ที่ชางหลางเลือกเย่เทียนเฉินและรับประกันต่อรองประธานคณะกรรมาธิการทหารหยางอี้ ให้เย่เทียนเฉินรับผิดชอบภารกิจในครั้งนี้นั้น ก็มีสาเหตุ ซึ่งมีอยู่สองปัจจัย มีเพียงเย่เทียนเฉินที่มีพร้อม สามารถพูดได้ว่าเหมาะสมทุกอย่าง
หนึ่ง เย่เทียนเฉินเคยเป็นทหารหน่วยรบพิเศษ ตอนนี้ปลดประจำการไปแล้ว เป็นเพียงประชาชนจีนคนหนึ่ง การกระทำทั้งหมดของเขาไม่ได้มีความหมายว่าเป็นตัวแทนประเทศ
สอง ฝีมือของเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งมากพอ กล่าวได้ว่าลึกล้ำมิอาจหยั่ง อีกทั้งคนๆ นี้เป็นคนที่มีแนวโน้มของความรุนแรงคนหนึ่ง เขาไม่หาเรื่อง แต่ก็ไม่กลัวมีเรื่อง ใครหาเรื่องเขา แม้แต่เทพเซียนก็ต้องเอาหมัดไปกิน
สำหรับเย่เทียนเฉิน บางครั้งชางหลางก็ยังอิจฉาเด็กคนนี้ อยากด่าก็ด่า อยากต่อยก็ต่อย แต่ไหนแต่ไรไม่เคยหาเรื่องก่อน แต่ใครต้องการหาเรื่องเขา เขาก็ไม่กลัวความยุ่งยาก มอบหมัดเหล็กทุบคุณให้หมอบก็พอ
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ไหนเลยจะอิสระได้เช่นนี้ ทุกคำพูดทุกการกระทำล้วนมีลักษณะเป็นตัวแทนของประเทศ ไม่กล้ามามั่วๆ โดยเด็ดขาด การที่จะเหมาะสมกับภารกิจในครั้งนี้นั้นก็คือ เบื้องหน้ากลมเกลียว เบื้องหลังแข่งขัน กระทั่งมีสถานการณ์หลั่งเลือดเสียสละ
ความจริงแล้วไม่ว่าจะเวลาไหน การประลองระหว่างประเทศก็ไม่เคยหยุดหย่อน จะอย่างไรก็มิอาจมองแต่เพียงเบื้องหน้าได้ ประธานาธิบดีของประเทศหนึ่งกับอีกประเทศหนึ่งมักจะผูกสัมพันธ์กันอย่างดี สองคนสนิทสนมกลมเกลียว พูดคุยกันด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
สถานการณ์จริงๆ กลับเป็นหน่วยงานลับของสองประเทศเปิดฉากยิงถล่มกัน แต่ละประเทศบาดเจ็บล้มตายไปไม่รู้เท่าไหร่ ทหารหน่วยรบพิเศษของทั้งสองประเทศสู้รบกันบริเวณชายแดน ตายไปนับไม่ถ้วน สถานการณ์จริงเหล่านี้ ประชาชนธรรมดาทั่วไปไหนเลยจะรู้ ทุกเวลามีผู้เสียสละเลือดเนื้อเพื่อประเทศชาติอยู่
โดยเฉพาะหลายปีมานี้ เนื่องด้วยความแข็งแกร่งของจีนเพิ่มมากขึ้น ทำให้ประเทศมหาอำนาจบางประเทศในโลกอยู่ไม่สุข เบื้องหน้าไม่กล้าลงมือต่อจีน แต่เบื้องหลังหลับส่งยอดฝีมือจำนวนมากเข้ามาทำลายความมั่นคงของชาติ สอดแนมข้อมูลอันเป็นความลับสูงสุดของประเทศ เพื่อกุมความก้าวหน้าที่แท้จริงของจีน นี่จึงต้องการยอดฝีมือชาวจีนที่มีความสามารถและมีความเลือดร้อน ทำการต่อสู้เป็นตายกับพวกเขา และปกป้องคุ้มครองประเทศชาติ
ทุกๆ ปี ไม่ทราบว่ามีชายเลือดร้อนชาวจีนจำนวนเท่าไหร่ที่หลังเลือดสละชีพเพื่อปกป้องประเทศ ไม่มีใครรู้ชื่อของพวกเขา กระทั่งป้ายหลุมศพพวกเขาก็ยังไม่มีสักแห่ง เพียงได้รับการบันทึกไว้ในหอจดหมายเหตุอันเป็นความลับสูงสุดของจีนเท่านั้น แต่พวกเขาก็ยังคงไม่รู้สึกเสียใจ นี่คือความยึดมั่นในศักดิ์ศรีและคุณธรรมของประชาชนอันเป็นลูกหลานของบรรพบุรุษชาวจีน
“หัวหน้า พูดถึงจีนในปัจจุบันแล้ว คนที่เหมาะสมที่จะทำภารกิจให้สำเร็จที่สุด ก็มีแต่เย่เทียนเฉิน ในเมื่อคุณมอบหมายภารกิจนี้ให้กับผม ผมก็ทำได้แค่เดิมพันสักครั้ง ขอวางเดิมพันข้างเขาแล้วกัน” ชางหลางมองหยางอี้ กล่าวอย่างจริงจังพลางพยักหน้าเล็กน้อย
“งั้นก็ดี เรื่องก็มอบหมายให้นายไปจัดการ มีอะไรลำบากก็ให้มาบอกฉัน อีกอย่างบางเรื่องฉันจำเป็นต้องพูดออกมาก่อน ภารกิจครั้งนี้ต้องสำเร็จเท่านั้น หากว่าล้มเหลว นายก็ไม่ใช่ทหารอีกต่อไป” หยางอี้กล่าวพลางมองชางหลางอย่างจริงจัง
ชางหลางตกตะลึงไปทั้งตัว สำหรับคนที่ได้เข้ามาเป็นคณะกรรมาธิการทหารแล้วนั้น การได้เป็นคณะกรรมาธิการทหารเป็นความภาคภูมิใจชั่วชีวิตของเขา และเป็นภารกิจชีวิตของเขา หากว่าทำให้เขาไม่ได้เป็นทหารอีกต่อไปแล้วจริงๆ เขาคิดไม่ออกเลยว่าชีวิตเช่นนั้นจะเป็นอย่างไร ต้องอยู่ไม่สู้ตายอย่างแน่นอน เขาคิดไม่ถึงว่า ภารกิจครั้งนี้จะสำคัญขนาดนี้ มิฉะนั้นหยางอี้ซึ่งเป็นรองประธานคณะกรรมาธิการทหารคงไม่มาซักถามด้วยตัวเอง และยิ่งไม่พูดกับตนเองอย่างชัดเจนขนาดนี้
“ผมทราบแล้วครับ หัวหน้าคุณโปรดวางใจ ต่อให้ตายก็ต้องสำเร็จภารกิจให้ได้” ชางหลางกล่าวพลางทำวันทยาหัตถ์แสดงความเคารพอย่างทหาร
ออกมาจากออฟฟิศของหยางอี้แล้ว ชางหลางก็เช็ดเหงื่อเย็นๆ บนหน้าผาก ในความเป็นจริงภารกิจคืออะไร แม้แต่เขาก็ไม่ชัดเจนนัก เพียงแต่ไม่คิดว่าผลลัพท์จะร้ายแรงเช่นนี้ อดไม่ได้ที่จะด่าอยู่ในใจว่า ‘เย่เทียนเฉิน ไอ้หนูอย่างแกอย่าทำให้ฉันต้องผิดหวังเชียว หากภารกิจล้มเหลวล่ะก็ บิดาต้องทุกข์ทรมานแน่ แต่ฉันก็จะใช้ชุดทหารบนร่างรับประกันเพื่อนาย’
ตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินที่ยังกินข้าวอยู่ที่บ้านหลักตระกูลเย่ ไม่รู้เลยว่าชางหลางจะมาหาตนเองเร็วมาก และยังนำคำพูดของรองประธานคณะกรรมาธิการทหารมาออกคำสั่งกับตนเอง ส่วนเรื่องที่ว่าจะรับภารกิจนี้หรือไม่ เย่เทียนเฉินเองก็ไม่ทราบ ตั้งแต่ตายจนได้มาเกิดใหม่เป็นต้นมา โลกเดิมมีเพียงผู้แข็งแกร่งที่ได้รับความเคารพ ความสามารถคือทุกสิ่งทุกอย่าง จะประธานไม่ประธานนั้นเป็นเรื่องรอง ดังนั้น เย่เทียนเฉินจะรับคำสั่งของรองประธานคณะกรรมาธิการทหารหยางอี้คนนี้หรือไม่ ก็ยังคงไม่มีข้อสรุป
ภายในห้องโถงบ้านหลักตระกูลเย่ เมื่อก่อนเป็นเย่มู่ไป๋กับเย่เฮ่อกั๋วสองคนที่จะรับประทานอาหารเป็นเพื่อนเย่หย่วนซานผู้เป็นบิดา แต่วันนี้ไม่เหมือนเดิมอยู่บ้าง พวกเขาสองคนยืนอยู่ด้านข้าง หน้าตาเศร้าซึม อึดอัดวางตัวไม่ถูก ทำได้เพียงมองครอบครัวเย่หงกินข้าวกับบิดา
“พ่อครับ พ่อกินเนื้อย่างนี่หสักน่อย ไม่เลวเลยครับ” เย่หงเป็นลูกกตัญญูคนหนึ่ง คีบอาหารให้เย่หย่วนซานผู้เป็นบิดา
เย่หย่วนซานพยักหน้า มองเย่เทียนเฉินที่สักแต่กินข้าวอย่างเดียวมาตลอด ลักษณะท่าทางการกินของเขาดูไม่ได้เลยจริงๆ พออาหารขึ้นโต๊ะ ก็กินอย่างตะกละตะกลาม ยึดอาหารหลายจานไว้ที่เบื้องหน้าของตน กินไม่หยุด กินอาหารไม่หยุด ดื่มเหล้าไม่หยุด มีน้ำมันเปื้อนเต็มปาก เย่หย่วนซานเห็นก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้ายิ้มๆ
ท่ามกลางเหล่าตระกูลในจิงตู ไม่ว่าจะตระกูลเล็กหรือตระกูลใหญ่ ขอเพียงเป็นตระกูลที่มีหน้ามีตาสักเล็กน้อย ต่างก็มีกฏบ้านที่กำหนดแน่นอน หากไร้ซึ่งกฏบ้านก็มิอาจประสบความสำเร็จได้ เรื่องตำแหน่งในการนั่งกินข้าวหรือควรจะกินอย่างไรนั้นก็ล้วนมีอยู่ในข้อกำหนดทั้งหมด นี่เป็นการปฏิบัติของตระกูลที่มีระดับ อย่างน้อยก็ไม่กินข้าวด้วยท่าทางเช่นนี้เหมือนเย่เทียนเฉิน ไม่ทำตามข้อกำหนดเลยสักนิด คนที่เห็นทุกคนต่างก็อับจนคำพูด
“เทียนเฉิน เด็กอย่างลูกมีมารยาทกับเขาบ้างไหม?” เย่หงเห็นเย่หย่วนซานผู้เป็นบิดามองเย่เทียนเฉินด้วยรอยยิ้ม ก็นึกว่าบิดาโกรธ จึงรีบตำหนิเย่เทียนเฉินเสียงเข้ม
เย่เทียนเฉินเงยหน้าขึ้นมองเย่หงผู้เป็นพ่อ ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ตนเองก็กินได้ถูกต้อง ไม่ได้ตั้งใจแกล้งแสดงออกเช่นนี้เลยสักนิด แต่เป็นเพราะรู้สึกว่าอาหารของบ้านหลักตระกูลเย่นี่ทำได้ไม่เลวเลย เมื่อเห็นสายตาที่บิดามองมาทางตนเอง จะอย่างไรก็เข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย
“คุณปู่ กินเนื้อปูนี่หน่อยนะครับ รสชาติล้ำเลิศ ไม่เลวเลย…” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางส่งจานเนื้อปูผัดไปด้านหน้าเย่หย่วนซาน
“เจ้าลูกคนนี้…”
“พี่คะ…”
เย่หง หลัวเยี่ยนและเย่เฉี่ยนเหวิน ทั้งสามไม่คิดเลยว่าเย่เทียนเฉินจะพูดกับเย่หย่วนซานผู้เป็นปู่อย่างเป็นกันเองเช่นนี้ แม้ว่าจะเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่เย่หย่วนซานเป็นผู้อาสุโสในบ้าน และเป็นเสาหลักของตระกูล ตระกูลเย่ไม่มีใครกล้าพูดเช่นนี้กับผู้อาวุโส เย่เทียนเฉินเป็นคนแรก
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ผู้อาวุโสเย่หย่วนซานคนนี้ ในดวงตาและจิตใจของคนตระกูลเย่ ต่างก็อยู่สูงจนต้องเงยหน้าขึ้นมอง และเกิดความเคารพอยู่ในใจ ไม่มีใครกล้าพูดกับเขาอย่างเป็นกันเองเช่นนี้
“เย่เทียนเฉิน ในสายตาของแกยังมีผู้อาวุโสอยู่ไหม ไร้มารยาทสิ้นดี” เย่มู่ไป๋ถือโอกาสกล่าวอย่างดุดัน
“ไม่เคารพผู้อาวุโสเลยสักนิด อกตัญญูจริงๆ” เย่เฮ่อกั๋วก็รีบสุมไฟกล่าว
เย่เทียนเฉินได้ยินคำพูดของเย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋ว ก็รู้ว่าสองคนนี้คับแค้นตนเองอยู่ในใจ จึงต้องการจะแก้แค้น ตอนนี้จับหางได้เล็กน้อยก็คิดอยากที่จะใช้แรงแกว่ง อยากที่จะแกว่งให้ตนเองตายทั้งเป็น
“การเคารพไม่ได้อยู่ที่ปากแต่อยู่ที่ใจ ผมไม่เหมือนใครสองคน ที่ปากบอกว่าเคารพ ความจริงกลับทำเรื่องบางอย่างที่ทำให้ผู้อาวุโสโมโหแทบตาย ผมว่าผู้อาวุโสกินให้เยอะขึ้นอีกหน่อย ดูแลรักษาสุขภาพไว้เป็นดีที่สุด!” เย่เทียนเฉินกล่าวกับเย่หย่วนซานด้วยรอยยิ้ม
“พ่อครับ ไอ้หลานอกตัญญูมันบ้าไปแล้ว…”
“ไม่ใช้กฏบ้านลงโทษไม่ได้นะครับ…”
“หุบปากซะ ถ้าพวกแกสองคนกล้าพูดมากอีกคำเดียว ก็ไสหัวออกไปจากบ้านหลักตระกูลเย่ซะ!” เย่หย่วนซานหันมามองลูกชายคนโตเย่มู่ไป๋กับลูกชายคนที่สองเย่เฮ่อกั๋วอย่างดุดันพลางตะโกนออกมา
เย่มู่ไป๋กับเย่เฮ่อกั๋ว ทั้งสองต่างก็ตกใจจนชะงักไป ไม่กล้าพูดอะไรมากอีก ตอนนี้ผู้อาวุโสเย่หย่วนซานยืนอยู่ฝั่งน้องสามเย่หงโดยสิ้นเชิง ตำแหน่งฐานะของพวกเขาสองคนยิ่งตกต่ำลงทุกวัน
“พ่อคะ เทียนเฉินลูกคนนี้ก็เป็นแบบนี้ ถูกพวกเราทำให้นิสัยเสียแล้ว พ่ออย่าได้ตำหนิเลยนะคะ!” หลัวเยี่ยนรีบเปิดปากพูด
“ฮ่าๆ หงเอ๋อร์ เสี่ยวเยี่ยน พวกเราล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน ครอบครัวเดียวกันกินข้าวกันทำไมจะต้องเกรงอกเกรงใจเช่นนั้น พ่อคิดว่าท่าทางเช่นนี้ของเย่เทียนเฉินก็ดีมาก ให้ความรู้สึกของครอบครัว พ่อไม่ได้เป็นเช่นนี้มานานแล้ว” เย่หย่วนซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“พ่อ…” เย่หงรู้สึกซาบซึ้งใจ หลายปีมานี้ บิดาเฉยเมยกับเขามาโดยตลอด เขาไม่รู้ว่าเพราะอะไร ในใจก็รู้สึกไม่สบาย ตอนนี้เห็นบิดาหัวเราะอย่างหาได้ยากแล้ว ก็ดีใจมาก ความตกต่ำของตระกูลเย่นั้นเป็นที่กล่าวขานกันไปทั่ว คิดว่าในใจของเย่หย่วนซานคงรับไม่ได้เป็นที่สุด
“ผู้อาวุโส แบบนี้ก็ถูกแล้วแหละ พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน แม้ว่าเมื่อก่อนความสัมพันธ์จะไม่ได้ดีเด่อะไร แต่ว่าผมคิดว่าคุณก็ยังอยู่ร่วมกันได้ดี ผู้อาวุโสก็ควรจะกินดื่มเที่ยวเล่นให้ดีๆ มีความสุขกับความผูกพันธ์ของครอบครัวให้มากๆ!” เย่เทียนเฉินกินก้ามปูอันใหญ่ไปพลาง เปิดปากพูดไปพลาง
“พูดได้ถูกต้อง พูดได้ถูกต้อง หงเอ๋อร์ เทียนเฉิน มาดื่มเป็นเพื่อนฉันสักแก้ว!” เย่หย่วนซานยิ้มพลางยกแก้วเหล้าขึ้นมา
เย่หงรีบยกแก้วขึ้น ส่วนเย่เทียนเฉินนั้นมือซ้ายมีก้ามปูอันใหญ่ มือขวายกแก้วเหล้าขึ้นตามใจ ชนแก้วครู่เดียวก็ดื่มจนแห้งเหือด
ข้าวเย็นมื้อหนึ่งกินกันไปแล้ว ก็เป็นเวลาสี่ทุ่ม เย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วทั้งสองคนนั้นยืนข้างโต๊ะอาหารมาสามชั่วโมงกว่า ทั้งสองหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ ทั้งยังไม่กล้าไปไหนและไม่กล้านั่ง กลัวว่าจะถูกผู้อาวุโสลงโทษ ทำได้เพียงมองครอบครัวน้องสามเย่หงกินดื่มอย่างมีความสุข ความคับแค้นใจก็ยิ่งลึกล้ำมากขึ้น
อาหารมื้อนี้ มีเพียงเย่เทียนเฉินที่กินได้อย่างพึงพอใจมากที่สุด กินได้อย่างมีความสุขที่สุด ตั้งแต่อาหารขึ้นโต๊ะจนอาหารลงโต๊ะก็กินไม่หยุด ส่วนเย่หย่วนซานกลับคอยสังเกตหลานคนนี้อยู่ตลอด เขาราวกับเห็นความหวังอันรุ่งโรจน์ของตระกูลเย่จริงๆ หลังจากที่ตนเองลงจากตำแหน่ง เขาก็คิดว่าจะทำอย่างไรให้ตระกูลเย่รุ่งเรืองขึ้นมาใหม่ ลูกชายทั้งสามต่างก็ฉลาดไม่พอ และไม่มีโชคมากพอ อยากจะทำให้ตระกูลเย่เจริญรุ่งเรืองนั้นยากมาก เย่เทียนเฉินในวันนี้แม้จะมีกลิ่นไอนักเลงอยู่บนร่าง แต่ก็มีความกล้าหาญ บางทีอาจจะยังคงมีโอกาสนั้นอยู่ก็ได้
“หงเอ๋อร์ อีกสักรู่มาที่ห้องหนังสือของพ่อสักหน่อย มีเรื่องจะคุยกับลูก!” เย่หย่วนซานมองเย่เทียนเฉินด้วยรอยยิ้มพลางกล่าว แล้วจึงไปจากโต๊ะอาหาร
………………………………………………………….