เย่เทียนเฉินถืออว่าได้ตอบรับชางหลางแล้ว การปกป้องคุ้มครองคนของฝั่งจีนไปยังประเทศm เพื่อดำเนินการแลกเปลี่ยนข้อมูลลับ นี่ไม่นับว่าเป็นการรับภารกิจ และไม่มีภารกิจใดที่สามารถผูกมัดเย่เทียนเฉินได้ เขาเพียงได้ยินชางหลางบอกว่าประเทศmมีหน่วยพลังพิเศษเฉพาะกิจอยู่หน่วยหนึ่งโดยเฉพาะ ภายในมียอดฝีมือมากมาย ทำให้เขารู้สึกสนใจและกระตือรือร้นขึ้นมา มาเกิด ใหม่ในโลกแห่งนี้ ดีร้ายอย่างไรก็นับว่าเป็นชายเลือดร้อนชาวจีน ไม่ไปลองมือของเหล่ายอดฝีมือที่ต่างประเทศและสั่งสอนยอดฝีมือพวกนั้นสักหน่อย เดี๋ยวจะนึกว่าชาวจีนรังแกได้ง่ายๆ วันนี้มายืมเงินยืมอาหาร พรุ่งนี้ก็อยากจะมายึดเกาะยึดแผ่นดิน ช่างไร้ยางอายจริงๆ
เมื่อพบกับเงื่อนไขสามข้อที่เย่เทียนเฉินกล่าว ชางหลางพิจารณาสักครู่ก่อนจะตอบรับอย่างพออกพอใจ ที่ต้องให้เย่หงพ่อของเย่เทียนเฉินไปเรียนที่โรงเรียนพรรคคอมมิวนิสต์แห่งเมืองหลวงก็เพื่อเป็นการเตรียมตัวเลื่อนขั้นในภายภาคหน้า ข้าราชการคนใดก็ตามที่สามารถเข้าเมืองไปเรียนเพิ่มเติมที่โรงเรียนพรรคคอมมิวนิสต์ได้ ภายภาคหน้าจะสามารถเป็นผู้กุมอำนาจในประเทศได้อย่างแน่นอนอย่างไม่มีข้อยกเว้น ข้อนี้ทำได้ง่ายมาก ด้วยอำนาจของหยางอี้ที่เป็นรองประธานคณะกรรมาธิการทหาร สามารถจัดการได้ด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียว เย่เทียนเฉินต้องการให้ปล่อยหยางไห่ที่ถูกจำคุกตลอดชีวิจออกมาจากคุก เรื่องนี้สำหรับชางหลางแล้วก็เป็นเรื่องที่ง่ายและสามารถทำได้ สำหรับการที่เย่เทียนเฉินต้องการสู้กับตนเองหลังจากที่ทำภารกิจสำเร็จและกลับประเทศมาแล้ว ชางหลางปราถนาเป็นอย่างยิ่ง ทำไมงั้นหรือ? ก็เพราะเย่เทียนเฉินคนนี้มีความโอหัง ถึงกับกล้าท้าทายตนเอง หากไม่สั่งสอนเขาสักหน่อย เขาจะคิดว่าฉายาหนึ่งในสามราชันนักรบของจีนของตนเองจะได้มาอย่างเสียเปล่าแล้ว
เงื่อนไขข้อแรก เย่เทียนเฉินทำเพื่อเย่หงพ่อของตน เงื่อนไขที่สองเย่เทียนเฉินทำเพื่อรักษาคำพูดที่ให้ไว้กับอู๋เสวี่ย เขาฆ่าลั่วเหลยและลั่วเทา เย่เทียนเฉินก็จะช่วยหยางไห่บิดาของเขาออกมา ตอนนี้เขาทำได้แล้ว ส่วนเรื่องที่สาม เย่เทียนเฉินต้องการให้ตนเองสนุกล้วนๆ เขารู้สึกได้ว่าชางหลางแข็งแกร่งมาก เป็นไปได้ว่าจะแข็งแกร่งถึงขั้นมิอาจจินตนาการได้ การประมือระหว่างยอดฝีมือช่างเร้าใจและทำให้ผู้คนเลือดลมพุ่งพล่านเป็นที่สุด ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงตั้งตารอคอยที่จะได้สู้กับชางหลาง
“แต่ว่า คำพูดไม่น่าฟังของฉันจะต้องพูดไว้ก่อน เงื่อนไขสามข้อของนายฉันตกลงทั้งหมด และฉันก็มีเงื่อนไขเพียงข้อเดียว ไม่รู้ว่านายจะตกลงไหม?” ชางหลางมองเย่เทียนเฉินครู่หนึ่งพลางกล่าวถาม
“เงื่อนไขอะไร?” เย่เทียนเฉินยังคงไม่ใส่ใจ
“ไม่ว่าจะยังไงก็ต้องทำภารกิจให้สำเร็จ ไม่ว่านายจะอยากไปเล่นสนุกสักครั้ง หรืออยากจะอะไร ก็ต้องทำภารกิจให้สำเร็จ เพราะนี่เกี่ยวพันถึงความรุ่งเรืองของทั่วทั้งประเทศจีนและกระทั่งความปลอดภัยของประชาชนทั้งหมด” ชางหลางเปิดปากกล่าวอย่างจริงจัง
“วางใจเถอะครับ ไม่มีปัญหา ตอนนี้เอามาได้แล้ว…”
เย่เทียนเฉินยังคิดว่าชางหลางจะพูดอะไร ก็เพียงแค่ต้องทำภารกิจให้สำเร็จก็เท่านั้น คำพูดประเภทที่ว่าแม้ตายก็ต้องสำเร็จภารกิจให้ได้ จุดนี้เย่เทียนเฉินกลับไม่ได้คิดอะไรมาก เขาเพียงต้องการอยากไปลองฝีมือของเหล่ายอดฝีมือแห่งหน่วยพลังพิเศษเฉพาะกิจของประเทศmดูสักหน่อย เลยถือโอกาสปกป้องคุ้มครองบุคคลากรทั้งหมดให้ทำการแลกเปลี่ยนข้อมูลลับสำเร็จ
“เอาอะไร?” เห็นว่าเย่เทียนเฉินยื่นมือขวามาทางตนเหมือนต้องการของบางอย่าง ชางหลางจึงถามอย่างไม่เข้าใจ
“นายพลชางครับ คุณท่านไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศหรือไงครับ? หรือว่าการเดินทางครั้งนี้ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายเหรอครับ? พวกคุณเชิญผมมาทำงาน หรือค่าใช้จ่ายก็ยังต้องให้ผมออกเองด้วย?” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางมองชางหลางอย่างอับจนคำพูด
“ฮ่าๆ ไอ้หนูนายนี่มันจริงๆ เลย ถึงกับแบมือขอเงินฉัน ได้ๆ ต้องการเท่าไร?” ชางหลางนับวันยิ่งรู้สึกว่าเย่เทียนเฉินน่าสนใจ กล่าวถามออกไปด้วยรอยยิ้ม
“เอามาใช้สักสิบล้านก่อนก็แล้วกัน ถึงเวลาถ้าไม่พอผมค่อยโทรหาคุณ” เย่เทียนเฉินกล่าวตามใจ
“ไอ้หนูเห็นฉันเป็นธนาคารรึไง อ้าปากมาก็บอกว่าจะเอาสิบล้าน ฉันจะไปหาเงินมากขนาดนี้ได้จากไหน”
พอคำพูดไม่ได้ความของเย่เทียนเฉินพูดออกมา ชางหลางก็พลันร้อนใจทันที อ้าปากปุบก็ขอสิบล้านปับ เห็นตนเองเป็นเครื่องพิมพ์ธนบัตรจริงๆ
“เย่เทียนเฉิน นายอย่าลืมว่าภารกิจและหน้าที่ของตนเอง ไม่ใช่ไปท่องภูเขาเล่นน้ำนะ” เถี่ยฉุยกัดฟันพูดออกมาด้วยความโมโห
“ไม่หรอกมั้ง งั้นก็ไม่ได้นะครับ ไม่มีค่าใช้จ่ายทำกิจกรรม ผมจะไปประเทศmได้ไง จะไปทำภารกิจได้ไง? จะทำภารกิจให้สำเร็จได้ไง? จะ….”
“ได้ๆ สิบล้านก็สิล้าน ไอ้หนู ถ้านายทำภารกิจไม่สำเร็จ กลับมาฉันจะคิดบัญชีกับนายอีกครั้ง” ชางหลางกัดฟันพูด
“นี่สิถึงจะถูกต้อง สบายใจ นายพลชาง คุณว่าตอนนี้ใกล้ถึงเวลากินข้าวเย็นรึยังครับ พวกเราไปกินอาหารทะเลอะไรกันหน่อยดีไหมครับ?” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มอย่างหน้าด้านไร้ยางอาย
ชางหลางมองเย่เทียนเฉินอย่างอับจนคำพูด คนคนนี้เป็นคนประหลาดที่ทำให้ผู้คนอ่านไม่ออกเสียจริง ตอนที่เอาจริงก็ราวกับเทพแห่งความตาย ตอนสบายๆ ก็ราวกับอันธพาล ตอนนี้ก็ราวกับนักกินตัวยง แล้วยังเป็นครั้งแรกที่มีคนกล้ามาขู่เอาเงินของตน และขอให้ตนเลี้ยงข้าวอย่างหน้าด้านๆ
“นายดูนาฬิกาไม่เป็นเรอะไอ้หนู เพิ่งจะผ่านบ่ายโมง ตอนนี้แค่บ่ายสองโมง เคยเห็นข้าวเย็นที่ไหนกินตอนบ่ายสองโมงเรอะ?” ชางหลางกล่าวเสียงดังอย่างไม่สบอารมณ์
“คนเปรียบดังเหล็ก อาหารเปรีบดังแท่นตีเหล็ก ไม่กินหนึ่งมื้อหิวจนเป็นบ้าได้ ต้องเติมอาหารสักหน่อย เถี่ยฉุยขับไปร้านอาหารทะเลที่ใกล้ที่สุดเถอะ พวกเรากินกันสักมื้อใหญ่ๆ นายพลชางเลี้ยงเอง” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางหัวเราะฮี่ๆ
เกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ ความสนใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเย่เทียนเฉิน นอกจากการหายอดฝีมือแต่ละเส้นทางมาต่อสู้ด้วยแล้ว ที่เหลือก็คือเรื่องกิน ในชาติก่อน อาหารเลิศรสดีๆ กินสักหนึ่งมื้อ ต่อให้ใช้ทองคำท่วมหัวก็แลกมาไม่ได้ นั่นเป็นยุคแห่งความโหดร้ายและเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด คนจำนวนมากมีความสามารถแข็งแกร่ง มีการฆ่าฟันมากมายไม่หยุดหย่อน การต่อสู้ระหว่างประเทศต่างๆ ไม่มีอีกต่อไป มีเพียงองค์กรชั่วร้ายและองค์กรยุติธรรมที่ต่อต้านกัน มนุษยชาติในชาติก่อนเกือบจะถูกฆ่าล้างจนสูญพันธุ์ มีพวกไม่กลัวตายโผล่ออกมาเป็นจำนวนมาก เพื่อจะปกป้องดวงไฟดวงสุดท้ายของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ต้องผ่านประสบการณ์อันขื่นขมนับพันนับหมื่น ทำสงครามใหญ่กับพวกสัตว์กลายพันธุ์ หยุดยั้งอำนาจชั่วร้าย
อาหารมื้อนี้ เป็นมื้อที่ชางหลางและเถี่ยฉุยมองเย่เทียนเฉินกินโดยสิ้นเชิง ชายคนนี้ไม่มีความเกรงใจแม้แต่น้อย เป๋าฮื้อเอย กุ้งมังกรเอย ปูทะเลเอย สั่งมาจนเต็มโต๊ะ สองมือหยิบอาหารใส่ปากไม่มีหยุด ทั้งยังคอยเรียกชางหลางและเถี่ยฉุยให้กินด้วยปากอันเต็มไปด้วยคราบน้ำมัน พวกชางหลางทั้งสองเห็นดังนั้นหน้าผากก็เต็มไปด้วยขีดสีดำ คิดไม่ถึงเลยจริงๆ เย่เทียนเฉินชายผู้สามารถกลายเป็นดั่งเทพแห่งความตายได้ทุกเวลา จะถึงกับทำตัวตามใจคิดได้ขนาดนี้
เวลานี้ ชางหลางและเถี่ยฉุยกลับไม่รู้ว่า ภายในออฟฟิศของหยางอี้ผู้เป็นรองประธานคณะกรรมาธิการทหาร กำลังเกิดสงครามน้ำลายครั้งใหญ่ขึ้น หัวข้อก็โคจรอยู่รรอบๆ เย่เทียนเฉินนั่นเอง
ภายในออฟฟิศของหยางอี้ ฉินเทาหยวนยืนอยู่ข้างโซฟา บนโซฟามีชายชราที่ผมและเคราล้วนขาวโพลนนั่งอยู่คนหนึ่ง ดูไปแล้วก็อายุเกือบเจ็ดสิบปี อีกไม่กี่ปีก็จะเกษียณแล้ว แต่ก็ยังมีโอกาสเลื่อนขึ้นไปอีกขั้นจากการเลือกใหม่ในครั้งนี้ สามารถส่องแสงโชติช่วงในช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ในช่วงสุดท้ายแห่งการกุมอำนาจ และผลักดันตระกูลฉินไปสู่ระดับที่สูงยิ่งขึ้น คนคนนี้ก็คือฉินอี้บิดาของฉินเทาหยวน และเป็นปู่ของฉินเหิง เป็นผู้อาวุโสแห่งตระกูลฉิน
“ผู้อาวุโสฉิน ลมอะไรพัดท่านมากันครับ เชิญดื่มชาก่อน” หยางอี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม
หากพูดตามตำแหน่งแล้ว หยางอี้เป็นรองประธานคณะกรรมาธิการทหาร ตำแหน่งย่อมไม่ได้ต่ำไปกว่าฉินอี้ แต่เขาอายุน้อยกว่าฉินอี้เล็กน้อย จะอย่างไรฉินอี้ก็ยังเป็นุร่นพี่ หยางอี้สามารถมีตำแหน่งเป็นรองประธานคณะกรรมาธิการทหารได้ ย่อมรู้ดีว่าเบื้องบนของแวดวงข้าราชการชุดนี้ เรื่องราวเบื้องหน้าต้องทำให้เรียบร้อย เพื่อหลีกเลี่ยงการตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน หลายเรื่องใช้อารมณ์โกรธเคืองในการแก้ปัญหาไม่ได้ สู้ค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่า
“รองประธานหยาง ผมจะไม่ขออ้อมค้อม คุณกับผมต่างก็ยุ่งด้วยกันทั้งคู่ พูดกันตรงๆ เลยก็แล้วกันนะครับ หลานของผมฉินเหิงถูกคนทำร้ายจนหน้าตาไม่เหลือเค้าเดิม ผมหวังว่าคุณจะสามารถส่งตัวคนร้ายมาให้ผมลงโทษได้ อำนวยความสะดวกให้ผม” ฉินอี้กล่าวด้วยสีหน้าที่ไม่ดีนัก
ฉินอี้ปกป้องฉินเหิงผู้เป็นหลานอย่างมาก มิฉะนั้นฉินเหิงคงไม่ยะโสโอหังจนถึงขั้นนี้ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพราะเขาได้รับโทรศัพท์จากฉินเทาหยวนผู้เป็นลูก บอกว่าฉินเหิงหลานชายถูกจนทำร้ายบาดเจ็บสาหัส หลังจากเข้าใจเรื่องราวที่ผ่านมาคร่าวๆ ฉินอี้ก็นั่งรถที่จัดขึ้นเฉพาะไปยังเขตทหารเมืองหลวง ไปหาหยางอี้เพื่อหารือ
“พี่ฉิน พี่พูดแบบนี้ผมไม่ค่อยเข้าใจนะครับ ผมดูเหมือนปกป้องคนร้ายที่ทำร้ายหลานชายของพี่เหรอครับ? ตกลงนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” หยางอี้กล่าวถามด้วยรอยยิ้มอย่างสงสัย
“พี่หยาง ลูกชายของผมฉินเหิงถูกคนทำร้ายที่เป้ยเฟิงเซวียนจนบาดเจ็บสาหัส คนที่ทำร้ายก็คือเย่เทียนเฉินไอ้เศษสวะของเมืองหลวง ตอนที่ผมกับหลูเซิ่งต๋าผู้อำนวยการสำนักความมั่นคงสาธารณะกำลังจะไปจับคน นายพลชางหลางลูกน้องของพี่ก็ปรากฏตัวออกมา บอกว่าต้องการพาตัวเย่เทียนเฉินไป ช่างมีความกล้าหาญมากมายซะเหลือเกิน พาตัวคนร้ายที่ทำร้ายลูกชายผมไปอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าอวดอ้างความยิ่งใหญ่ของใครกัน” ฉินเทาหยวนพูดจาแฝงความนัยพลางมองหยางอี้
ได้ยินคำพูดของฉินเทาหยวน หยางอี้ก็ขมวดคิ้วอย่างดุดัน หากไม่ใช่ว่าฉินอี้อยู่ที่นี่ เกรงว่าเขาคงให้ตำรวจองครักษ์ไล่ฉินเทาหยวนออกไปโดยตรงแล้ว ตนเองเป็นรองประธานคณะกรรมาธิการทหารที่สง่าผ่าเผย ด้วยตำแหน่งของฉินเทาหยวนจะสามารถมาพูดคุยกับเขาได้หรือ? ต่อให้เป็นฉินอี้ ก็สามารถพูดได้แค่ว่ามีเรื่องจะปรึกษาเขาสักหน่อย ไม่กล้ามาออกคำสั่งอะไรกับเขาโดยเด็ดขาด
“งั้นเหรอครับ? ความหมายของคุณก็คือผมตั้งใจต่อต้านตระกูลฉินของคุณและช่วยเย่เทียนเฉิน?” หยางอี้เปิดปากถามอย่างเย็นชา
“ผมจะ…”
“หุบปาก ไสหัวออกไปซะ ที่นี่มีที่ให้แกสอดปากที่ไหนกัน” ฉินเทาหยวนยังอยากจะพูดอะไรอยู่อีก แต่ถูดบิดาฉินอี้กล่าวขัดและด่าอย่างรุนแรงไปยกหนึ่ง
“พ่อ…”
“ไปหัวไป!” ฉินอี้คำรามเสียงดัง
ฉินเทาหยวนโกรธจนทนไม่ไหว ทำได้เพียงเปิดประตูเดินออกไปจากออฟฟิศของหยางอี้ ส่วนฉินอี้ปรากฏรอยยิ้มสายหนึ่งออกมาให้เห็นพลางมองไปยังหยางอี้กล่าวว่า “น้องหยาง คุณกับผมก็เป็นคนที่เจอหน้ากันในด้านการเมืองบ่อยๆ ช่วยเหลือซึ่งกันและกันเป็นเรื่องที่สมควรทำ ลูกชายของผมไม่รู้ความ หวังว่าคุณจะไม่ถือสาหาความอะไร”
“ฮ่าๆ พี่ฉินพูดอะไรกัน ส่วนเรื่องที่หลานรักถูกทำร้าย ผมไม่รู้เรื่องจริงๆ ไม่งั้นตอนนี้ผมโทรหาชางหลาง ถามความสักหน่อยดีไหมครับ?” หยางอี้เป็นคนที่ฉลาดมากคนหนึ่ง แม้ว่าเขาจะรู้ว่าจริงๆ แล้วมันเกิดอะไรขึ้น แต่ก็เข้าใจว่า ชางหลางช่วยเย่เทียนเฉิน ก็เพื่อทำภารกิจปกป้องบุคลากรไปแลกเปลี่ยนข้อมูลลับให้สำเร็จ ส่วนตระกูลฉินน่ะหรือ อวดอ้างอำนาจของฉินอี้ ยะโสโอหังจนเคยตัวไปเสียแล้ว
“ไม่ต้องหรอกครับ แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ผมสามารถจัดการได้ เพียงแค่มาบอกน้องหยางไว้สักหน่อย หากว่าเป็นลูกน้องของคุณพาตัวคนร้ายไปจริงๆ หวังว่าจะส่งมาให้ตระกูลฉินของผม อันธพาลเช่นนี้ กล้าทำเรื่องแบบนี้ในเมืองหลวง ไม่แน่ว่าภายภาคหน้าจะทำความผิดร้ายแรงอะไรอีก จำเป็นต้องลงโทษให้รุนแรงนะครับ” ฉินอี้ยืนขึ้นพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
……………………………………………..