หากกล่าวว่าเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นเห็นถึงฝีมืออันแข็งแกร่งของเย่เทียนเฉินแล้วในใจรู้สึกสั่นสะท้าน เช่นนั้นหลิวอวี่ก็รู้สึกตื่นเต้น
ที่ตื่นเต้นนั้นเป็นเพราะเขามีความมั่นใจในฝีมือของตนเองมาก เขาที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นราชันนักรบคนที่สี่ของจีนได้เมื่อปีนั้น ย่อมไม่ได้รับชื่อเสียงมาเสียเปล่าแน่นอน
ในใจของหลิวอวี่ไม่พอใจเย่เทียนเฉิน กล่าวคือ ทนเห็นท่าทางอิสระเสรีของเย่เทียนเฉินไม่ได้
โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสกว่าอย่างเขา เย่เทียนเฉินกลับเมินเฉย ทำให้หลิวอวี่รู้สึกว่าเขาช่างโอหังเสียเหลือเกิน จะต้องสั่งสอนให้รู้สำนึกเสียบ้าง
แน่นอนว่า เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นที่ได้ยินหลิวอวี่กล่าวว่าจะสั่งสอนเย่เทียนเฉินย่อมรู้สึกยินดีอยู่ในใจเป็นอย่างมาก
พวกเขาสองคนอยากจะลงมือแต่ติดที่ฐานะสมาชิกกองทัพเหยี่ยวของพวกเขา ทำให้ต้องสนใจเรื่องระเบียบวินัย ต่อให้อัดเย่เทียนเฉินจนแพ้ยับ ก็ต้องถูกเบื้องบนสอบสวนลงมา ย่อมไม่ดีเป็นแน่
ส่วนหลิวอวี่ ผู้อาวุโสที่ฝีมือแข็งแกร่งกว่าพวกเขาหลายขั้นคนนี้ หากลงมือย่อมสามารถอัดเย่เทียนเฉินให้เละเป็นสมองหมูได้อย่างแน่นอน
เย่เทียนเฉินขับรถลีมูซีนสีดำที่มีหลิ่วหรูเหมยและหย่งชุนไท่โดยสารอยู่ เหยียบคันเร่งสูงสุดไปตามการนำทางของจีพีเอส มุ่งไปยังคฤหาสน์ตระกูลหลิ่ว การขับรถของเขาพูดได้คำเดียวว่า หวาดเสียวแต่ปราศจากอันตราย
“นี่ นาย…นายขับให้มันช้าๆ หน่อยได้ไหม จะรีบไปเกิดใหม่หรือไง?” หลิ่วหรูเหมยที่ทนความโคลงเคลงไม่ไหวตะโกนใส่เย่เทียนเฉิน
“ขับช้าลงหน่อยเถอะ คนแก่อย่างฉันทนกลิ้งไปกลิ้งมาไม่ไหวแล้ว” หย่งชุนไท่เองก็กล่าวอย่างอดไม่อยู่
“งั้นก็แย่หน่อยนะครับ พวกคุณขึ้นรถผม ก็ต้องฟังคำของผม รถที่ผมขับเมื่อก่อนคือบิ๊กไบค์…” เย่เทียนเฉินยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์เล็กน้อยทั้งยังขับพุ่งตรงไปข้างหน้าโดยไม่ลดความเร็วลงเลยสักนิด
ขับบิ๊กไบค์ คำพูดประโยคนี้เย่เทียนเฉินไม่ได้กล่าวมั่วๆ
ชาติก่อน เขามีมอเตอร์ไซด์ที่ทั้งเท่ทั้งยอดเยี่ยมอยู่คันหนึ่ง ด้านหน้าสุดประดับด้วยหัวมังหรอันใหญ่ที่ทำจากโลหะผสมไทเทเนี่ยม มีชื่อว่า “มอเตอร์ไซด์เศียรมังกร”
ทุกครั้งที่ออกปฏิบัติการ เย่เทียนเฉินล้วนแต่ขี่มอเตอร์ไซด์เศียรมังกรคันนี้ ทั้งยังสวมชุดหนังสีดำทั้งตัว ไม่ทราบว่าทำให้หญิงสาวหลงใหลไปมากน้อยแค่ไหน
ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมา รถที่เย่เทียนเฉินขับก็จอดอยู่นอกประตูคฤหาสน์
หลิ่วหรูเหมยและหย่งชุนไท่ ทั้งสองต่างก็รู้สึกมึนหัวตาลายจนอยากอาเจียน
เย่เทียนเฉินทำตัวราวกับผีหิวตายที่ต้องการพุ่งใส่ขนมปังมาตลอดทาง ไม่มีการหยุดรถเลยสักวินาทีเดียว ฝ่าไฟแดงมานับไม่ถ้วย หลบเลี่ยงอันตรายจากการปะทะกับรถคันอื่นหลายครั้ง ในที่สุดก็ถึงเป้าหมาย
“ลงรถเถอะ ในที่สุดก็ถึงที่ๆ กินข้าวได้สักที” เย่เทียนเฉินหัวเราะฮี่ๆ พลางหันมากล่าวกับหลิ่วหรูเหมยและหย่งชุนไท่
“ไอ้คนชั่วร้ายคนนี้นี่ คุณหนูคนนี้ คุณหนูคนนี้ไม่จบกับนายแน่…” หลิ่วหรูเหมยที่ถูกความโคลงเคลงโจมตีจนหน้าซีดมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างโหดเหี้ยมพลางกล่าว
“ครั้งหน้าถ้าเธอขับอีก ฉันไม่นั่งด้วยแล้ว”
หย่งชุนไท่ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าพอเย่เทียนเฉินแสดงนิสัยอันธพาลออกมาจะไม่น่าเชื่อถือขนาดนี้ รู้สึกรับไม่ได้อยู่บ้าง
เย่เทียนเฉินยิ้มเจ้าเล่ห์ พลางเปิดประตูรถแล้วเดินลงไป
ตอนนี้เอง ประตูใหญ่ของคฤหาสน์ตระกูลหลิ่วก็เปิดออก มียอดบอดี้การ์ดสูทดำยี่สิบคนวิ่งออกมาจากข้างใน ซ้ายขวาด้านละสิบ ทั้งหมดต่างพกพาอาวุธ แต่ละคนถูกฝึกฝนมาอย่างดี หลังจากที่วิ่งออกมาแล้วก็ยืนอยู่สองฝั่งซ้ายขวาอย่างเป็นระเบียบ ไม่มีการพูดคุยกันมั่วซั่ว เรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ
“คุณหนูใหญ่!”
บอดีการ์ดสูทกำทั้งยี่สิบคน มองหลิ่วหรูเหมยที่ก้าวลงมาจากรถด้วยความเคารพพลางตะโกนเสียงดัง
หลิ่วหรูเหมยยืนค้ำประตูรถ มีความรู้สึกอยากอาเจียน ใช้ดวงตาอันงดงามจ้องไปยังเย่เทียนเฉินอย่างดุดัน
คนคนนี้ขับรถเร็วมากเหลือเกิน ทำให้ผู้อื่นรู้สึกราวกับว่าอวัยวะภายในโคลงเคลงเคลงออกมาอย่างไรอย่างนั้น เกรงว่าตนเองจะต้องขายหน้าต่อหน้าลูกน้องบอดี้การ์ดเหล่านี้ของบ้านตระกูลหลิ่วเสียแล้ว ช่างทำให้รู้สึกอยากจะกัดเย่เทียนเฉินให้ตายจริงๆ
“อืม!”
หลิ่วหรูเหมยเพียงพยักหน้า ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา พยายามอดกลั้นอาการคลื่นไส้อย่างเต็มที่ แล้วจึงเดินเข้าไปภายในคฤหาสน์
หย่งชุนไท่เดินตามหลังหลิ่วหรูเหมยไป
ส่วนเย่เทียนเฉินถูกหลิ่วหรูเหมยปฏิบัติด้วยอย่างเย็นชาโดยสิ้นเชิง แต่ก็ไม่ใส่ใจอะไร ถึงอย่างไรเขาก็มาเที่ยวเล่น ตอนนี้ปัญหาสำคัญก็คือกินอาหารดีๆ สักมื้อ สองมือล้วงกระเป๋ากางเกงพลางก้าวเดินเข้าไปราวกับเป็นเจ้าของคฤหาสน์ตระกูลหลิ่วหลังนี้ก็มิปาน
เย่เทียนเฉิน หลิ่วหรูเหมย และหย่งชุนไท่ ทั้งสามเพิ่งจะเดินเข้ามา พวกเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นก็ตามมาถึงแล้ว
ฝีมือการขับรถของเย่เทียนเฉินดีมาก แถมยังขับรถเร็วมาก ทำให้พวกหลิวอวี่ตามไม่ทัน จึงรู้สึกโกรธเกลียดอยู่ในใจจนปวดฟันไปหมด
“พี่อวี่!”
เมื่อเห็นหลิวอวี่ลงรถมา บอดี้การ์ดที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดก็เปิดปากตะโกนลั่น
“คุณหนูกับหย่งชุนไท่เข้าไปแล้วใช่ไหม?” หลิวอวี่รีบกล่าวถาม
“เพิ่งเข้าไปครับ”
หลิวอวี่หยักหน้า นำเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นเดินตามเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้ในใจหลิวอวี่แทบจะทนไม่ไหว เมื่อได้คุ้มครองหนูหลิ่วหรูเหมยกลับมาถึงคฤหาสน์ตระกูลหลิ่วอย่างปลอดภัย เขาก็ผ่อนคลายลงมาก ดังนั้นตอนนี้ในใจของเขามีความคิดอยู่อย่างเดียวก็คือ สั่งสอนเย่เทียนเฉิน
เย่เทียนเฉินตามหลังหลิ่วหรูเหมยและหย่งชุนไท่เข้าไปยังห้องโถงของคฤหาสน์ตระกูลหลิ่ว
ยามที่เย่เทียนเฉินเหยียบย่างเข้ามาในคฤหาสน์ตระกูลหลิ่ว เขาก็ใช้พลังพิเศษแห่งการรับรู้สแกนคฤหาสน์ตระกูลหลิ่วทั้งหมดไปแล้วรอบหนึ่ง
พื้นที่ของคฤหาสน์ตระกูลหลิ่วทั้งหมดประมาณห้าร้อยตารางเมตร ไม่ใช่คฤหาสน์ที่ใหญ่โตมากนัก ตรงกลางมีเรือนประชุมอยู่เรือนหนึ่ง สองฝั่งซ้ายขวาเป็นเรือนพักเล็กๆ ในนั้นมีสวนดอกไม้เล็กๆ อยู่แห่งหนึ่ง จากนั้นจึงเป็นพื้นที่สำหรับจอดรถ
เมื่อหย่งชุนไท่ผลักประตูใหญ่เรือนกลางเข้าไป เย่เทียนเฉินเป็นคนแรกที่พุ่งเข้าไปอย่างตื่นเต้นจนหลิ่วหรูเหมยและหย่งชุนไท่ไร้ซึ่งคำพูดใดๆ
เนื่องจากภายในห้องโถง มีการจัดเตรียมอาหารไว้เต็มโต๊ะ นี่เป็นสิ่งที่หลิวอวี่ผู้รักษาการณ์แห่งคฤหาสน์ตระกูลหลิ่วได้เตรียมไว้สำหรับต้อนรับหลิ่วหรูเหมยและหย่งชุนไท่ที่เดินทางมาไกล
เย่เทียนเฉินนั่งลงข้างๆ โต๊ะอาหาร แล้วลงมือกินอย่างตะกละตะกลามราวกับผีที่หิวตายอย่างไรอย่างนั้น ทั้งยังไม่รักษาภาพพจน์และไม่สนใจหลิ่วหรูเหมยสาวสวยงามเลิศคนนี้โดยสิ้นเชิง
“เจ้าหมอนี่…”
“ช่างเถอะคุณหนู ครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะเขา พวกเราอาจจะไม่รอดกลับมาแล้วก็ได้” หย่งชุนไท่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลิ่วหรูเหมยกัดฟันแน่น อดไม่ได้ที่จะสาบานอยู่นใจว่า รอให้การแลกเปลี่ยนข้อมูลลับครั้งนี้สำเร็จและกลับประเทศไปก่อนเถอะ จะต้องสั่งสอนเจ้าหมอนี่ให้ได้อย่างแน่นอน
คนคนนี้ช่างชั่วร้ายเหลือเกิน ไม่เพียงแสดงออกถึงการเหยียดหยามตนเอง ยังพูดจาโจมตีเธออีกต่างหาก
“อืม ไม่เลวเลย หอยเป๋าฮื้อนี่ไม่เลวเลย…”
“ให้ตายเถอะ กุ้งมังกรผัดนี่ทำมาอย่างกับกุ้งน้ำ ล้มเหลวจริง…”
“ไม่มั้ง ในไส้หมูยังมีตะกอนอยู่เลย…ล้มเหลวในล้มเหลว…”
เย่เทียนเฉินกินไปพลางบ่นพึมพำกับตัวเองไปพลาง หลิ่วหรูเหมยได้ยินดังนั้นก็เกิดเส้นขีดสีดำขึ้นบนหน้าผาก เดินออกไปด้วยความโกรธเคือง
นั่งเครื่องบินมาหนึ่งวันหนึ่งคืน ทั้งยังถูกเย่เทียนเฉินขับรถฉวัดเฉวียนอีกหนึ่งชั่วโมงกว่า ถ้าไม่พักผ่อนสักหน่อยเกรงว่าคืนนี้หลังเที่ยงคืนคงไม่มีปัญญาไปแลกเปลี่ยนข้อมูลลับเป็นแน่
เมื่อเห็นว่าหลิ่วหรูเหมยและหย่งชุนไท่เดินจากไป เหลือเพียงตนเองคนเดียวที่ทานอาหารอยู่ในห้องโถงแห่งนี้ เย่เทียนเฉินก็รู้สึกสบายเป็นอย่างมาก
จุดบุหรี่มวนหนึ่งขึ้นสูบ จากนั้นถึงถอดรองเท้าออกไปวางไว้บนม้านั่งด้านข้าง บิดขี้เกียจครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงใช้มือซ้ายคีบบุหรี่ มือขวาหยิบหอยเป๋าฮื้อ สูบบุหรี่เฮือกหนึ่ง แทะเป๋าฮื้อคำหนึ่ง ช่างสุขอุราราวเทพเซียนเสียจริง
ตอนนี้เอง ที่ถนนอาชญากรรมที่มีชื่อเสียงในHSD ภายในตึกใหญ่ที่มีแสงไฟสลัวๆ แห่งหนึ่ง ชายชราหัวล้านที่ดูท่าทางอายุราวๆ ห้าสิบกว่าปี กำลังสูบซิการ์อยู่
เบื้องหน้าของเขามีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ หากว่าเย่เทียนเฉินได้มาเห็นล่ะก็ จะต้องรู้จักอย่างแน่นอน เขาก็คือแซนเบเกอร์
ชายชราหัวล้านคือแมคเคียร์ หัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต ฉายาปีศาจกระหายเลือด ที่ได้รับสมญานามเช่นนี้เป็นเพราะทุกครั้งที่แมคเคียร์ฆ่าคน จะต้องดื่มเลือดของศัตรูหนึ่งแก้วทุกครั้ง วิปลาสถึงขีดสุด ดังนั้นจึงได้รับสมญานามเช่นนี้
เมื่อสักครู่นรี้ แซนเบเกอร์ได้รับรายงานจากลูกน้องว่า ร็อคกี้แบร์ที่มีฐานะเป็นรองหัวหน้ากลุ่มเช่นเดียวกับตน นำคนไปซุ่มโจมตีสมาชิกที่เดินทางมาของฝั่งตะวันออกแล้วล้มเหลว ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง กระทั่งร็อคกี้แบร์เองก็ถูกหักคอตายตายไปแล้ว
เดิมทีเมื่อแซนเบเกอร์ได้พบแมคเคียร์ก็อยากจะกล่าวรายงานออกไปทันที แต่เห็นว่าแมคเคียร์สำหรับเสพสุขอยู่ จึงไม่กล้าส่งเสียง ต่อให้เขาเป็นรองหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต ก็เข้าใจดีว่า ขอเพียงแมคเคียร์ไม่พอใจแม้เพียงนิด ตัวเขาเองก็ต้องตายเช่นเดียวกัน
แมคเคียร์ก็เป็นคนเลือดเย็นเช่นนี้เอง ฆ่าคนได้โดยไม่ขมวดคิ้ว ต่อให้เป็นหญิงสาวที่ทำให้เขาขึ้นสวรรค์อยู่ ณ ตอนนี้ เขาก็สามารถลั่นไกปืนระเบิดสมองได้ในทันที
ตึกที่แมคเคียร์อยู่ตั้งแต่ชั้นล่างสุดถึงชั้นบนสุด มีทั้งหมดสี่ชั้น แต่ละชั้นล้วนมีโจรที่ถืออาวุธทันสมัยอยู่ในมือหลายสิบคนคุ้มครองอยู่
คนเหล่านี้เป็นทั้งสมาชิกชั้นยอดของกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต และเป็นทั้งคนสนิทของแมคเคียร์ ต่อให้เป็นแซนเบเกอร์และร็อคกี้แบร์ หากเข้ามาข้างในโดยไม่ได้รับอนุญาตก็ต้องถูกฆ่าตาย
“พี่ใหญ่ พวกร็อคกี้แบร์เขา…”
“ปัง…”
แซนเบเกอร์ยังไม่ทันพูดจบ ก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น แม่สาวผมทองที่เพิ่งจะบริการแมคเคียร์เมื่อสักครู่นี้ ถูกยิงจนสมองแหลกกระจาย เลือดสดๆ ไหลออกมาเต็มพื้น ดวงตาทั้งสองเบิกกว้าง ล้มลงไปจมกองเลือด
“กัดฉันซะเจ็บเชียว แม่งสมควรตาย!”
แมคเคียร์เป่าปากกระบอกปืนในมือขวาเบาๆ พลางกล่าวออกมาอย่างเลือดเย็น
……………………………………………………………