ตอนที่ครอบครัวเย่เทียนเฉินจากบ้านหลักตระกูลเย่ไป ก็เป็นเวลาประมาณห้าทุ่มแล้ว ตอนที่เห็นเย่หงผู้เป็นพ่อออกมาจากห้องหนังสือของผู้อาวุโสเย่หย่วนซาน ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มอันเจิดจ้า หลัวเยี่ยนดีใจ เย่เฉี่ยนเหวินก็ดีใจ ถึงแม้ว่พวกเขาไม่รู้ว่าผู้อาวุโสกับเย่หงคุยอะไรกัน แต่ดูท่าทางแล้วมีความสุขมาก
สำหรับเย่หงที่เป็นลูกกตัญญูคนหนึ่ง สามารถพูดคุยกับบิดาอย่างมีความสุขได้ ก็เป็นเรื่องที่ทำให้เขาสุขที่สุดแล้ว โดยเฉพาะหลายปีมานี้ เย่หย่วนซานผู้เป็นพ่อทำไม่ดีกับตนเอง ทำให้เย่หงรู้สึกไม่ยุติธรรมและรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง แต่ทั้งหมดนี้มันผ่านไปแล้ว นอกจากนี้สาเหตุที่ทำให้เขาคาดไม่ถึงก็คือเย่เทียนเฉินผู้เป็นลูก
ตอนที่เดินออกมาจากห้องหนังสือ คำพูดประโยคนั้นของบิดา ทำให้เย่หงรู้สึกว่ามีความหมายลึกซึ้งกระตุ้นให้เกิดความสนใจ และวนเวียนอยู่ในสมอง อดไม่ได้ที่จะมองเย่เทียนเฉินอย่างละเอียด ดังเช่นที่เย่หย่วนซานผู้เป็นบิดากล่าวไว้ว่า “เย่เทียนเฉินในตอนนี้ ไม่สามารถใช้สายตาเหมือนเมื่อก่อนมองเขาได้อีกแล้ว บางทีเขาอาจจะมีชื่อเสียงสั่นสะท้านจิงตู หรือกระทั่งชื่อเสียงสั่นสะท้านจีน การยกระดับของตระกูลเย่บางทีอาจจะต้องพึ่งพาเขาแล้ว…”
นั่งอยู่ในรถเก๋ง ผู้อาวุโสเย่หย่วนซานให้คนขับรถของบ้านหลักใช้รถส่วนตัวของเขาไปส่งครอบครัวเย่เทียนเฉินกลับ ตลอดทางหลัวเยี่ยนและเย่เฉี่ยนเหวินต่างก็มีความสุขเป็นอย่างมาก หลายปีมาแล้ว ในที่สุดผู้อาวุก็สปล่อยวางจากพวกเขาแล้ว ครอบครัวใหญ่สามารถใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุขข จึงจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
เย่หงมองเย่เทียนเฉินผู้เป็นลูก กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เทียนเฉิน ยี่สิบปีแล้ว ในที่สุดลูกก็เติบโตแล้ว พ่อปลื้มใจมาก หวังว่าภายภาคหน้าลูกจะสามารถแบกรับภาระสำคัญได้!”
“พ่อครับ คำพูดนี้ของพ่อเหมือนจะมีความหมายซ่อนอยู่ มีอะไรก็พูดมาตรงๆ เถอะครับ พวกเราพ่อลูกไม่จำเป็นต้องเกรงใจกันเช่นนี้หรอกใช่ไหมครับ?” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เย่เทียนเฉินที่ได้ยินเนื้อหาการสนทนาของเย่หงและเย่หย่วนซานผ่านทางพลังพิเศษแห่งการรับรู้ตั้งนานแล้ว ก็เดาออกว่าบิดาจะพูดอะไร ดังนั้นจึงถามอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้
“ฮ่าๆ ลูกนี่นับวันก็ยิ่งฉลาดขึ้นจริงๆ งั้นพ่อก็ทำได้แต่พูดแล้วล่ะ เห็นว่าลูกเปลี่ยนแปลงไป พ่อก็ดีใจ แต่พ่อยังหวังว่าลูกจะทำเรื่องที่สามารถกระทำได้ จิงตูมีอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่มากมาย มีเสือหมอบมังกรซ่อน มีบางคนที่พวกเราตระกูลเย่ไม่สามารถไปหาเรื่องได้อย่างเด็ดขาด ดังนั้นพ่อหวังว่าลูกจะระมัดระวังสักหน่อย” เย่หงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เย่เทียนเฉินรู้ว่าที่เย่หงผู้เป็นพ่อกล่าวคำเหล่านี้ ไม่ใช่เพื่อบอกให้ตนเองระมัดระวังจนทำอะไรก็วิตกกังวลเกินไป แต่เพื่อให้ใช้สมองให้มากๆ ถึงจะสามารถระมัดระวังทุกย่างก้าวได้ ให้ก้าวเดินไปโดยใช้กำลังและยุทธศาสตร์ ความต้องการจะพัฒนาตระกูลให้รุ่งเรืองนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ชั่วเวลาเพียงข้ามคืน หมัดและความสามารถจึงสำคัญมาก แต่ว่าสมองที่ชาญฉลาดก็สำคัญมากเช่นเดียวกัน
“วางใจเถอะครับพ่อ ที่สามารถใช้กำลังเอาชนะได้ ผมก็จะให้หมัดไปตรงๆ สักยก ที่ไม่สามารถใช้กำลังเอาชนะได้ ผมก็จะสร้างโอกาสให้เอาชนะให้ได้ ไม่ใช่ว่ามีคำพูดโบราณที่พูดไว้แล้วเหรอครับ? มีโอกาสให้พวกเราคว้าไว้ ไม่มีโอกาสให้พวกเราสร้างมันขึ้นมา!” เย่เทียนเฉินกล่าวหยอกล้อพลางยิ้มอย่างสบายๆ
“เจ้าเด็กคนนี้นี่ ยังมีลุงใหญ่กับลุงสองของลูก จะอย่างไรก็เป็นผู้ใหญ่ แล้วก็เป็นพี่ชายของพ่อ ต่อให้พวกเขาผิดต่อพ่อ ก็ไม่อาจผิดต่อพวกเขา ต่อไปหากไม่มีเรื่องอะไรสำคัญ ก็อย่าพุ่งเป้าไปที่พวกเขา อย่างไรก็เป็นผู้ใหญ่!” เย่หงเปิดปากพูด
“พ่อครับ เรื่องนี้ผมไม่อาจรับประกันกับพ่อได้ ถ้าหากพวกเขาสองคนทำตัวเป็นผู้ใหญ่ดีๆ ผมย่อมเคารพผู้ใหญ่ ถ้าหากทำตัวเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ดี งั้นก็มาโทษผมไม่ได้นะครับ!” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางส่ายหน้า
จากมุมมองของเย่เทียนเฉิน ลุงใหญ่เย่มู่ไป๋และลุงสองเย่เฮ่อกั๋ว ต่างก็เบียดเบียนเย่หงพ่อของตนมาโดยตลอด เพื่อที่จะแย่งชิงทรัพย์สมบัติของตระกูลให้ได้มากยิ่งขึ้น ถึงขั้นบีบบังคับครอบครัวเย่เทียนเฉิน ทำให้ต้องจากที่อยู่ที่บ้านหลักตระกูลเย่มา นี่ไม่ใช่สิ่งที่เย่เทียนเฉินกังวลที่สุด เรื่องที่เขากังวลที่สุดก็คือวันหนึ่งเมื่อผู้อาวุโสเย่หย่วนซานแก่ตัวลง ถึงตอนนั้นก็บอกไม่ได้ว่าเย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วปฏิบัติต่อเย่หงเช่นนี้ แน่นอนว่ามีเย่เทียนเฉินอยู่ ใครก็ไม่อาจมายุ่งย่ามกับคนใกล้ชิดของเขาได้ เพียงแต่ว่าเขารู้ดีว่าเวลานั้น พี่น้องกลายเป็นศัตรู แตกหักกันถึงที่สุด เย่หงผู้เป็นบิดาย่อมต้องเสียใจเป็นอย่างมากแน่นอน
“เทียนเฉิน…”
“ลูก พ่อ แม่คิดว่าลูกพูดได้ถูกต้อง คุณอดทนมาหลายปีเพื่อให้ครอบครัวใหญ่พร้อมหน้า นี่เป็นเวลาที่จะคืนสนองแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไปตลอด ต้องมีสักวันหนึ่ง อาจจะไม่ใช่ง่ายๆ เพียงแค่พี่น้องกลายเป็นศัตรูกันเท่านั้น…” หลัวเยี่ยนแม้จะเป็นแม่บ้านคนหนึ่ง แต่ก็เป็นผู้หญิงที่ฉลาดมาก เธอเข้าใจความคิดของเย่หงผู้เป็นสามี ตอนนี้เธอเห็นด้วยกับคำพูดของเย่เทียนเฉินลูกชาย
“เฮ้อ ผมก็รู้ว่าที่พวกคุณพูดถูก แต่ว่าถ้าสามารถกลมเกลียวกันได้ก็กลมเกลียวกันสักหน่อยเถอะ!” เย่หงกล่าวพลางถอนใจออกมาครั้งหนึ่ง
“พ่อครับ พ่อก็ทำงานเลขาธิการคณะกรรการของพ่อให้ดี เรื่องเล็กๆ พวกนี้ก็ให้ผมจัดการ ผมลำดับความสำคัญได้น่า!” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
กลับถึงคฤหาสน์ตระกูลเย่ ก็เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว ฉีหรูเสวี่ยเข้านอนไปนานแล้ว บนโต๊ะอาหารมีอาหารอยู่ หลัวเยี่ยนและเย่เฉี่ยนเหวินเห็นก็รู้สึกซาบซึ้งใจ เดิมทีพวกเขานึกว่าฉีหรูเสวี่ยเป็นคุณหนูใหญ่สูงศักดิ์ของตระกูลฉี ตั้งแต่เด็กก็ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างดี ไหนเลยจะรู้ว่าฉีหรูเสวี่ยสามารถทำหน้าที่แม่บ้านได้เป็นอย่างดี หน้าตาก็งดงาม ทั้งยังเข้าใจเรื่องราวต่างๆ หลัวเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะคิดว่า มีผู้หญิงเช่นนี้มาเป็นลูกสะใภ้ของตนเอง ช่างโชคดีเหลือเกิน ส่วนเย่เฉี่ยนเหวินกลับคิดว่า มีพี่สาวหรูเสวี่ยเป็นพี่สะใภ้ ไม่เพียงแต่ได้รับการดูแลอย่างดีแต่ยังได้หน้าอีกด้วย!
“เป็นเด็กดีจริงๆ เทียนเฉิน เด็กตัวเหม็นอย่างลูกก็ยังไม่ชอบ ไม่ใช่ว่าสมองมีปัญหาแล้วเหรอ?” หลัวเยี่ยนมองอาหารเต็มโต๊ะ แล้วจึงกล่าวกับเย่เทียนเฉินพลางใช้สายตาเหยียดหยามมองเย่เทียนเฉิน
“พี่ หนูคิดว่าพี่โชคดีแต่ไม่รับรู้ถึงความโชคดีนี้เสียเลย พี่หรูเสวี่ยหลงรักพี่ ช่างตาบอดจริงๆ ให้ความจริงใจไป ได้ความเย็นชาของพี่ตอบแทน คงจะเสียใจมากเลย แต่ว่าพี่หรูเสวี่ยก็ยังยืดหยัดมาโดยตลอด นี่ก็เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ว่าเธอรักพี่แค่ไหน พี่หรูเสวี่ยที่น่าสงสาร…ฮือๆ!” เย่เฉี่ยนเหวินน้องสาวกล่าวพลางแสร้งทำท่าทางร้องไห้โฮอย่างเวอร์วัง
“คุณแม่ครับ คุณน้องครับ ผมไม่รู้จริงๆ ว่าฉีหรูเสวี่ยมีอะไรดี พวกแม่ถูกเธอวางยาแล้ว ทั้งยังเป็นยาแรงอีกด้วย เฮ้อ!” เย่เทียนเฉินกล่าวอย่างร้องไห้ไม่ออกหัวเราะไม่ได้
“คนโง่!” แม่และน้องสาวตะโกนใส่เย่เทียนเฉินพร้อมกัน
เย่เทียนเฉินส่ายหัวอย่างไร้คำพูด ทำได้เพียงนั่งลงบนโซฟา มองดูหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่และเย่เฉี่ยนเหวินน้องสาวกินมื้อเย็นของฉีหรูเสวี่ยต่อไปอย่างมีความสุข และก็เป็นอาหารมื้อดึกด้วย ส่วนเย่หงผู้เป็นพ่อกลับชงชาแก้วหนึ่ง นั่งข้างเย่เทียนเฉิน
“เทียนเฉิน เกี่ยวกับเรื่องของฉีหรูเสวี่ย แม่ของลูกพูดกับพ่อเรียบร้อยแล้ว ถ้าหากคนเขามีความรู้สึกกับลูกจริงๆ แล้วลูกก็ชอบเธอล่ะก็ ไม่ต้องไปกังวลอะไรมาก…” เย่หงกล่าวพลางมองเย่เทียนเฉิน
“พ่อ มันไม่ใช่อย่างที่พ่อคิดแบบนั้นจริงๆ นะครับ ผมไม่มีความรู้สึกอะไรกับฉีหรูเสวี่ย ส่วนฉีหรูเสวี่ยก็ไม่ได้ชอบผมเลยสักนิด เธอหลอกพวกพ่อแล้ว ก็แค่ไม่อยากกลับบ้านเลยมาอยู่ที่ตระกูลเย่ของพวกเราก็เท่านั้นแหละ” เย่เทียนเฉินเปิดปากพูดอย่างจริงจัง
“ไม่ว่าจะยังไง คนที่มาก็เป็นแขก อีกอย่างก็คำนึงถึงฐานะของฉีหรูเสวี่ยด้วย ช่วงที่เธออยู่ที่ตระกูลเย่ของพวกเรา จะต้องปฏิบัติต่อเธอดีๆ อย่างน้อยภายหลังหากตระกูลฉีมาถามหาคนกับพวกเรา พวกเราก็สามารถส่งคืนฉีหรูเสวี่ยได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ อย่าไปล่วงเกินตระกูฉีถึงจะดี สถานที่เช่นจิงตูนี้ มีเพื่อนมากขึ้นคนหนึ่ง ย่อมดีกว่ามีศัตรูมากขึ้นคนหนึ่งแน่นอน” เย่หงกล่าว
“รู้แล้วครับพ่อ!”
เข้ามาในห้องอาบน้ำ เย่เทียนเฉินก็อาบน้ำรอบหนึ่ง ตอนที่ออกมา พ่อแม่และน้องสาวก็กลับไปนอนที่ห้องของตนเองกันแล้ว ส่วนบนโต๊ะอาหารนั้นไม่มีอาหารเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย ทำให้เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะนับถือความกินจุของแม่และน้องสาว ลูบท้องที่ร้องโครกครากแล้วก็รู้สึกว่ายังหิวอยู่บ้างจริงๆ จึงเปิดตู้เย็นดูก็พบกับความแปลกใจ มีจานผลไม้อยู่จานหนึ่ง ข้างในมีแอปเปิ้ลและสาลี่ที่หั่นไว้อย่างดี มีส้มที่ปอกไว้แล้ว และยังมีเชอร์รี่และสตรเบอร์รี่ที่ล้างไว้แล้ว มองดูแล้วก็ทำให้ผู้คนรู้สึกอยากอาหารมากขึ้น ต่อให้เย่เทียนเฉินใช้หัวแม่เท้าคิดก็คิดได้ว่าต้องเป็นฉีหรูเสวี่ยทำไว้แน่ๆ แช่ไว้ในตู้เย็น เตรียมไว้กินพรุ่งนี้
“อาหารที่ดีขนาดนี้ ไม่กินก็น่าเสียดาย ข้ามวันไปก็ไม่อร่อยแล้ว อย่าโทษฉันก็แล้วกัน…”เย่เทียนเฉินยกยิ้มชั่วร้ายพลางยกจานผลไม้นั้นออกมาจากตู้เย็น ตรงกลับไปยังห้องนอนของตัวเอง
เย่เทียนเฉินปิดประตู นำจานผลไม้วางไว้บนเตียง ส่วนตัวเองก็นั่งขัดสมาธิบนเตียงแล้วหลับตาลง สัมผัสถึงพลังพิเศษในชีพจรภายในร่างทุกๆ นิ้วอย่างช้าๆ ขณะเดียวกันก็ขับเคลื่อนแก่นพลังในสมองเพื่อดำเนินการหล่อหลอมพลังพิเศษ
ความจริง ทุกสิ่งในโลก พลังงานทุกปนะเภท ต่างก็ใช้ความคิดในการควบคุม ไม่ว่าจะเป็นผู้มีพลังพิเศษกระตุ้นพลังพิเศษในร่างกาย หรือจะเป็นยอดฝีมือพรรควรยุทธโบราณรวบรวมลมปราณในชีพจร ต่างก็ควบคุมผ่านจิตใจทั้งนั้น และวิธีการฝึกฝนจิตใจที่เป็นพื้นฐานที่สุดก็คือการทำสมาธิ
เย่เทียนเฉินเข้าสู่ห้วงสมาธิอย่างช้าๆ รับรู้ถึงพลังพิเศษในร่างกายของตน พลังพิเศษระดับจอมราชันแข็งแกร่งกว่าระดับราชันไม่น้อย ตอนที่เย่เทียนเฉินเข้าสู่ห้วงสมาธิ ถึงกับสามารถมองเห็นพลังงานภายในชีพจรกำลังกะพริบแสงสีน้ำเงินออกมาน้อยๆ เย่เทียนเฉินไม่รู้สึกว่าแปลก เขาเคยเป็นผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้า รู้ว่าเมื่อขอบเขตพลังถึงระดับพระเจ้าแล้ว พลังพิเศษที่ระเบิดออกมาจะกลายเป็นสีเงิน สำหรับผู้มีพลังพิเศษระดับเทพราชัน เมื่อกระตุ้นพลังพิเศษออกมาแล้วจะเป็นสีอะไรนั้น เย่เทียนเฉินก็ไม่ทราบ เพียงแต่เคยได้ยินมาว่า จะเป็นสีทองที่เป็นสัญลักษณ์ของเทพราชันไร้พ่าย
สตรอเบอร์รี่ลูกหนึ่งค่อยๆ ลอยขึ้นจากจากผลไม้เย่เทียนเฉินยังคงหลับตาทั้งสองข้าง ทำเพียงแค่อ้าปากอย่างเดียว สตรอเบอร์รี่ลูกนั้นพลันถูกเย่เทียนเฉินกินเข้าปากไปในพริบตา นี่ต่างก็เป็นการใช้พลังพิเศษควบคุม ฝึกฝนอยู่ในคฤหาสน์ เย่เทียนเฉินไม่อยากเคลื่อนไหวอะไรมากมายเพราะจะรบกวนการนอนของพ่อแม่ การฝึกฝนเล็กๆ ก็ยังคงสามารถฝึกร่วมกับการควบคุมพลังพิเศษได้
ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมา เย่เทียนเฉินลืมตาขึ้น ผลไม้ภายในจานผลไม้ข้างๆ ทั้งหมดล้วนลงท้องไปแล้ว ภายในดวงตาทั้งสองของเขามีพลังพิเศษสีฟ้ารวบรวมอยู่ส่วนหนึ่ง ดูไปแล้วก็น่าอัศจรรย์มาก
“ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะสามารถควบคุมพลังธรรมชาติได้ พลังงานในร่างกายของผู้มีพลังพิเศษมันมีจำกัดจริงๆ ช่างไกลจากพลังงานอันยิ่งใหญ่ที่แฝงอยู่ในธรรมชาติมาก” เย่เทียนเฉินพึมพำกับตนเอง
…………………………………………………