“แม่ พี่นี่ขี้งกเกินไปแล้ว เป็นถึงประธานกรรมการเครือไห่หวางที่ผ่าเผย ไม่คิดเลยว่าแค่เงินสองร้อยหยวนจะตัดใจให้หนูไม่ได้ หนูถึงไม่อยากช่วยพี่ไปหยั่งเชิงไงล่ะ…” เย่เฉี่ยนเหวินยู่ปากอันน่ารัก กล่าวด้วยความโมโหเล็กน้อย
หลัวเยี่ยนมองเย่เฉี่ยนเหวินผู้เป็นลูกสาวครู่หนึ่งแล้วจึงยิ้มออกมา เธอรู้ว่าเย่เทียนเฉินตระหนี่ถี่เหนียวกับเย่เฉี่ยนเหวินมาโดยตลอด ตั้งแต่เล็กจนโตก็ไม่เคยให้ค่าขนมอะไรแก่น้องสาวเลย ต่อให้เป็นเย่เทียนเฉินในตอนนี้ที่ไม่ได้เป็นตัวตลกของเมืองหลวง ไม่ใช่เศษสวะไม่เอาไหวของตระกกูลเย่อีกต่อไปแล้ว ก็ยังคงขี้งกเช่นนั้น จุดนี้กระทั่งเธอที่เป็นแม่ก็อับจนคำพูด
“เฉี่ยนเหวิน ไปถามพี่สาวหรูเสวียของลูกหน่อยเถอะ ดูสิว่าตกลงแล้วเธอรู้สึกดีๆ กับพี่ชายของลูกหรือไม่ ถ้าหากว่ารู้สึก ถ้างั้นก็เป็นปัญหาของพี่ชายลูกแล้วล่ะ ถ้าหากว่าไม่ พวกเราก็ไม่อาจไปถ่วงผู้อื่นได้” หลัวเยี่ยนเก็บถ้วยเก็บตะเกียบไปพลางเปิดปากกล่าวไปพลาง
ความจริงแล้ว ในใจของหลัวเยี่ยน อย่างน้อยก็มีเก้าสิบเปอร์เซ็นที่หวังเป็นอย่างยิ่งว่าฉีหรูเสวี่ยจะสามารถกลายเป็นลูกสะใภ้ของตนได้ ถึงอย่างไรในสังคมปัจจุบัน หากต้องการหาลูกสะใภ้ที่งดงามทั้งยังไม่เปราะบาง เบื้องหน้ารับแขก เบื้องหลังเข้าครัว ช่างหาได้ยากจริงๆ อีกทั้งฉีหรูเสวี่ยเป็นหญิงที่ใกล้ชิดเย่เทียนเฉินที่สุดในปัจจุบันนี้ ตั้งแต่เมื่อปีนั้นที่เย่เทียนเฉินแอบดูหลิ่วหรูเหมยอาบน้ำ เขาก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง กลายเป็นไม่คบค้าสมาคมกับผู้หญิงข้างนอก นี่ทำให้หลัวเยี่ยนกังวลใจว่าผู้หญิงจะกลายเป็นปมในใจของลูกชายหรือไม่ ถึงตอนนั้นอาจจะส่งผลกระทบต่อการสืบสกุลของตระกูลเย่ได้
ดังนั้น หลัวเยี่ยนยังคิดอยู่ว่า ถามฉีหรูเสวี่ยก่อนสักหน่อย ดูว่าตกลงแล้วเธอมีความรู้สึกรักใคร่ต่อเย่เทียนเฉินหรือไม่ ถ้าหากว่ามีจริงๆ ตนเองจะลองโน้มนาวลูกชายดูสักหน่อย ผู้หญิงเช่นฉีหรูเสวี่ยนี้เป็นลูกสะใภ้ที่ดี เป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง
“ไม่ไป พี่ชายขี้งก หนูจะไม่ช่วยอะไรเขาอีกแล้ว เฮอะ!” เย่เฉี่ยนเหวินเบะปากด้วยความโกรธพลางสะบัดหน้าไปอีกด้าน
“เด็กคนนี้นี่ คิดว่าแม่ไม่รู้เหรอว่าลูกกำลังคิดอะไรอยู่? เอาไป ใช้จ่ายประหยัดๆ หน่อยล่ะ ที่สำคัญต้องให้ความสำคัญกับการอดออม” หลัวเยี่ยนหยิบธนบัตรสองร้อยหยวนออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ส่งให้เย่เฉี่ยนเหวินผู้เป็นลูกสาวพลางกล่าว
หากกล่าวถึงฐานะทางบ้านของเย่เทียนเฉินในเมืองหลวงก็ไม่นับว่าดีที่สุด แต่ว่าก็ไม่ได้ขาดแคลนอาหารเสื้อผ้า อย่างไรก็ตามหลัวเยี่ยนสองสามีภรรยาสั่งสอนเย่เทียนเฉินและเย่เฉี่ยนเหวินทั้งสองคนให้ประหยัดมาตั้งแต่เด็กๆ ไม่ให้ใช้เงินฟุ่มเฟือย เมื่อก่อนเย่เทียนเฉินไม่ได้ซึบซับความเคยชินที่ดีเช่นนี้ แต่เย่เฉี่ยนเหวินกลับรู้ มิฉะนั้นเย่เฉี่ยนเหวินที่เป็นนักเรียนมัธยมปลายปีสาม ค่าใช้จ่ายทุกเดือนซึ่งรวมค่าข้าวเช้าและข้าวกลางวันด้วยแล้วคงไม่ใช่แค่สี่ร้อยหยวน
“แม่ดีที่สุดเลยค่า งั้นแม่ล้างจานนะคะ หนูจะไปลองถามดูสักหน่อย”
เย่เฉี่ยนเหวินคว้าค่าขนมสองร้อยหยวน แล้วใส่ลงไปในกระเป๋าเสื้อ กล่าวพลางหัวเราะลั่นแล้ววิ่งไปยังชั้นสองของคฤหาสน์ เมื่อมีค่าเหนื่อย ก็ทำให้การทำเรื่องนี้อย่างมีความกระตือรือล้น
เย่เทียนเฉินนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง พรุ่งนี้ก็ต้องออกเดินทางไปยังประเทศm เพื่อคุ้มครองบุคคลากรที่จะไปทำการแลกเปลี่ยนข้อมูลลับ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เย่เทียนเฉินให้ความสำคัญที่สุด สิ่งที่เขาเฝ้ารอก็คือองค์กรทหารรับจ้างของทางฝั่งประเทศm และยังมีหน่วยพลังพิเศษเฉพาะกิจที่แข็งแกร่งอีก เขาหวังว่าจะสามารถยืมมือกลุ่มตัวประหลาดต่างชาติเหล่านี้ได้ ไม่ต้องพูดเรื่องทะลวงขอบเขตพลังพิเศษระดับจอมราชันของตนให้ทะลวงไปอีกขั้น อย่างน้อยก็ต้องฝึกฝนขอบเขตพลังพิเศษระดับจอมราชันให้มีเสถียรภาพได้
เข้าสู่สภาวะของสมาธิ เย่เทียนเฉินรับรู้ถึงพลังพิเศษทุกเส้นสายภายในร่างกายและเลือดเนื้อทุกซอกทุกมุม หลังจากทะลวงถึงระดับจอมราชัน พลังพิเศษในร่างกายก็กลายเป็นสีน้ำเงินตั้งนานแล้ว ทั้งยังค่อยๆ เข้มขึ้น นี่คือกระบวนการการเปลี่ยนสภาพไปทีละก้าว ขอเพียงกระตุ้นพลังพิเศษในร่างกายอย่างไม่หยุดหย่อน ชักนำแก่นพลังพิเศษในสมอง ถฝจึงจะสามารถทำให้ตนเองใช้พลังพิเศษของร่างกายตนเองออกมาได้อย่างคล่องแคล่วมากยิ่งขึ้น
ส่วนการดึงดูดพลังพิเศษอันแข็งแกร่งในธรรมชาติมาเปลี่ยนเป็นพลังของตนเพื่อใช้งานนั้น เกรงว่ายังต้องยกระดับขอบเขตพลังถึงระดับจักรพรรดิเสียก่อนจึงจะทำได้ ต่อให้จะรับรู้และนำมาพลิกแพลงใช้ได้ก่อน อย่างน้อยก็ต้องอยู่ในขอบเขตพลังระดับจอมราชันขั้นสูงสุด เนื่องจากชาติก่อนเย่เทียนเฉินเคยเป็นผู้แข็งแกร่งที่ขอบเขตพลังไปถึงระดับพระเจ้าแล้ว จึงมีประสบการณ์อย่างลึกซึ้งในเรื่องการรับรู้พลังธรรมชาติและการพลิกแพลงใช้งาน
ถ้าหากบอกว่าผู้มีพลังพิเศษที่มีขอบเขตพลังระดับพระเจ้าหรือกระทั่งระดับเทพราชันคนหนึ่งมีความสามารถถล่มสวรรค์ทลายปฐพี เช่นนั้นหากเปรียบเทียบกับพลังที่แฝงอยู่ในธรรมชาติ ก็ยังด้อยกว่า ในธรรมชาติ ต้นไม้ต้นหญ้าทุกต้น ภูเขาก้อนหินทุกลูก ทุกสิ่งล้วนแต่แฝงไปด้วยพลังงานอันแข็งแกร่ง ถ้าหากสามารถนำมาใช้ได้จริงๆ จะสามารถทำให้ขอบเขตพลังของคนคนหนึ่งแข็งแกร่งขึ้นจนน่าหวาดกลัว
“โลกแห่งนี้ จะมีผู้มีพลังพิเศษที่ขอบเขตพลังถึงระดับเทพราชันไหมนะ? ชาติก่อนฉันเองก็แค่เคยได้ยินการดำรงอยู่ของผู้แข็งแกร่งระดับเทพราชันมาเท่านั้น…หลี่ไป๋!”
เย่เทียนเฉินรับรู้ถึงลมหายใจของเย่เฉี่ยนเหวินน้องสาวที่ขึ้นมาชั้นบนจึงลืมตาขึ้น แล้วกล่าวพึมพำประโยคนี้กับตนเอง เขามาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ แม้ว่าจะรู้สึกคาดหวังถึงการมีอยู่ของยอดฝีมือที่แข็งแกร่งเกินพิกัดในโลกนี้อยู่บ้าง แต่เขาก็มีความทรงจำของชาติก่อนอยู่ แม้ว่าชาติก่อนจะเป็นโลกที่โหดร้ายและเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด แต่ที่นั่นก็มีเพื่อนของเย่เทียนเฉินอยู่เช่นกัน ความทรงจำของเย่เทียนเฉินตั้งแต่เล็กจนโต หากว่ามีโอกาสก็อยากจะกลับไปนึกดูสักหน่อย
หลี่ไป๋ เย่เทียนเฉินพึมพำถึงชื่อนี้กับตนเอง เนื่องจากชาติก่อนในโลกที่เต็มไปด้วยสงครามนี้ เขาที่ได้เป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษระดับพระเจ้า ย่อมมีจิตใจอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับพลังระดับที่สูงยิ่งขึ้นอย่างระดับเทพราชัน พลังระดับเทพราชันมิอาจนำมาพูดรวมกันกับพลังระดับพระเจ้าได้ เพราะมีความต่างกันราวฟ้ากับเหว ในชาติก่อน ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครเคยพบผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษในขอบเขตระดับเทพราชันมาก่อนเลย ต่อให้เป็นตำนานเล่าขานของพวกเขาก็อยู่มีน้อยมากๆ จะอย่างไรก็ตามเมื่อแข็งแกร่งไปถึงระดับหนึ่งแล้ว สิ่งที่พวกเขาคิดและทำย่อมไม่เหมือนกัน หลี่ไป๋ ในชาติก่อนชื่อนี้สั่นสะเทือนใต้หล้า เขาคือผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษระดับเทพราชันเพียงคนเดียวที่มีเสียงเล่าลือถึงชื่อของเขาในหลายปีนี้
“เดิมทียังคิดว่ามีโอกาสพบกับหลี่ไป๋ ดันมาเกิดใหม่ในโลกนี้ หากไม่มีโอกาสกลับไปที่โลกเดิม ทั้งหมดก็สูญเปล่า…”
พูดไป เย่เทียนเฉินก็ลงจากเตียง ตอนที่เขากำลังทำสมาธิขับเคลื่อนพลังพิเศษในร่างกายอยู่ ก็รู้สึกถึงลมหายใจของเย่เฉี่ยนเหวินน้องสาวที่ขึ้นมาข้างบน นี่ไม่ใช่ว่าเขาแผ่พลังพิเศาแห่งการรับรู้ออกมา เย่เทียนเฉินไม่ทำเช่นนั้นในบ้านของตนเอง นี่เป็นการดูหิ่นและไม่เคารพคนในครอบครัว เพียงแต่หลังจากที่ขอบเขตพลังถึงระดับจอมราชันแล้ว ในสภาพสมาธิ แม้แต่เสียงเข็มหล่นใกล้ๆ ก็ได้ยินอย่างชัดเจน
ปังปังปัง!
ข้างนอกมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น เย่เฉี่ยนเหวินเดินมาหถึงประตูห้องนอนที่ฉีหรูเสวี่ยอาศัยอสู่ ก็เคาะประตูอย่างแรง ทั้งยังตะโกนเสียงดังว่า “พี่สาวหรูเสวี่ย เปิดประตูหน่อยค่ะ หนูเองเฉี่ยนเหวิน ไม่ใช่พี่ชายแย่ๆ คนนั้น”
“ยัยเด็กแสบคนนี้นี่ คอยดูเถอะว่าหลังจากนี้พี่ชายจะจัดการกับเธอยังไง” เย่เทียนเฉินได้ยินประโยคนี้ของเย่เฉี่ยนเหวินผู้เป็นน้อง ก็มีสีเส้นสีดำผุดขึ้นบริเวณศีรษะ เด็กคนนี้นับวันก็ยิ่งไม่รู้จักระดับอาวุโส เห็นตนเองที่เป็นพี่ชายอยู่ในสายตาที่ไหนกัน
“พี่สาวหรูเสวี่ย เป็นหนูเองจริงๆ ไม่มีเจ้าพี่ชายแย่ๆ คนนั้น พี่สาวเปิดประตูหน่อยนะคะ หนูมีธุระกับพี่” เมื่อเห็นว่าฉีหรูเสวี่ไม่เปิดประตู เย่เฉี่ยนเหวินจึงตะโกนต่อไป
ตอนนี้เอง ฉีหรูเสวี่ยที่แอบอยู่ในผ้าห่มบนเตียง ยังคงมีใบหน้าแดงก่ำ ในสมองยังมิอาจสลัดภาพที่ตนเองจูบกับเย่เทียนเฉินไปได้ แม้เธอจะพยายามควบคุมตนเองไม่ให้คิดถึงฉากนั้นเช่นไร ก็ยังปรากฏอยู่ในสมอง ยิ่งไม่อยากคิดถึงเท่าไร ก็ยิ่งปรากฏในสมองมากขึ้นเท่านั้น เธอโกรธจนขบฟันแน่น เกลียดเจ้าคนชั่วเย่เทียนเฉินจะตายอยู่แล้ว
ได้ยินเสียงของเย่เฉี่ยนเหวิน ฉีหรูเสวี่ยชะงักไปชั่วครู่ แล้วจึงลุกขึ้นจากเตียง ตอนนี้เธออึดอัดจนทนไม่ไหว อยากจะหาใครสักคนคุยด้วย ช่วงนี้การคบหากับเย่เฉี่ยนเหวินและคุณป้าหลัวเยี่ยนทำให้ฉีหรูเสวี่ยรู้สึกสบายใจ หากไม่ใช่ว่าเย่เทียนเฉินอยู่ที่นี่และคิดอยากจะไล่ตนเองไป ฉีหรูเสวี่ยก็อยากจะอาศัยอยู่ที่นี่จริงๆ
เกิดเสียงดังเอี๊ยดขึ้น ฉีหรูเสวี่ยเปิดประตูห้องนอน มองเย่เฉี่ยนเหวิยิ้มเจ้าเล่ห์มองมาทางตน อดไม่ได้ที่จะหน้าแดงขึ้นไปอีก มองเย่เฉี่ยนเหวินครู่หนึ่งพลางกล่าวว่า “น้องสาวยังเด็กไม่หลับไม่นอน มาหาพี่สาวทำไม?”
“ฮี่ๆ พี่สาวหรูเสวี่ย หนูรู้ว่าตอนนี้พี่อยากมีคนคุยเป็นเพื่อน ดังนั้นหนูก็เลยมา พี่วางใจเถอะ หนูอยู่ข้างพี่สาวแน่นอน ส่วนพี่ชายของหนู คนขี้งกขนาดนั้น หนูไม่อยากสนใจเขาแล้ว เขาก็แค่คนทึ่มที่ไม่รู้จักความรักของหนุ่มสาว”
เพื่อที่จะสามารถใกล้ชิดกับฉีหรูเสวี่ยให้มากๆ เพื่อจะสามารถได้รับความเชื่อมั่นจากฉีหรูเสวี่ย เพื่อที่จะได้ถามความจริงในใจภายหลัง เย่เฉี่ยนเหวินนำเย่เทียนเฉินผู้เป็นพี่ชายออกมาขายอย่างตามใจ ไม่เพียงแต่พูดว่าเย่เทียนเฉินเป็นเจ้าคนชั่ว ยังบอกว่าเขาเป็นไอ้ทึ่มอีก เย่เทียนเฉินที่อยู่บริเวณประตูของตนได้ยิน แทบอยากจะพุ่งออกไปแจกมะเหงกให้เย่เฉี่ยนเหวินสักสองที
“ใครบอกว่าพี่ต้องการคนคุยแก้กลุ้มกัน เด็กแก่แดด รีบเข้ามาเถอะ!”ฉีหรูเสวี่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เย่เฉี่ยนเหวินยิ้มหวานพลางเข้าไปในห้องนอนของฉีหรูเสวี่ย หญิงสาวสองคนปิดประตูห้อง เริ่มพูดคุยกันอยู่ภายใน เย่เทียนเฉินคิดสักครู่ จึงคิดว่าช่างมันเถอะ จะไปสนว่าพวกเธอคุยกันทำไม คงไม่ใช่พูดถึงตนเองดีๆ แน่นอนอยู่แล้ว ตอนนี้กระทั่งน้องสาวแท้ๆ ก็กลายเป็นกบฏ ทำให้ตนเองหดหู่จริงๆ เข้านอนเร็วหน่อย พรุ่งนี้เช้ายังต้องรีบไปสนามบินนานาชาติแห่งเมืองหลวงเพื่อไปประเทศm
“พี่สาวหรูเสวี่ย ชุดนอนพี่สวยจัง ชุดนอนเซ็กซี่ขนาดนี้ รวมกับร่างกายที่เพอร์เฟ็คขของพี่ ถ้าหนูเป็นผู้ชาย จะต้องรักพี่แน่ๆ” เย่เฉี่ยนเหวินยิ้มพลางกล่าวหยอกล้อ
“ปากหวานจริงๆ เลยนะ วันๆ ไม่รู้จักตั้งใจเรียน รู้แต่เรื่องพวกนี้ ไม่ใช่มีคนที่สนใจอยู่แล้วนะ?” ฉีหรูเสวี่ยกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม
“มีที่ไหนกัน ทำไมพี่สาวถึงพูดเหมือนพี่ชายหนู พี่สองคนเข้าใจกันดีจริง” เย่เฉี่ยนเหวินกล่าวด้วบใบหน้าแดงก่ำ
“ไม่หรอกมั้ง พี่กับเจ้าคนชั่วนั่นเข้าใจกัน ช่างซวยจริงๆ แต่ยังไงพวกเราก็มาพูดกันตรงๆ เถอะ เธอมีแฟนแล้วใช่ไหม?” ฉีหรุเสวี่ยกล่าวเย้าเย่เฉี่ยนเหวินต่อไป
“หยุดเถอะ เรื่องของพี่กับพี่ชายหนู อย่าลากเข้ามาเรื่องของหนูสิ ใช่แล้วพี่สาวหรูเสวี่ย พี่ว่าพี่สวยขนาดนี้ หุ่นดีขนาดนี้ เซ็กซี่ขนาดนี้ ทำไมถึงยังไม่มีแฟนล่ะ?” เย่เฉี่ยนเหวินถามอย่างต้องการหยั่งเชิง
“พี่สวยเหรอ? เซ็กซี่เหรอ? ทำไมพี่ไม่รู้สึกล่ะ?” ฉีหรูเสวี่ยกล่าวถามอย่างสงสัย
ฉีหรูเสวี่ยที่เดิมทีมีความมั่นใจในตัวเองมาโดยตลอด ตั้งแต่พบกับเย่เทียนเฉิน คนคนนี้แต่ไหนแต่ไรก็ทะเลาะกับเธอ ไม่มีความโอนโยนเลยแม้แต่น้อย นี่ทำให้ฉีหรูเสวี่ยค่อยๆ รู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง ถ้าหากว่าตนเองสวยและเซ็กซี่ขนาดนั้นจริงๆ ทำไมเย่เทียนเฉินคนนี้ถึงไม่เคยใจเต้นเลย ไม่รู้จักยอมลงให้ตนเองที่เป็นสาวสวยคนหนึ่งเลย?
…………………………………………….