ฉินเทาหยวนถูกเย่เทียนเฉินตบหน้าจนโง่งม จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินถึงกับกล้าลงมือตบตนเอง นอกเหนือจากเรื่องตำแหน่งฐานะของตนในเมืองหลวงและอำนาจของตระกูลฉินในประเทศจีน ก็ยังมีเรื่องความแตกต่างระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ เขามีอาวุโสมากกว่าเย่เทียนเฉิน ไม่ต้องพูดถึงเย่เทียนเฉินหรอก ต่อให้เป็นเย่หงบิดาของเย่เทียนเฉิน ฉินเทาหยวนก็ไม่เห็นอยู่ในสายตา อำนาจของตระกูลฉินนั้นยิ่งใหญ่กว่าตระกูลเย่มากนัก
ไม่ใช่แค่ฉินเทาหยวนที่ถูกเย่เทียนเฉินตบจนโง่งมและเงียบไป กระทั่งหลูเซิ่งต๋า หลูวั่ง และคุณชายคนอื่นๆ ที่อยู่ในที่เกิดเหตุรอดูความคึดคัก ทุกคนต่างก็สูดหายใจเย็นยะเยือก ตะลึงจนแข็งเป็นหิน วิธีการอันโหดร้ายของเย่เทียนเฉิน ทำให้ทุกคนหน้าชาจริงๆ
“เย่เทียนเฉิน แก…” ฉินเทาหยวนโกรธจนปอดแทบระเบิด พูดอะไรไม่ออกไปครึ่งค่อนวัน
“อย่าตะโกนสุ่มสี่สุ่มห้าสิ การตบครั้งนี่เป็นการลงโทษที่แกเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่น่าเคารพ” เย่เทียนเฉินมองฉินเทาหยวนอย่างไม่ใส่ใจ
“ดี ดีมาก ดีจริงๆ ผู้อำนายการหลู คุณยังจะมัวอึ้งอยู่ทำไม คนร้ายแบบนี้มันต้องใช้วิธีวิสามัญฆาตรกรรมแล้ว” ฉินเทาหยวนคำรามใส่หลูเซิ่งต๋าด้วยความโกรธจนแทบเต้น
หลูเซิ่งต๋าได้สติกลับมาจากการช็อกแล้วจึงเช็ดเหงื่อเย็นๆบนหน้าผากครั้งหนึ่ง ตอนนี้เขาไม่รู้แล้วจริงๆ ว่าจะยืนอยู่ข้างไหนดี อำนาจอิทธิพลของตระกูลฉินยิ่งใหญ่มาก เรื่องนี้คงไม่ต้องพูดกันแล้ว เดิมทีคิดว่าการมาถึงของฉินเทาหยวนจะสามารถเก็บกวาดเย่เทียนเฉินได้ ไหนเลยจะรู้ว่า เย่เทียนเฉินจะกล้าตบแม้กระทั่งฉินเทาหยวน ช่างเป็นคนที่ไม่เกรงกลัวฟ้าดินเลยจริงๆ ไม่ว่าคุณจะมีตำแหน่งฐานะอะไร ไม่ว่าคุณจะมีภูมิหลังอย่างไร ขอเพียงไปหาเรื่องเขา ก็จะต้องโดนอัด
“พี่เทาหยวน นี่…” หลูเซิ่งต๋ามองเย่เทียนเฉินครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็พบว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นคนที่หาเรื่องไม่ได้เลยจริงๆ มองไม่ออก ทั้งยังแตะต้องไม่ได้
“หลูเซิ่งต๋า ไม่ใช่ว่าคุณที่เป็นผู้อำนวยการสำนักงานความมั่นคงสาธารณะแห่งเมืองหลวงจะไม่อยากทำหรอกนะ? ถ้าไม่อยากทำก็ไสหัวไปซะ ตระกูลฉินของผมจะสนับสนุนใครสักคนให้เป็นผู้อำนวยการสำนักงานความมั่นคงสาธารณะก็เป็นเรื่องง่ายๆ” ฉินเทาหยวนเห็นว่าจู่ๆ หลู่เซิ่งต๋าก็ไม่กล้าแตะต้องเย่เทียนเฉิน ก็ยิ่งโกรธขึ้นอีกจนเปิดปากพูดออกมาอย่างโหดเหี้ยม
“เด็กๆ มา มาจัดการเย่เทียนเฉิน…”
“ผู้อำนวยการหลู ผมขอเตือนคุณว่าอย่าออกคำสั่งจะดีกว่า ตำรวจสวะตายไปสองคนไม่สำคัญอะไรหรอก ถ้าหากคราวนี้ตำรจที่คุณพามาตายทั้งหมด ไม่เพียงแต่รักษาตำแหน่งของคุณไว้ไม่ได้ แม้แต่ชีวิตก็อาจจจะหายไปด้วยก็ได้” เย่เทียนเฉินมองหลูเซิ่งต๋ายิ้มๆ พลางกล่าว
ได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน หลูเซิ่งต๋าก็นิ่งอึ้งไปทั้งตัว มองเย่เทียนเฉินด้วยอาการสั่นสะท้าน คิดย้อนไปถึงวันนั้นที่สำนักงานความมั่นคงสาธารณะ เย่เทียนเฉินฆ่าตำรวจเลวใต้บังคับบัญชาสองคนต่อหน้าตนเอง ใช้วิธีการโหดเหี้ยมรุนแรงให้เห็นอยู่เต็มสองตา ไม่ว่าเย่เทียนเฉินจะมีฝีมือพอที่จะฆ่าตำรวจติดอาวุธหลายสิบนายหรือไม่ หลูเซิ่งต๋าก็ไม่กล้าเสี่ยง หากว่าเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ภายใต้สายตาของประชาชนจริงๆ เบื้องบนจะต้องสืบสวนลงมาแน่นอน เขาหลูเซิ่งต๋าที่เป็นผู้อำนวยการสำนักงานความมั่นคงสาธารณะแห่งเมืองหลวงก็มิอาจหลุดพ้นความรับผิดชอบไปได้
ฉินเทาหยวนเห็นหลูเซิ่งต๋าถูกคำพูดประโยคเดียวของเย่เทียนเฉินทำให้ช็อกจนนิ่งไป ยืนอยู่กับที่ไม่กล้าลงมือทำอะไรอีก ก็โกรธจนใบหน้าเขียวคล้ำ เดิมทีเขาคิดว่าตนเองมา ทั้งมีอยู่เซิ่งต๋าอยู่ คงไม่กล้าไม่ฟังคำของตนเอง ตอนนี้เขารู้สึกเสียใจขึ้นมาบ้างแล้ว ถ้าหากนำบอดี้การ์ดฝีมือเยี่ยมของตระกูลฉินมาด้วย ตนก็สามารถออกคำสั่งเก็บกวาดเย่เทียนเฉินได้ ต่อให้จะฆ่าเย่เทียนเฉินตายคาที่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร
“หลูเซิ่งต๋า ผมว่าผู้อำนวยการสำนักงานความมั่นคงสาธารณะอย่างคุณคงไม่คิดลงมือแล้วล่ะ!” ฉินเทาหยวนมองหลูเซิ่งต๋าอย่างโหดเหี้ยม
“พี่เทาหยวน เรื่องนี้ยังต้องปรึกษากันให้ดีๆ ไม่อาจเคลื่อนไหวบุ่มบ่ามได้!” หลูเซิ่งต๋ากล่าวเสียงเบา
“มีอะไรต้องปรึกษาให้ดีๆ อีก ตอนนี้ผมสั่งให้คุณยิงเย่เทียนเฉินให้ตาย ผลลัพธ์ที่ตามมาทั้งหมดย่อมมีตระกูลฉินของผมรับผิดชอบ” ฉินเทาหยวนคำรามอย่างถือดี
“ว้าว! ตระกูลฉินของแกช่างวางท่าใหญ่โตดีจริงๆ ถึงกับกล้าออกคำสั่งผู้อำนวยการสำนักงานความมั่นคงสาธารณะ อยากฆ่าคนก็ฆ่า ไม่เห็นกฏหมายบ้านเมืองอยู่ในสายตา ช่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน!” เย่เทียนเฉินจงใจกล่าวอย่างเย้ยหยัน
“เฮอะ ตระกูลฉินของฉันต้องการฆ่าคน ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรแม้แต่ครึ่งคำ แกต้องตาย คนตระกูลเย่ทั้งหมดของแกก็ต้องตาย” ฉินเทาหยวนที่ถูกเย่เทียนเฉินทำให้โกรธไปแล้วโดยสิ้นเชิง กล่าวด่าออกมาเสียงดัง
เย่เทียนเฉินมองฉินเทาหยวนครู่หนึ่ง แล้วก็มองหลูเซิ่งตาครู่หนึ่ง ก่อนจะหาวออกมาแล้วเปิดปากกล่าวว่า “ไสหัวไปซะ ฉันเพิ่งจะกินข้าว อยากจะดื่มชาสักหน่อย พวกแกอยู่ที่นี่ ฉันรู้สึกสะอิดสะเอียน”
“เย่เทียนเฉิน แกอย่ามาโอหังให้มากนักนะ แกล่วงเกินตระกูลฉินของฉัน ต่อให่เย่หย่วนซานมาขอโทษถึงที่ เรื่องนี้ก็ไม่มีทางจบดีๆ แน่!”
“ใครบอกว่าต้องการจบดีๆ? ฉันเคยบอกว่าอยากจะจบดีๆ กับตระกูลฉินของแกรึไง? ว่างๆ ฉันจะไปที่ตระกูลฉิน แกก็ไม่ต้องมาคุยเป็นเพื่อนฉัน ให้ผู้อาวุโสตระกูลฉินมาพูดกับฉันโดยตรงเถอะ” เย่เทียนเฉินยกขาขึ้นไขว่ห้างพลางกล่าวอย่างวางมาด
เมื่อคำพูดนี้พูดออกมา ก็ยิ่งทำให้ทุกคนไม่อยากจะเชื่อหู ที่ตระกูลฉินเป็นตระกูลชั้นหนึ่งของเมืองหลวง ส่วนสำคัญที่สุดก็เป็นเพราะผู้อาวุโสตระกูลฉินยังคงกุมอำนาจอยู่ ต่อให้ไม่ได้เป็นผู้นำระดับภูมิภาค ก็เกรงว่าจะต่างกันไม่มากเท่าไรนัก โดนเฉพาะในครั้งนี้ที่มีโอกาสจะก้าวหน้าไปอีกขั้น ถึงตอนนั้น ตระกูลฉินของเขาก็ยิ่งไม่มีใครกล้าหาเรื่อง ไม่ต้องพูดถึงเย่เทียนเฉิน ต่อให้เป็นผู้อาวุโสตระกูลเย่ เย่หย่วนซาน หากต้องการจะพบผู้อาวุโสตระกูลฉินก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่กลับถูกเย่เทียนเฉินกล่าวอย่างสบายๆ เช่นนี้ ไม่อยู่ในสายตาสักนิด ทำไมผู้คนจะไม่ตกใจได้เล่า
“แก…”
ตอนนี้เอง ตำรวจติดอาวุธนายหนึ่งรีบวิ่งขึ้นมาที่ชั้นสอง กล่าวเสียงเบาข้างหูหลูเซิ่งต๋าหลายประโยค ทำให้หลูเซิ่งต๋าที่เดิมทีหน้าขาวซีดอยู่แล้วก็ยิ่งสั่นสะท้าน มองเย่เทียนเฉินด้วยสายตาตกตะลึง
“พี่เทาหยวน ชางหลางมาแล้ว บอกว่าจะพาตัวเย่เทียนเฉินไป” หลูเซิ่งต๋าพูดข้างหูฉินเทาหยวนเสียงเบา
“เฮอะ ชางหลางมาได้เวลาพอดีเลย เมื่อก่อนเย่เทียนเฉินก็เป็นทหารของเขา ผมจะไปถามเขาสักหน่อยว่าสั่งสอนกันมายังไง”
ฉินเทาหยวนยังคงวางอำนาจ กระทั่งชางหลางที่ได้เข้าเป็นคณะกรรมาธิการทหารก็ยังไม่เห็นอยู่ในสายตา อีกทั้งชางหลางยังเป็นผู้รับผิดชอบสูงสุดของหน่วยมังกรฟ้า เป็นหัวหน้าของเถี่ยฉุย ตำแหน่งใหญ่โตอำนาจสูงส่ง แต่ก็ยังไม่อยู่ในสายตาของฉินเทาหยวน สิ่งสำคัญเป็นเพราะอำนาจของตระกูลฉินยิ่งใหญ่เหลือคณา และหลายปีมานี้ก็โอหังเหิมเกริมจนเคยตัว
เห็นว่าฉินเทาหวนโดนลงไปชั้นล่างด้วยความเดือดพล่าน หลูเซิ่งต๋าก็รีบให้ตำรวจใต้บังคับบัญชาข้างๆ นำตัวฉินเหิงที่สลบเป็นตายไปส่งโรงพยาบาล ส่วนตัวเองเดินไปยังเบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน ฝืนยิ้มออกมาพลางกล่าวว่า “สหายเย่ เรื่องนี้เข้าใจผิดกันนิดหน่อย ผมเองก็บังคับไม่ได้ นายพลชางหลางต้องการพบคุณ ตอนนี้อยู่ด้านนอก พวกเราไปกันเลยไหมครับ?”
“ชางหลางต้องการพบผม? ไม่สนใจ รบกวนคุณไปบอกเขาให้ด้วย บอกว่าผมยุ่งมาก กำลังจิบชาอยู่ ไม่ว่าง” เย่เทียนเฉินพูดโพล่งออกมา
“นี่…นายพลชางบอกว่า เขามาหาคุณเพราะเรื่องการโยกย้ายตำแหน่งของพ่อคุณ การเรียนของน้องสาวคุณ แล้วก็เรื่องการพัฒนาตระกูลเย่ทั้งหมด…” หลูเซิ่งต๋ากล่าวต่อไป
“คนคนนี้ช่างยุ่งเรื่องชาวบ้านจริงๆ…”
เย่เทียนเฉินพูดพลางเดินลงไปจากชั้นสอง มีเพียงหลูวั่งและคนอื่นๆ ที่จ้องมองแผ่นหลังของเย่เทียนเฉินด้วยความตกตะลึงจนตาค้าง ตอนนี้พวกเขาราวกับว่าเข้าใจกระจ่างขึ้นมาบ้างแล้ว เย่เทียนเฉินที่เคยเป็นตัวตลกของเมืองหลวงคนนั้น มาวันนี้ทิ้งพวกเขาไปไกลอย่างไม่เห็นฝุ่นแล้ว คนที่กล้าลงมือทำร้ายคนตระกูลฉิน คนที่กล้าไม่พบนายพลชางหลางแถมยังพูดว่าชางหลางยุ่งเรื่องชาวบ้าน เกรงว่ามีแต่เย่เทียนเฉินเท่านั้นที่มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวเช่นนี้
หลูเซิ่งต๋าก็รีบตามไปด้านหลัง หากกล่าวถึงตอนแรกเริ่ม เขายืนอยู่ฝั่งตระกูลฉินอย่างแน่นอน เพราะต้องการพึ่งพาอำนาจตระกูลฉินเพื่อเลื่อนขั้น เป็นธรรมดาที่จะกดดันเย่เทียนเฉิน แต่ตอนนี้หลูเซิ่งต๋าเริ่มไม่แน่ใจแล้ว ตกลงเย่เทียนเฉินเก่งขนาดไหนกันแน่?
วันนั้นตอนที่อยู่ภายในสำนักงานความมั่นคงสาธารณะ เฉินเซิ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงโทรมาปกป้องเย่เทียนเฉินด้วยตัวเอง ตอนนี้เย่เทียนเฉินล่วงเกินตระกูลฉิน กระทั่งกล้าตบหน้าฉินเทาหยวน ในตอนที่เกือบจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยแน่แล้วนั้น ชางหลางก็โผล่มาอีก หรือเย่เทียนเฉินมีความสามารถเหนือเมฆจริงๆ?
ตอนที่เย่เทียนเฉินออกมาจากเป้ยเฟิงเซวียนถึงจะเห็นว่าด้านนอกมีรถจี๊ปทหารจอดอยู่สี่คัน มีชางหลางยืนอยู่ด้านหน้าสุด ข้างตัวเขามีคนสวมชุดทหารถือปืนอยู่ ส่วนตำรวจหลายสิบนายที่ล้อมเป้ยเฟิงเซวียนตกใจจนหลบไปข้างๆ ตั้งนานแล้ว
ฉินเทาหยวนเดินมาถึงเบื้องหน้าของชางหลางแล้ว เขารู้จักกับชางหลาง ถึงจะไม่สนิทสนมกันแต่ก็มีความเข้าใจในอีกฝ่ายอยู่บ้าง ชางหลางเป็นคนในคณะกรรมาธิการทหาร และเป็นหัวหน้าผู้บังคับบัญชาหน่วยมังกรฟ้า ในเมืองหลวงดูเหมือนว่าจะไม่มีใครที่ไม่รู้จักเขา ส่วนฉินเทาหยวน อำนาจตระกูลฉินยิ่งใหญ่คับฟ้า สมกับเป็นตระกูลชั้นหนึ่งในเมืองหลวง เขาเองก็ไม่มีใครที่ไม่รู้จักเช่นกัน
“นายพลชาง คุณมาได้เวลาพอดี ที่นี่มีผู้ต้องหาทำร้ายร่างกายอยู่คนหนึ่ง จับกุมเขาไปยิงประหารเถอะ” ฉินเทาหยวนมองชางหลางพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ชางหลางมองฉินเทาหยวนครู่หนึ่ง แล้วชำเลืองมองเย่เทียนเฉินที่อยู่ไม่ไกลครู่หนึ่งพลางกล่าวออกมาอย่างจริงจังว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับผม คุณควรจะไปแจ้งความกับหลูเซิ่งต๋า ให้เขาจัดการ ผมมาที่นี่เพื่อพาตัวเย่เทียนเฉินไป”
ฉินเทาหยวนขมวดคิ้ว เขาคิดไม่ถึงว่าชางหลางจะไม่ไว้หน้าตนเอง ต่อให้เขาเป็นคนของคณะกรรมาธิการทหาร ก็ไม่อาจมองข้ามอำนาจของผู้อาวุโสตระกูลฉินไปได้ กล่าวตามหลักแล้วชางหลางไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักกาลเทศะ ตนเองพูดออกมาเช่นนี้ก็ชัดเจนแล้วว่าต้องการให้เขาช่วยฆ่าเย่เทียนเฉิน แต่คำตอบของชางหลางก็ชัดเจนว่าเป็นการปฏิเสธ แถมยังมีท่าทางปกป้องเย่เทียนเฉินเล็กน้อยอีกด้วย
“พี่ชางหลาง เย่เทียนเฉินทำร้ายฉินเหิงลูกชายของผมจนครึ่งเป็นครึ่งตาย ตระกูลฉินของผมย่อมไปปล่อยไปง่ายๆ แน่ หากว่าพี่ชางหลางสามารถช่วยเหลือในเรื่องนี้ได้ ผมก็จะแสดงความขอบคุณ” ฉินเทาหยวนกล่าวชักจูงด้วยรอยยิ้ม
“นี่เป็นเรื่องของตระกูลฉินของคุณ ผมรู้แค่ว่าผมต้องพาตัวเย่เทียนเฉินไป หากมีบุญคุณความแค้นอะไรกันพวกคุณสามารถไปจัดการกันทีหลังได้” ชางหลางยังคงกล่าวอย่างไม่ไว้หน้า
“คุณ…ชางหลาง คุณคงจะรู้ว่าหากช่วยเย่เทียนเฉิน ล่วงเกินตระกูลฉินจะมีผลอย่างไร ต่อให้คุณได้เข้าเป็นคณะกรรมาธิการทหาร ตระกูลฉินของผมก็สามารถดึงคุณลงมาได้” ฉินเทาหยวนแสดงสันดานเดิมที่ร้ายกาจออกมา หากหลอกล่อชางหลางด้วยผลประโยชน์ไม่ได้ผล ก็ต้องบีบบังคับกันแล้ว
“ฉินเทาหยวน โปรดระวังคำพูดของคุณด้วย ตระกูลฉินของคุณยังไม่อยู่ในฐานะที่ใช้หนึ่งมือปิดแผ่นฟ้าได้ อีกอย่างผมอยากจะบอกคุณสักหน่อยว่า ฉินเหิงลูกชายของคุณทำเรื่องเลวๆ มามาก อย่าบีบบังคับให้ผมต้องออกคำสั่งตรวจสอบ…” ชางหลางกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ดูโกรธเคืองอยู่บ้าง
ฉินเทาหยวนโกรธเสียจนแทบกระอักเลือด มองเย่เทียนเฉินด้วยความโกรธจนต้องขบฟันแน่น เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ ตั้งแต่เย่เทียนเฉินกลับมาที่เมือง เรื่องต่างๆ ก็เปลี่ยนแปลงไปมาก ราวกับทั่วทั้งเมืองหลวงจะโคจรอยู่รอบตัวเย่เทียนเฉินก็มิปาน ตอนนี้ขนาดนายพลชางหลาง คนที่ได้เข้าเป็นคณะกรรมาธิการทหารก็ยังมาหาเย่เทียนเฉินด้วยตัวเอง ไม่รู้จริงๆ ว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นกับชายคนนี้กันแน่
……………………………………………………………..