ตอนที่ 139 ถูกหลอก
หลินหยางที่มองดูแผ่นกระดาษภายในมือพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่นานเลยทีเดียว ในที่สุดเขาก็ผละออกจากมัน
เมื่อเสร็จสิ้นการแจกแจงทุกสิ่งเขาก็ได้เวลาเพิ่มระดับให้แก่ตนเองเสียที นั่นคือทักษะ! ครานี้เขามิได้ลังเลอีกต่อไปตัดสินใจเลื่อนระดับทักษะ เกราะมังกร ทันที!
‘ทักษะเกราะมังกรระดับ 0 ได้รับการเลื่อนระดับเป็นระดับ 1 ขั้นที่ 1/10 เรียบร้อยแล้ว’
‘หืม?’ หลินหยางมองดูร่างกายของตน มันมิได้เปลี่ยนแปลงใดๆเลยแม้แต่น้อย เมื่อคราที่เขาเพิ่มระดับให้แก่ทักษะเกราะกระดูก กระดูกภายในตัวจะขยับเขยื้อนคล้ายกำลังปรับเปลี่ยนเพื่อเข้าที่ทำให้รู้สึกแข็งแรงขึ้น แต่เมื่อเขาเพิ่มระดับทักษะเกราะมังกรไปมันกลับมิมีสิ่งใดเกิดขึ้น?
มิได้รู้สึกว่าร่างกายของตนแข็งแรง หรือมีพละกำลังเพิ่มขึ้นแม้แต่น้อย
จู่ๆก็มีความคิดปรากฏขึ้นในหัวของเขา
‘คงไม่ใช่ว่าเจ้าแก่นั่นหลอกเรานะ…’ หลินหยางคิดพลางหน้าซีด เพราะเขาพึ่งเสียค่าพิเศษที่ใช้สำหรับเพิ่มระดับทักษะไปฟรีๆถึงหนึ่งขั้นเลยทีเดียว
เขารีบปัดความคิดทิ้ง และลองเพ่งสมาธิไปที่ร่างกายของตน ผ่านไปกว่าสิบนาที เหงื่อผุดขึ้นบนใบหน้าเขามันไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้แต่น้อย!
หลินหยางลองหยิบดาบคู่กายขึ้นมาพลางเพ่งสมาธิใช้ทักษะลงไป และทดสอบฟันอากาศ ไม่นานเขาก็ยืนนิ่ง เพราะมันไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย….
เขายืนนิ่งอยู่นานจนสุดท้ายก็จนปัญญาเขาจึงเอาค่าทักษะที่ได้จากการเลื่อนระดับเพิ่มให้แก่ทักษะราชสีห์คำรามเสีย
‘ทักษะราชสีห์คำรามระดับ 3 ได้รับการเลื่อนเป็นระดับ 4 ขั้นที่ 1/10 เรียบร้อยแล้ว มีโอกาศทำให้ศัตรูสูญเสียการควบคุมตนเอง’
‘ทักษะราชสีห์คำรามระดับ 4 ได้รับการเลื่อนขั้น 2/10 เรียบร้อยแล้ว การใช้งานครั้งต่อไปจะทำให้ความรุนแรงเพิ่มขึ้น’
‘เฮ้อ’ หลินหยางถอนหายใจพลางส่ายหัวดูท่าเขาจะโดนหลอกเข้าเต็มเปา
——————————————————————————————————————
“ขอบคุณมาก” หลินหยางกล่าวแก่เทียนหนิงเจี้ยน
“ครับ” เทียนหนิงเจี้ยนตอบรับอย่างรวดเร็ว ตัวมันทำงานหนักไม่น้อยเลยทีเดียว หากไม่นับเรื่องการต่อสู้ตัวมันนับว่าทำงานหนักที่สุดภายในเมืองแห่งนี้เลยก็ว่าได้
เมื่อหลินหยางกำลังจะเดินจากไปเขาพลางนึกคิดขึ้นมาได้
‘เทียนหนิงเจี้ยน!’ หลินหยางหันตัวกลับอย่างรวดเร็วจ้องมองตรงไปที่เทียนหนิงเจี้ยน เพราะการบุกจู่โจมรังมดครานี้ส่วนหนึ่งก็มาจากตัวเทียนหนิงเจี้ยนเช่นกัน เพราะหลินหยางต้องการให้ตัวมันเพิ่มระดับขึ้นบ้างจะได้มิต้องเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางไกล
แต่เมื่อครู่เขาลืมนึกคิดไปเพราะตัวมันเป็นผู้จดบันทึกสำหรับทีมระยะใกล้และทีมจู่โจม ตัวมันที่มิได้สังกัดหน่วยใดๆจึงมิได้จดการเพิ่มระดับของตนลงไปด้วย
หลินหยางใช้ทักษะตาเหยี่ยวตรวจสอบเทียนหนิงเจี้ยนทันที
ชื่อ เทียนหนิงเจี้ยน เผ่า มนุษย์ อาชีพ ผู้เริ่มต้น
ระดับ 5
สถานะ
พลัง 1.4
ป้องกัน 1
ความเร็ว 1
วิญญาณ 1
ทักษะ –
คำอธิบาย : ร่างกายอ่อนแอขาดกล้ามเนื้อ
หลินหยางยิ้มรื่นนับว่าเทียนหนิงเจี้ยนมันเพิ่มระดับขึ้นมาไม่น้อยเลยทีเดียว แต่เมื่อเห็นคำอธิบายก็หัวเราะออกมา
เทียนหนิงเจี้ยนมันกำลังง้วนอยู่กับการเก็บโต๊ะและเอกสารที่มีไว้เพื่อจดบันทึก เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะมันหันไปมองต้นเสียงเห็นหลินหยางยืนจ้องมาที่มันยิ้มเยาะหัวเราะร่า มันที่มิทราบเรื่องราวจึงหัวเราะตามพลางยิ้มแห้ง
ช่วงเวลากลางดึก
หลินหยางที่กำลังเตรียมตัวจะเข้านอนด้วยความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า แต่ก็ยังมิสามารถนอนหลับได้เนื่องจากตอนนี้เหมยเหมยกำลังนั่งกอดเขาแน่น ซบใบหน้าลงบนอกคลุกคลีอยู่กับเขานานเลยทีเดียว คล้ายกับคนรักคลายความคิดถึงที่มิได้เจอะเจอคู่ของตนมานาน
หลินหยางที่มิทราบเหตุผลจึงลูบหัวพลางกอดปลอบโยนเธอเบาๆ เขาคิดว่าเธอคงคิดถึงครอบครัวจากโลกเดิมของเธอ..
ตอนที่ 140 ครื้นเครง
ณ เมืองหลินหยาง ช่วงเช้า
พวกเขากำลังนั่งกินดื่มกันอย่างครื่นเครง โดยเฉพาะทีมระยะใกล้และทีมจู่โจมที่หมายปองสตรีที่ตนแอบชอบ ล้วนบอกกล่าวเล่าวีรกรรมของตนภายในถ้ำมดกันอย่างแข็งขัน
“ข้าฆ่ามดไฟกว่ายี่สิบตัว ฮ่าๆ” ชายคนนึงกล่าวหัวเราะเสียงดัง พลางชำเลืองสายตามองไปยังสาวสวยคนนึงที่นั่งทานอาหารอยู่ไม่ไกล
“ข้าฆ่าไปสามสิบตัวโว้ย” ชายอีกคนที่หมายปองสาวสวยคนเดียวกันขัดขึ้นมาทันที
“ข้าฆ่ามดไฟระดับสี่ห้าตัว ฮ่าๆ” ชายอีกคนกล่าวขึ้นพลางกัดเนื้อคำโตจ้องมองไปยังอิสตรีที่มันหมายปองด้วยดวงตาเป็นมันวาววับ
หลินหยางมองชายทั้งสามและมองตามสายตาที่พวกมันจ้องมอง นั่นคือหรงเถียนเหยาพยาบาลสาวคนสวยที่รักษาอาการบาดเจ็บให้แก่พวกมันนั่นเอง
เมื่อเขาหันไปมอง หรงเถียนเหยาที่จ้องมาที่ตัวเขาหลบสายตาอย่างรวดเร็วพร้อมกับทานอาหารอย่างเขินอาย หลินหยางที่เห็นเช่นนั้นจึงสับสนงงงวยไปครู่นึงจึงหันมากินอาหารของตนเองต่อไป…
เมื่อโลกเก่าก่อนที่พวกเขาจะจากมาหลินหยางมิได้มีประสบการณ์เกี่ยวกับอิสตรีมากนัก เนื่องจากเขาต้องทำงานทั้งวันคืนจึงมิมีเวลาแบ่งไปสนใจเรื่องอื่น
เหล่าชายชาตรีเหล่านี้ล้วนบอกกล่าวศัตรูที่ตายลงภายตายคมดาบคมหอกของตน ตะเบ็งเสียงแข่งกันอย่างไม่ลดละ ส่งผลทำให้การทานอาหารเช้าที่ร่มรื่นสุขสบายเต็มไปด้วยเสียงของชายชาตรีคล้ายกับอยู่ในสนามรบก็มิปาน
หลินหยางส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ เขามิสามารถขัดขวางเรื่องราวความรักของผู้อื่นได้จึงปล่อยให้พวกมันเหล่านี้ตะโกนกันต่อไป
ช่วงสาย
หลินหยางส่งทีมสำรวจออกไปเพียงสิบคนเท่านั้น เนื่องจากเป็นการสำรวจเส้นทางสุดท้ายจึงมิได้คาดหวังอันใดมากนัก โดยส่งไปเพียงทีมจู่โจมหนึ่งทีมและเทียนหนิงเจี้ยนเท่านั้น
ส่วนตัวเขารวบรวมอาวุธที่เสียหาย นำส่งไปยังเมืองคนแคระเพื่อให้พวกเขาซ่อมแซมให้กลับมาใช้งานได้ดังเดิม
เมื่อกลับจากเมืองคนแคระเขาแวะไปยังสถานที่แหล่งอาหารของเขานั่นคือโพรงกระรอก พลางให้กำลังใจเหล่าเวรยามที่เฝ้าโพรงกระรอกกันอยู่
จากนั้นจึงแวะเวียนไปเยี่ยมเยียนหมู่บ้านเอลฟ์ทักทายเหล่าสหายภายใน และกลับเมืองของตนร่วมฝึกซ้อมการใช้อาวุธกับครูฝึกซิ่นก้ง และ ฝึกยิงธนูกับครูฝึกเหมยเหมย
โดยที่มีเหยี่ยวมรกตเจ็ดตัวเดินตามเป็นกระบวนแถว พวกมันเหล่านี้หากเทียบกับมารดาของมัน ร่างกายของพวกมันยังเล็กกว่ายิ่งนักจึงมิสามารถกระพรือปีกโบยบินไปบนท้องฟ้าได้ หลินหยางจึงมิได้ให้พวกมันตามติดออกไปนอกเมืองเพราะเกรงว่าจะเกิดอันตรายแก่พวกมัน หากสูญเสียเจ้าเขียวเจ็ดที่เป็นเพศเมียเพียงตัวเดียวที่สามารถวางไข่ได้หลินหยางต้องทุกข์ตรอมใจเป็นแน่…
ตกตอนเย็น
ทีมสำรวจกลับมาจากการสำรวจเส้นทางสุดท้าย เทียนหนิงเจี้ยนมารายงานผลการสำรวจให้แก่หลินหยาง ซึ่งเป็นไปดังคาดนั่นคือไม่พบสิ่งใดที่เป็นจุดน่าสนใจเลยแม้แต่น้อย มีเพียงเมืองที่มีผู้อาศัยและเมืองที่ร้างว่างเปล่าเท่านั้น
เขาจำเป็นต้องรออีกเดือนกว่าเลยทีเดียวจึงจะมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นอีกครา และมีเมืองใหม่รวมถึงแหล่งอาหารใหม่ๆผุดขึ้นมา จึงจะได้ส่งทีมสำรวจออกตรวจสอบบริเวณรอบๆอีกครั้ง
กลายเป็นว่าตอนนี้เขามิได้หวาดเกรงเมืองใหม่ๆเหล่านี้อีกต่อไป กลับนับวันรอคอยการเกิดแผ่นดินไหวก็มิปาน
เมื่อถึงช่วงเวลาอาหารภายในเมืองก็คึกคักครื้นเครงขึ้นมาอีกคราจากการแข่งขันของเหล่าชายชาตรีเหล่านี้…