ตอนที่ 187 เชื่องช้า
ชายชาตรีทั้งสิบคนเดินทางกันอย่างเชื่องช้ามิรวดเร็ว เพราะเป็นเวลากลางคืนแสงอาทิตย์ที่คอยสอดส่องให้ความสว่างจึงหายไปเหลือเพียงทิวทัศน์แห่งความมืดบดบังการมองเห็น
แม้หลินหยางจะมีทักษะดวงตาเหยี่ยวที่ช่วยเพิ่มระยะการมองเห็นของตนแต่กระนั้นก็สั้นกว่าตอนกลางวันยิ่งนัก พวกเขาจึงมิรีบเร่งเดินทางเน้นในเรื่องความปลอดภัยเป็นหลัก
พวกเขาเดินผ่านสถานที่ที่คุ้นเคยและแปลกใหม่ไปในตัว เนื่องจากในบริเวณรอบๆเมืองพวกเขาล้วนเคยเห็นใช้เส้นทางกันบ่อยๆจึงสามารถจดจำเมืองที่ตั้งอยู่ก่อนแล้วได้อย่างคุ้นตาแต่ตอนนี้มีเมืองใหม่ๆผุดขึ้นมาจากพื้นที่ว่าง ส่วนใหญ่เป็นเมืองมนุษย์คละกันไป
เมื่อเดินเข้าใกล้เมืองใหม่ๆเหล่านี้มักจะมีเสียงเอะอะโวยวายหรือพูดคุยกันเสียงดังออกมาให้ได้ยิน พวกมันก็ไม่ต่างจากเมืองของหลินหยางที่พึ่งมาถึงคิดถึงช่วงเวลานั้นพวกเขาก็ตะโกนกันโหวกเหวกเช่นกันเพราะยังไม่คุ้นชินกับสภาพแวดล้อมและยังมิปักใจเชื่อเรื่องราวที่ได้ฟังจากชายชรา
หลินหยางมิได้ให้ความสนใจแก่เมืองเหล่านี้นัก มุ่งหน้าไปต่อทำภารกิจของตนอย่างมิหยุดพักเนื่องจากมิได้เร่งรีบเดินทางจึงมิเหน็ดเหนื่อยกันมากนักรวมถึงสภาพอากาศหนาวเหน็บมิได้ร้อนแรงดังเช่นกันกลางวัน ร่างกายจึงมิทำงานหนักเกินไปคล้ายกับว่าพวกเขาเดินทางไกลคลายความหนาวเสียมากกว่า
ขบวนสำรวจเดินทางกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยชายฉกรรจ์ทั้งสิบต่างสอดส่องบริเวณโดยรอบเพื่อระวังภัยและเสาะหาจุดหมาย พวกเขามิได้พูดคุยส่งเสียงใดๆกันเลยแม้แต่น้อยการกระทำทั้งหมดใช้แทบมิส่งเสียงใดๆออกมาได้ยินเพียงเสียงย่ำเท้าเท่านั้น
สำหรับการเดินทางในตอนกลางคืนนี้พวกเขามิได้ให้ความสนใจกับเมืองอื่นๆ กลุ่มมนุษย์หรือเผ่าพันธ์อื่นมากนัก เพราะความมืดที่บดบังสายตาพวกเขาแน่นอนว่าคนกลุ่มอื่นก็ต้องเจอกับอุปสรรคความมืดนี้เช่นกัน
สิ่งที่น่ากลัวคือเหล่ามอนสเตอร์เพราะส่วนใหญ่มันเป็นสัตว์ที่ถูกวิวัฒนาการจนร่างกายผิดเพี้ยนไปจากสัตว์ที่พวกเขารู้จัก จึงมิทราบความสามารถทั้งหมดของพวกมัน
เวลาผ่านไปกว่าสองชั่วโมง ทีมสำรวจของหลินหยางเดินทางไปได้เพียงยี่สิบกิโลเท่านั้น แต่นั้นมิใช่ปัญหาหากแลกมาด้วยความปลอดภัยสบายใจ แต่ที่น่าเป็นห่วงคือพวกเขาเดินมากว่าครึ่งทางแล้วยังมิเจอแหล่งอาหารที่ตนต้องการเลย หากครั้งนี้พวกเขาไม่เจอแหล่งอาหารคงต้องแย่จริงๆเสียแล้วเพราะตอนนี้อาหารที่มีอยู่ไม่เพียงพอต่อความต้องการ
โพรงกระรอกและปลาในแหล่งน้ำนั้นตามปกติพวกเขาแบ่งปันกันทั้งสามเมืองนั่นคือเมืองหลินหยางที่มีประชากรมากกว่าสามร้อยคน
หมู่บ้านเอลฟ์มีประชากรเอลฟ์กว่าร้อยตน
และเมืองคนแคระที่มีคนแคระห้าสิบคนเหล่าคนแคระตามเดิมนั้นมิมีอาหารเพื่อประทังชีวิต แม้จะมีสุราให้ดื่มกินอยู่ตลอดเวลาแต่มันมิสามารถประทังความหิวลงได้ หลินหยางจึงแบ่งเสบียงให้พวกเขาส่วนหนึ่งด้วยร่างกายที่มิใหญ่โตทำให้พวกเขากินเพียงเล็กน้อยก็สามารถอิ่มท้องได้จึงมิได้สิ้นเปลืองนัก
ตอนนี้มีเมืองของฉางเปาเพิ่มขึ้นมาด้วยจำนวนคนกว่าเก้าสิบคนประมาณอาหารที่กินดื่มในแต่ละวันจึงไม่น้อยเลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้จึงเกินขอบเขตอาหารที่ได้รับมาแต่ละวัน
ตอนนี้เมืองของหลินหยางต้องเอาเสบียงฉุกเฉินมาคอยเติมเต็มส่วนที่ขาดอยู่ทุกวันหากเป็นแบบนี้ต่อไปพวกเขาคงแก้ขัดไปได้อีกเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น เพราะฉะนั้นการหาแหล่งอาหารจุดใหม่ครั้งนี้นับว่าสำคัญยิ่งนัก
ตอนที่ 188 ความหวัง
ยิ่งมายิ่งกดดันยิ่งเดินต่อยิ่งห่างไกลขึ้นไปเรื่อยๆ ตอนนี้ขบวนเดินทางสำรวจของหลินหยางเดินออกห่างไกลเมืองของตนเกือบสี่สิบกิโลแล้วยังมิพบเจอสิ่งใดที่จะสามารถสร้างประโยชน์ให้แก่เมืองของเขาได้เลย หลินหยางเคร่งเครียดไม่น้อยแต่ก็ยังมุ่งหน้าเดินทางต่ออย่างไม่ลดละหวังจะเจอสิ่งที่ตนต้องการ
ตอนนี้เวลาราวเที่ยงคืนบรรยากาศหนาวเหน็บยิ่งนัก เนื่องจากพวกเขามิได้มีเสื้อผ้ามากมายนักชุดที่สวมใส่เพียงทำให้ร่างกายอบอุ่นได้เล็กน้อย ทีมสำรวจจึงพากันวิ่งเยาะๆขยับแขนขาเพื่อสร้างความอบอุ่นให้แก่ร่างกายของตนด้วยเหตุนี้จึงทำให้การเดินทางไวขึ้นเล็กน้อย
ไม่นานก็ถึงจุดสิ้นสุดห้าสิบกิโลดังที่ตั้งเป้าผลลัพธ์นับว่าน่าผิดหวังเพราะหลินหยางมิเจอสิ่งใดเลยทั้งแหล่งอาหารแหล่งน้ำ จึงส่ายหัวถอนหายใจพลางเดินทางกลับเมืองกันอย่างคอตก
การเดินทางกลับรวดเร็วกว่าขามานั่นเพราะมิต้องสอดส่องสังเกตุบริเวณโดยรอบอีกต่อไป มุ่งตรงกลับเมืองของตนอย่างเต็มกำลังพวกเขาจึงวิ่งกันอย่างรวดเร็ว
‘หืม’ ตอนนั้นเองจู่ๆหลินหยางก็มองเห็นชายคนหนึ่งวิ่งตรงเข้ามาหาเขาจากที่ไกลๆมันวิ่งมุ่งตรงมายังขบวนสำรวจของเขา เมื่อวิ่งเข้ามาได้ระยะจนสามารถเห็นหน้าตาได้อย่างชัดเจนหลินหยางยิ้มขึ้นทันที
เพราะมันคือมนุษย์หมาป่าผู้สังกัดในทีมจู่โจมแต่มิใช่เพราะหลินหยางเห็นคนที่คุ้นเคย แต่เป็นเพราะมนุษย์หมาป่าหนุ่มตนนี้คือมนุษย์หมาป่าที่ได้รับมอบหมายให้คอยเฝ้าอยู่ที่เมืองเพื่อรับข่าวสารจากทีมสำรวจแต่ละทีมและเมื่อได้รับข่าวสารมันก็จะไปส่งข่าวเรียกตัวทีมอื่นๆกลับไป
เพราะมนุษย์หมาป่านั้นมีความสามารถดั้งเดิมติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดนั้นคือความคล่องแคล่วว่องไว การวิ่งส่งข่าวที่ต้องการความรวดเร็วเช่นนี้จึงตกเป็นหน้าที่ของพวกเขา
หลินหยางล้วนคัดเลือกผู้ที่มีระดับสูงที่สุดในหมู่พวกเขาจากทีมจู่โจมผู้ที่มีระดับสูงสุดคือระดับสี่และห้า ส่วนทีมระยะใกล้นั้นพวกเขามีระดับแปดและเก้าและลงสถานะทั้งหมดไปที่ความเร็ว การวิ่งมาส่งข่าวครั้งนี้พวกเขาจึงไม่ต่างกับม้าเร็ว
เมื่อหลินหยางเห็นมันวิ่งมาคนเดียวเช่นนี้แสดงว่าทีมสำรวจทีมใดทีมหนึ่งต้องพบเจอบางอย่างเป็นแน่!
มนุษย์หมาป่าหนุ่มวิ่งมาจากไกลมันเห็นกลุ่มคนเดินเรียงกันอยู่ ตัวมันหยุดฝีเท้าทันทีพลางเดินอ้อมใช้สายตาจ้องเขม็งมองไปยังคนกลุ่มนั้น ตัวมันที่ยังไม่สามารถจำแนกคนกลุ่มตรงหน้าได้ว่าเป็นมิตรหรือศัตรูจึงหยุดมอง หากเป็นศัตรูจะได้หันตัววิ่งหนีกลับไปได้ทันท่วงที เมื่อเห็นหน้าค่าตาชัดเจนว่าเป็นคนที่มันคุ้นเคยมันจึงวิ่งเข้ามาต่อ
หลินหยางและพวกที่เห็นท่าทีของมันก็อดกลั้นขำหัวเราะไม่ได้ ที่มันระวังตัวแบบนี้นับว่าเป็นเรื่องดียิ่งนัก แต่ท่าทางของมันที่แสดงออกตื่นตกใจชวนให้ตลกขบขัน
“พี่หยาง” มนุษย์หมาป่าตะโกนเรียกแต่ไกล
“เป็นไงเจอแล้วใช่ไหม” หลินหยางกล่าวถามอย่างตื่นเต้น
“ใช่ครับทีมสำรวจที่เจ็ดเจอแหล่งอาหารแล้ว” มนุษย์หมาป่าหนุ่มกล่าว
“เยี่ยมรีบไปกันเถอะ” หลินหยางกล่าวอย่างตื่นเต้นไม่รอช้ารีบออกตัววิ่งกลับเมืองทันทีเพื่อไปสมทบกับทีมอื่นๆ