแน่ อีกอย่างหาคนไปตรวจสอบเรื่องการตายของหลี่เถี่ยสักหน่อย ฉันรู้สึกว่ามันไม่ง่ายแน่!” ฉินเทาหยวนกล่าวพลางขมวดคิ้ว
“รู้แล้ว แม่สาวพราวเสน่ห์เสี่ยวฉิงคนนั้นไปไหนแล้ว?” ฉินเหิงจู่ๆ ก็คิดถึงเสี่ยวฉิงขึ้นมาจึงเปิดปากถาม
เมื่อเห็นว่าฉินเหิงลูกชายของตนดูปกติขึ้นเล็กน้อย ฉินเทาหยวนจึงนั่งลง ถอนหายใจครั้งหนึ่งพลางกล่าวว่า “ฉันให้คนไปทำความเข้าใจเรื่องราวคร่าวๆ แล้ว หลี่เถี่ยกับลูกน้องที่เก่งกาจของเขาทั้งสองคนซึ่งก็คือซานจีและซานซยง รวมถึงผู้คุ้มกันถือปืนที่เก่งกาจทั้งสามสิบกว่าคน ทั้งหมดตายอยู่ในคฤหาสน์ ส่วนเสี่ยวฉิงยัยผู้หญิงชั้นต่ำนั่นไม่รู้ว่าไปไหน…”
“นี่…พ่อ ในมือหลี่เถี่ยมีเสียงบันทึกการสนทนาของพวกเรากับมันอยู่ ถ้าหากว่าตกไปอยู่ในมือของคนอื่น ผลลัพธ์คงเเลวร้าจนไม่อยากจะคิด…”
ฉินเหิงนับว่ารู้จักหวาดกลัวแล้ว ช่วงนี้ตระกูลฉินที่ติดต่อกับหลี่เถี่ยล้วนแต่เป็นเขา หากว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นจริงๆ เขาฉินเหิงเป็นคนแรกที่หนีไม่รอด แม้ว่าการอยู่ในคุกห้าปีมานี้จะไม่ทำให้ฉินเหิงต้องลำบากมากนัก แต่เขาก็กลัววันเวลาที่ต้องถูกขังอยู่ในคุก สำหรับคนประเภทที่ต้องสูดผงและเล่นสนุกกับผู้หญิงแล้ว วันเวลาเหล่านั้นเทียบกับความตายยังน้อยไป
“ยัยผู้หญิงชั้นต่ำนั้นไม่รู้ว่าหนีไปไหนแล้ว ฉันสงสัยว่าการตายของหลี่เถี่ยและลูกน้องของมัน มีความเกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนนี้ เทปบันทึกเสียงพวกนั้นก็เป็นไปได้มากว่าจะตกไปอยู่ในมือของเธอแล้ว ในเมื่อผู้หญิงคนนี้ไม่กลับมารายงานที่ตระกูลฉินของพวกเรา ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าอยากจะใช้เทปบันทึกเสียงพวกนั้นมาข่มขู่ พวกเรา!” ฉินเทาหยวนกล่าวคาดเดาออกมา
“แม่มันเถอะ นังคนไร้ค่า ถ้าหากว่าถูกฉันจับได้ล่ะก็ ฉันจะทำให้มันตายให้ดู จะหาผู้ชายสักร้อนคนมาข่มขืนหญิงสารเลวนี่จนตาย ในเมื่อกล้ามาทรยศตระกูลฉินของพวกเรา ต้องทำให้เธอตายแน่นอน!” ฉินเหิงกล่าวโดยที่มุมปากประดับไปด้วยรอยยิ้มโหดเหี้ยม
เป็นเช่นเดียวกับที่เย่เทียนเฉินคาดเดา หากว่าเสี่ยวฉิงกลับไปที่ตระกูลฉิน ต่อให้เรื่องพวกนี้เธอไม่ได้เป็นผู้กระทำจริงๆ ต่อให้เธอมีสิบปากก็เกรงว่าฉินเทาหยวนสองพ่อลูกคู่นี้ที่มีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตก็จะไม่ปล่อยเธอไปแน่นอน ขอเพียงแค่เธอกล้ากลับไปที่ตระกูลฉิน จุดจบมีเพียงความตาย
ที่สำคัญก็คือสองพ่อลูกคู่นี้มีหลักการอันโหดร้ายมาโดยตลอด นั่นก็คือต่อให้ฆ่าคนผิดร้อยคน ก็ดีกว่าปล่อยคนผิดไปหนึ่งคน!
“อย่าทำอะไรบุ่มบ่าม เสี่ยวฉิงยัยหญิงสารเลวนี่เป็นผู้มีพลังพิเศษ การจัดการกับเธอนั้นไม่ง่ายเช่นนั้น ส่งคนออกไปตามหาเธอให้เจอก่อนค่อยว่ากันอีกที!” ฉินเทาหยวนคิดครู่หนึ่งก่อนกล่าว
“เฮอะ ผู้มีพลังพิเศษ? ก็แค่พลังพิเศษใช้อวดเบ่งเล็กน้อยของเธอ ไม่พอให้สนใจหรอก ด้วยอำนาจของพวกเราตระกูลฉิน หากต้องการเชิญยอดฝีมือพรรควรยุทธโบราณและผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งก็ไม่มีปัญหาอะไรเลย ยังไงก็ต้องฆ่ายัยผู้หญิงคนนี้ซะ!” ฉินเหิงสบถออกมาอย่างถือดี
เรื่องที่บนโลกมีผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งและยอดฝีมือพรรควรยุทธโบราณอยู่นั้นได้เลือนหายไปจากคนธรรมดาจนกระทั่งคนทั่วไปไม่รับรู้ แต่สำหรับตระกูลใหญ่ดังเช่นตระกูลฉินแล้วนั้นย่อมรับรู้ได้ และในเวลาจำเป็นหรือเหตุการณ์พิเศษบางอย่าง ก็ย่อมต้องใช้งานคนเหล่านี้ ซึ่งเสี่ยวฉิงก็เป็นหนึ่งในนั้น
เมื่อหนึ่งปีก่อน ฉินเทาหยวนรู้สึกได้ว่าหลี่เถี่ยนับวันก็ยิ่งควบคุมไม่ได้ ส่วนหลี่เถี่ยก็อยากจะหลุดพ้นจากการควบคุมของตระกูลฉินและกลายเป็นหัวหน้ากลุ่มอิทธิพลใต้ดินอย่างแท้จริง ไม่มีใครอยากจะถูกคนอื่นจูงจมูกไปตลอดจนกลายเป็นหุ่นเชิด นั่นเป็นชีวิตที่ไม่มีทั้งความเคารพในตัวเองและเกียรต์ศักดิ์ศรี เชื่อว่าไม่มีใครอยากจะได้รับแน่นอน
ฉินเทาหยวนและฉินเหิงสองพ่อลูกได้ส่งยอดฝีมือออกไปหลายครั้งเพื่อติดตามหลี่เถี่ยและแอบเข้าไปในที่อยู่อาศัยของหลี่เถี่ยเป็นต้น ต้องการที่จะหาเทปบันทึกเสียงที่หลี่เถี่ยซ่อนไว้ให้เจอ ขอเพียงหาเทปบันทึกเสียงเจอ ก็จะสามารถฆ่าหลี่เถี่ยที่ไม่เชื่อฟังทิ้งได้ แต่ว่าหลี่เถี่ยคนนี้ก็ไม่ใช่จะเคี้ยวง่ายๆ ระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก นำเทปไปซ่อนไว้เป็นอย่างดี ยอดฝีมือที่ส่งไปก่อนหน้านี้ต่างก็หาไม่เจอ ฉินเทาหยวนสองพ่อลูกก็ไม่กล้าฆ่าหลี่เถี่ย หากเจ้าหมอนี่มีผู้อยู่เบื้องหลัง เทปบันทึกเสียงถูกส่งไปในมือของคนระดับสูงในประเทศ เกรงว่าตระกูลฉินต้องพบกับภัยพิบัติเป็นแน่
ดังนั้นจึงมีการออกโรงของเสี่ยวฉิง เมื่อหนึ่งปีก่อนได้กลายเป็นภรรยาน้อยของหลี่เถี่ย ใช้กลเม็ดอันแพรวพราวและเรือนร่างเพื่ออยู่ข้างกายของหลี่เถี่ย แต่ก็ไม่สามารถค้นหาเทปบันทึกเสียงได้ หากไม่ใช่ว่าผู้มีฝีมือแข็งแกร่งและเลือดร้อนเช่นเย่เทียนเฉินลงมือ เกรงว่าคงไม่มีคนรู้ว่าหลี่เถี่ยเอาเทปบันทึกเสียงไปไว้ที่ไหน
“ผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งและยอดฝีมือพรรควรยุทธโบราณ ทั้งในและต่างประเทศก็มีอยู่บ้าง แต่ว่าคนพวกนี้เชิญตัวมายาก ต้องจ่ายค่าตอบแทน อีกอย่างไม่ว่าเสี่ยวฉิงจะทำหรือไม่ ก็ยังต้องตรวจสอบ ฉันสงสัยว่าเรื่องนี้อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับเย่เทียนเฉินไอ้คนไม่เอาไหนของตระกูลเย่!”
ขิงยิ่งแก่ก็ยิ่งเผ็ดจริงๆ แม้ว่าฉินเทาหยวนจะสงสัยว่าเสี่ยวฉิงทรยศตระกูลฉิน แต่สามารถจัดการหลี่เถี่ยและนักฆ่ายอดมือปืนสามสิบกว่าคนทั้งหมดได้ เกรงว่าไม่ใช่อะไรที่เสี่ยวฉิงจะทำได้ สิ่งที่เขารู้ทั้งหมดก็คือ อำนาจในมือของหลี่เถี่ยในช่วงนี้เย่เทียนเฉินมีส่วนในการปะทะ ตั้งแต่ที่เย่เทียนเฉินกลับมาที่จิงตู เรื่องราวและประเด็นมากมายต่างก็โคจรอยู่รอบๆ เย่เทียนเฉิน ความรู้สึกที่ทุกคนมีให้ก็คือ ตัวตลกของจิงตู เศษสวะและคนไม่เอาไหนของตระกูลเย่ เย่เทีนเฉิน ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ต้องการที่จะมีเรื่องกับเขายังต้องชั่งน้ำหนักดูเสียก่อน
“ฮ่าๆๆๆ พ่อ ผมว่าพ่อตกใจจนกลัวไปแล้วล่ะ? เย่เทียนเฉิน? ก็แค่เศษสวะ? ผมแค่กระดิกนิ้วก็สามารถเหยียบมันให้ตายได้แล้ว ไม่งั้นตอนนี้ผมไปหาไอ้เศษสวะนั่น เหยียบมันให้ตายเป็นไง?” ฉินเหิงได้ยินบิดาของตนพูดถึงเย่เทียนเฉิน ก็กล่าวออกมาพลางหัวเราะอย่างอวดดี
หากว่าเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อนย่อมเป็นเช่นนี้แน่นอน อำนาจของตระกูลเย่มิอาจเทียบกับตระกูลฉินได้เลย ในจิงตูฉินเหิงได้รับการยอมรับมากกว่าเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินในจิงตูนั้นเป็นได้เพียงตัวตลกของเหล่ามหาอำนาจและตระกูลใหญ่ต่างๆ ก็เท่านั้น ไม่มีใครเห็นเขาอยู่ในสายตา หากฉินเหิงต้องการเหยียบย่ำเย่เทียนเฉินก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก แต่นั่นก็จำกัดอยู่แค่เย่เทียนเฉินในอดีต เย่เทียนเฉินในตอนนี้เกรงว่าหากฉินเหิงกล้าใช้เท้าไปเหยียบเขาล่ะก็ เขาต้องใช้เท้าเหยียบย่ำตระกูลฉินทั้งตระกูลแน่ เย่เทียนเฉินไม่หาเรื่อง แต่จะอย่างไรก็ไม่กลัวมีเรื่อง!
“อย่าทำอะไรบุ่มบ่าม เรื่องนี้ต้องตรวจสอบให้ดีๆ ดำเนินการเงียบๆ หากเป็นเรื่องขึ้นมาจะไม่เป็นผลดีต่อตระกูลฉินของพวกเรา!” ฉินเทาหยวนกล่าวเตือนฉินเหิง
“ตามใจเถอะ ผมไปนอนแล้ว คืนนี้มีสาวงามคนหนึ่งมาจากฮ่องกง ตอนนี้คงนอนรอผมอยู่บนเตียงแล้วล่ะ!” ฉินเหิงอยู่ต่อหน้าบิดาของตนก็ยังพูดจาต่ำช้าออกมา
ฉินเทาหยวนมองฉินเหิง จนใจกับฉินเหิงจริงๆ จึงโบกมือให้ฉินเหิงจากไป นั่งอยู่บนโซฟาเพียงลำพัง คิดพลางขมวดคิ้ว ไม่ว่าจะอย่างไร ช่วงนี้ก็ไม่อาจปล่อยให้เกิดความผิดพลาดใดๆ ได้ ขอเพียงรอจนถึงเวลาที่ผู้อาวุโสกลายเป็นรองผู้นำระดับชาติ ก็จะสามารถทำให้อำนาจของตระกูลฉินยิ่งใหญ่ขึ้น เรื่องพวกนี้ก็จะกลายเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่ว่าตระกูลฉินของตนจะทำเรื่องเลวร้ายอย่างไร หรือจะกำจัดตระกูลเย่ ก็จะไม่ถูกวิพากษ์วิจารณ์
คิดครู่หนึ่ง ฉินเทาหยวนก็ยกโทรศัพท์ต่อสายไปยังเบอร์ๆ หนึ่ง หลังจากที่โทรศัพท์ถูกรับแล้วจึงเปิดปากกล่าวว่า “เลขาธิการคณะกรรมการเมืองh ให้เย่หงเป็นไปเถอะ ฉันไม่แข่งกับเขาแล้ว!”
วางโทรศัพท์ไป ฉินเทาหยวนแม้ว่าจะไม่ยินดี แต่ก็ไม่มีวิธี เรื่องราวทั้งหมดต้องยกให้การเลือกตั้งใหม่ในครั้งนี้เป็นสำคัญ หากว่าตาเฒ่าไม่ได้เป็นรองผู้นำระดับชาติ ต่อให้ตนเองได้เป็นเลขาธิการคณะกรรมการเมืองhก็เปล่าประโยชน์ นี่เป็นตรรกกะที่ว่าหากไม่มีคนของตนอยู่ในราชสำนัก ก็ไร้ค่าที่จะเป็นขุนนาง
“เย่หง รอก่อนเถอะ ฉันจะต้องคิดบัญชีความแค้นทั้งเก่าและใหม่กับแกแน่!” ฉินเทาหยวนเปิดปากกล่าวอย่างโหดร้ายพลางยิ้มอย่างเย็นชา
เวลานี้ เย่เทียนเฉินกับหูหลงที่กินบาร์บีคิวและดื่มเบียร์เสร็จแล้ว ก็ออกจากร้านบาร์บีคิวมา ตอนที่ออกมานั้น เย่เทียนเฉินยังกล่าวกับหูหลงหนึ่งประโยคว่า
“ฝีมือไม่แข็งแกร่งนั้นไม่เป็นไร สามารถฝึกฝนกันได้ ผู้นำกดขี่เป็นเรื่องธรรมชาติ ถ้าหากว่าไม่มีการใช้อำนาจบาตรใหญ่เช่นนี้ นายก็ยากที่จะยืนอยู่ในตำแหน่งที่สูงยิ่งขึ้น!”
หูหลงจากไปแล้ว กลับไปยังบ้านเกิดในคืนนั้นเลย รอคำสั่งของพี่ใหญ่เย่เทียนเฉินจึงจะกลับมาจิงตู ส่วนเย่เทียนเฉินนั่งรถกลับไปบ้านของตน กลับไปถึงในบ้านก็เป็นเวลาตีสองกว่าแล้ว พ่อแม่ น้องสาวและฉีหรูเสวี่ย ทั้งสามคนเข้านอนไปนานแล้ว
เย่เทียนเฉินอาบน้ำไปครั้งหนึ่ง ดื่มน้ำไปแก้วหนึ่ง พบว่าเมื่อสักครู่นี้กินอิ่มอยู่เพียงเล็กน้อยจริงๆ ปริมาณการกินของตนเองนี้ในโลกเดิมนั้นก็เยอะมาก บาร์บีคิวไม่กี่ไม้ เบียร์ไม่กี่ขวด ไม่ทำให้กินอิ่มได้ จึงคิดจะหาอะไรในตู้เย็นกินสักหน่อย เปิดตู้เย็นดูก็พบเพียงแค่เป๋าฮื้อและกุ้งมังกรที่ฉีหรูเสวี่ยทำไว้มื้อเย็นที่ยังไม่ถูกกิน เย่เทียนนเฉินไม่สนใจอะไรมาก นำเป๋าฮื้อและกุ้งมังกรออกมาทั้งหมด และยังทำน้ำผลไม้อีกแก้วหนึ่ง รับประทานเป๋าฮื้อและกุ้งมังกรอย่างสบายอกสบายใจ จนกระทั่งกินเสร็จก็เป็นเวลาตีสามแล้ว เย่เทียนเฉินกลับไปยังห้องของตนเอง ล้มตัวลงนอน ไม่ได้ฝึกฝนพลังพิเศษ
เช้าวันต่อมา ไม่ทราบว่าเป็นเวลากี่โมงแล้ว เย่เทียนเฉินถูกเสียงคำรามด้วยความไม่พอใจปลุกจนตื่น
“เย่เทียนเฉิน เจ้าคนชั่ว หัวขโมย ไสหัวออกมาให้ฉันซะ…”
“เย่เทียนเฉิน นายทำเกินไปแล้ว ถึงกับขโมยอาหารเช้าของผู้อื่น ยังมีความเป็นมนุษย์หลงเหลืออยู่ไหม?”
“เย่เทียนเฉิน คืนเป๋าฮื้อกับกุ้งมังกรของฉันมานะ…”
…………………………………………………………….