ตอนที่ 361 นายท่าน
หลินหยางยืนอยู่หน้ากลุ่มคนที่คละเผ่าพันธุ์
“ก่อนอื่นผมชื่อหลินหยาง เลิกเรียกผมว่านายท่านเสียที” เขากล่าว คำที่พวกมันใช้แทนตัวเขานี้ฟังทีไรทำให้เขาอดขนลุกมิได้
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปพวกคุณและผมคือพลเมือง เมืองเดียวกันไม่แบ่งแยกสูงต่ำดำขาว ใครมีคำถามสามารถถามมาได้เลย” หลินหยางกล่าวต่อหน้าฝูงชน
พวกมันทั้งหมดมิมีใครเปิดปากกล่าวอันใดออกมาเลยแม้เพียงนิด
เขาเดินนำทีมแหวกฝูงชนเข้าไปในเมืองมนุษย์กิ้งก่าทันที
ภายในเมืองมนุษย์กิ้งก่า
ตอนนี้คนอื่นๆกำลังรวบรวมสิ่งของภายในเมืองกันอย่างขมักเขม่น พวกเขาเสาะหาทุกสิ่งที่สามารถใช้ประโยชน์จากมันได้ แม้แต่หญ้าแห้ง เศษผ้า หรือแม้แต่กิ่งไม้ก็ไม่เว้น
สิ่งของเหล่านี้ยังสามารถนำไปก่อกองไฟคลายความหนาวเหน็บ รวมถึงทำอาหารปรุงสุกได้ด้วย
แซะ~
มือของหลินหยางข้างหนึ่งจมลงไปในกำแพงเถาวัลย์ที่ปกคลุมไปด้วยหญ้า เขากำลังสำรวจกำแพงเมืองที่แปลกประหลาดนี้อยู่
เป็นดังที่เขาคิดมันมิได้มีความแข็งแรงคงทนอันใดเลย แต่มันมีข้อดีคือความยืดหยุดของเถาวัลย์และหญ้าที่ปกคลุมมันไว้ แต่มันก็คงใช้ป้องกันการโจมตีจากเมืองอื่นมิได้
ส่วนล่างของกำแพงมีประตูเหล็กขนาดสองเมตรทอดยาวจนสุดปลายขอบ มันมีทั้งสิ้นห้าสิบบานด้วยกันนั่นคือจำนวนมนุษย์กิ้งก่าพลเมืองดั้งเดิมของเมืองแห่งนี้ มันคือประตูปริศนา เป็นสิ่งที่แรกต้องพบเจอหลังจากเข้าประตูสวรรค์มา
สำหรับประตูปริศนานี้ในเมืองของเขานั้นถูกรื้อออกมาเชื่อมทำประตูเมืองขนาดใหญ่ไปแล้ว มันมีความหนามากกว่าโล่เหล็กถึงสามเท่า ทำให้มันมีน้ำหนักมาก สร้างความลำบากในการเคลื่อนย้าย
“พี่หยาง พวกเรารวบรวมของทั้งหมดมาแล้วครับ” จิ่นเหอมารายงานผล
มองไปยังกลางเมืองคนกว่าร้อยสี่สิบชีวิตยืนรวมกันอย่างแออัด
พวกเขาใช่เวลาเพียงชั่วครู่ก็สำรวจทุกซอกทุกมุมของเมืองแห่งนี้ได้อย่างรวดเร็วเพราะจำนวนคนที่มากเกินไปนี่เอง
บนแผ่นหลังของบางคนมีสิ่งของพาดอยู่ บ้างก็มัดติดไว้กับตนเอง เป็นสิ่งของที่รวบรวมมาจากเมืองมนุษย์ก่อนน้าอีกด้วย แต่ด้วยจำนวนคนขนาดนี้ บางคนยังมิได้ถือจับอะไร เพราะมิมีสิ่งใดให้ค้นหาอีกต่อไป
สำหรับเมืองใหม่นี้ไม่มีของอะไรที่สามารถใช้ประโยชน์ได้มากนักนอกจากสิ่งที่ได้รับมาจากห้องปริศนา ล้วนแล้วแต่เป็นน้ำ อาหารแห้ง เสื้อ กางเกง อาวุธที่ใหม่เอี่ยม แต่ก็มิได้มีมากนัก
หากพวกเขาโลภมากหน่อยก็นำออกมาจากห้องปริศนาได้มากเท่าที่จะขนได้ แต่ก็คงมิมีใครทราบว่าหลังจากออกมาแล้วจะพบเจอกับการเอาชีวิตรอดที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนเช่นนี้
หลินหยางเองก็เช่นกัน หากเขารู้ก่อนคงนำของทั้งหมดในห้องออกมาจนสิ้น น่าเสียดายเมื่อออกมาแล้วมิสามารถกลับเข้าไปได้อีกเป็นครั้งที่สอง..
“โอเค ออกเดินทางได้” หลินหยางมิรอช้ามุ่งหน้านำคนมากกว่าร้อยชีวิตมุ่งตรงสู่เมืองมนุษย์ที่บัดนี้กลายเป็นสุสานร้างทันที เพื่อไปสมทบกับเผ่ามนุษย์หมาป่าตามนัดหมาย
ตอนที่ 362 สองคน
การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นมิช้ามิเร็ว มีเสียงพูดคุยกันอยู่ตลอดเวลา มนุษย์กิ้งก่าเหล่านี้ล้วนมีมากมายหลายคำถาม พวกมันและคนของหลินหยางล้วนพูดคุยโต้ตอบกันไปมา คำถามส่วนใหญ่คือเรื่องเมืองที่พวกมันกำลังจะอพยพไปปักหลักอาศัยอยู่
มนุษย์กิ้งก่าเด็กและสตรีบางตนยังคงหวาดกลัวต่อการกระทำที่หลินหยางทำกับผู้นำเมืองมนุษย์ เมื่อหลินหยางหันกลับไปมองทีไรมนุษย์กิ้งก่าเหล่านี้ล้วนหลบหน้าก้มมองพื้นบิดเบือนสายตาทันควัน
เห็นเช่นนั้นเขาก็ทำได้เพียงส่ายหัว การปกครองผู้คนด้วยกำลังสร้างความหวาดกลัวนั้นมิเป็นผลดีกับทั้งสองฝ่าย คงต้องให้เวลาเป็นตัวอธิบายทุกสิ่ง เมื่อพวกมันอยู่กับเขาจนรู้ลักษณะนิสัยก็คงจะเลิกหวาดกลัวกันไปเอง
แม้จะย้อนเวลากลับไปได้เขาก็คงจะทำเช่นเดิมกับผู้นำเมืองมนุษย์ เขามิสามารถให้คนเช่นมันมาอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกันได้
ณ เมืองพันธมิตรมนุษย์
ในที่สุดพวกเขาก็เดินทางมาถึงจุดหมายแล้ว แต่ทว่าพวกเขากลับนั่งลงบนพื้นหญ้าอยู่ตรงหน้าเมือง มิมีแม้แต่คนเดียวที่จะเข้าไปภายในเมืองแห่งนี้ เพราะบรรยากาศภายในเมืองนั้นมันชวนให้หดหู่ใจอย่างเลี่ยงมิได้
หากต้องนั่งมองศพผู้เสียชีวิตที่มิมีร่างครบสามสิบสอง หรือแม้แต่เหลือเพียงกระดูก พวกเขายอมนั่งในที่โล่งรับลมหนาวตรงหน้าเมืองเสียดีกว่า
มีเสียงพูดคุยจอแจกันมิหยุดปาก ทำให้บรรยากาศกลับมาสดใสดังเดิม
ผ่านไปราวสามสิบนาที
หลินหยางเห็นกลุ่มคนเดินมาจากระยะไกล พวกมันคือเมืองมนุษย์หมาป่า ในที่สุดพลเมืองทั้งหมดจากพันธมิตรสามเผ่าพันธุ์บัดนี้ก็มารวบตัวกันเป็นที่เรียบร้อย
มนุษย์หมาป่าจากเดินมาจากเมืองของตนพร้อมกับขนข้าวของพะรุงพะรังติดตัวมา มนุษย์หมาป่าจากเมืองแห่งนี้มีประชากรเหลือรอดทั้งหมดสี่สิบห้าตน พวกเขาเดินเกาะกลุ่มกันอยู่โดยมีทีมจู่โจมที่หนึ่งนำโดยเจียวฮั่นกระจายกำลังคอยคุ้มกันอยู่รอบๆ
“พี่หยาง เอ่อ..” จู่ๆชายชาวมนุษย์คนหนึ่งกล่าวออกมา
มันเดินเข้ามาหาหลินหยางพร้อมกับชายอีกหนึ่งคน พวกมันคือผู้เหลือรอดที่เหลือเพียงสามคนรวมถึงผู้นำมนุษย์ที่ถูกเนรเทศออกไป
หลังจากที่หลินหยางมิให้พวกมันเรียกแทนเขาว่านายท่านหรืออะไรก็แล้วแต่ที่ฟังดูแล้วชวนขนลุก เมื่อได้ฟังคำเรียกขานของทีมระยะใกล้และทีมจู่โจมที่มีต่อหลินหยาง พวกมันจึงพร้อมใจเรียกพี่หยางแทน ซึ่งแทนตัวตนหลินหยางเป็นพี่ใหญ่ของพวกมัน
หลินหยางเมื่อถูกเรียกเช่นนี้เขาเองก็กระอักกระอ่วนใจเช่นกัน
แม้แต่ผู้ที่มีอายุวัยกลางคนก็ยังเรียกเขาว่าพี่ใหญ่ หากนับดูอายุของเขาแล้วมันจึงฟังดูแปลกยิ่งนักที่คนอายุมากกว่าตนมาเรียกตนเช่นนี้ โชคดีที่คนชรานั้นมิเรียกเขาว่าพี่ไปด้วย…
“มีอะไรหรอ?” หลินหยางถามอย่างสงสัย
“ผมไม่ทราบว่าควรจะบอกพี่ไหม” ชายคนนั้นกล่าว
“เรื่องอะไรล่ะ” ยิ่งมันพูดเช่นนี้เปลวไฟแห่งความสงสัยจึงถูกจุดประกายขึ้นมา
“คือว่า..พึ่งมีเสียงดังขึ้นมาในหัวของพวกเรา ข้อความนั้นคือเมืองของพวกเราเหลือสมาชิกเพียงสองคน…” ชายอีกคนกล่าวรายละเอียด