ตอนที่ 37 ผู้เริ่มต้น(ตอนต้น)
หลินหยางขมวดคิ้ว ชายหนุ่มอยากปรี่เข้าไปเพื่อสำรวจเมืองนี้ใจจะขาดแต่เกรงว่าในยามราตรีเช่นนี้คงมิเหมาะสักเท่าไหร่ หลินหยางแหงนมอง’เทพเจ้า’ลอยลับดับสายตาพร้อมความวิตกกังวลในจิตใจ หากสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างที่ตนคิดแน่นอนว่าสถานการณ์มันคงจะเลวร้ายอย่างมิต้องสงสัยเพราะอย่างน้อยๆที่เขาเห็นแสงสว่างทั้งหลายรวมแล้วไม่ต่ำกว่าร้อยแห่งและนั่นก็หมายความถึงการปรากฏตัวของเมืองใหม่ร่วมร้อยเมืองเช่นกันและจำนวนพวกนี้คือจำนวนคร่าวๆที่อยู๋ในละแวกใกล้เคียงกับเมืองของตนยังมิได้นับรวมแสงอื่นๆที่ใกล้โพ้นสุดสายตา
หากพวกเขาเป็นดังเช่นเหล่าเอลฟ์ผู้รักสงบก็ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่ แต่ถ้าเมืองเหล่านี้มีผู้นำดังเช่นเจียวจ้านมนุษย์หมาป่าผู้กระหายสงครามเขาคงยิ้มไม่ออกแน่
หลินหยางรุดเร่งกลับเมืองบอกข่าวคราวสิ่งที่ตนเจอให้แก่พลเมืองที่กำลังร้อนใจ ปฏิกิริยาตอบรับกับสิ่งที่พวกมันได้ยินไม่ต่างไปจากหลินหยางมากนัก พวกเขาล้วนกังวลถึงความปลอดภัยและระแวงถึงภัยอันตรายที่อาจจะมากขั้นตามไปด้วย
คืนนี้หลินหยางจึงเพิ่มเวรยามมากกว่าเดิมเป็นสองเท่าเผื่อเฝ้าระวังเหตุการณ์ไม่คาดคิด
“พี่หยางพี่กังวลอะไรหรอ” เหมยเหมยที่นอนเคียงข้างเมื่อเห็นหลินหยางมีสีหน้ากังวลจึงถามออกไป
“ไม่มีอะไร เหมยน้อยนอนเถอะ” หลินหยางเมื่อรู้ตัวว่าทำให้เหมยเหมยตื่นเขาจึงเลิกคิดฟุ้งซ่านและหลับไป เพราะยังไงพรุ้งนี้พวกเขาก็ได้ไขข้อข้องใจเองถึงตอนนี้จะคิดไปก็ป่วยการ เขาจึงนอนพักเอาแรงดีกว่า
ตอนเช้า
ตอนนี้หลินหยางและทีมระยะใกล้ครึ่งนึงกำลังจัดเตรียม โดยมีความตั้งใจที่จะย้อนกลับตรวจสอบเมืองที่เจอเมื่อวาน
หลินหยางพาทีมระยะประชิดไปทั้งหมด ซึ่งตอนนี้พวกเขาทั้งสิบเจ็ดคนมีระดับสามอยู่สี่และที่เหลือล้วนมีระดับสี่ ส่วนตัวเขาเองก็ระดับเก้าหากเกิดการปะทะเขามั่นใจว่าแม้จะไม่สามารถต่อสู้ได้ ก็สามารถถอยได้อย่างปลอดภัย
พวกเขาเดินเข้ามาใกล้เมืองเป้าหมายและหยุดอยู่ทางเข้าเมือง เมืองนี้เหมือนกับเมืองของเขาตอนที่มาโลกนี้เพราะมันเป็นเมืองขนาดสนามฟุตบอลและมีต้นไม้ล้อมรอบเป็นกำแพงตามธรรมชาติ แต่เมืองของเขานั้นตอนนี้ต้นไม้ถูกโค่นลงไปหมดแล้วแทนที่ด้วยกำแพงเมืองที่แข็งแกร่ง
“สวัสดีมีใครอยู่ข้างในไหม” หลินหยางร้องเรียก
“ใครน่ะ” มีเสียงคนตะโกนกลับมาจากภายในเมือง
แอ๊ดด~~
ประตูเมืองค่อยๆเปิดออกมาอย่างช้าๆ
เมื่อมองเห็นภายในหลินหยางก็ต้องแปลกใจเพราะผู้คนภายในเมืองแห่งนี้มีแต่ผู้ชายทั้งสิ้นไม่มีผู้หญิงแม้แต่คนเดียวและตอนนี้พวกมันก็กำลังถืออาวุธครบมือยืนล้อมรอบชายหนุ่ม
“เด็กน้อยนายชื่ออะไร” ชายคนนึงเอ่ยถามหลินหยาง
“ผมชื่อหลินหยาง พวกคุณคงจะผ่านประตูเข้ามาใช่ไหม” หลินหยางถาม
“พวกนายก็ผ่านเข้าประตูสวรรค์มาเหมือนกันหรอ” ชายคนนั้นตอบถามด้วยความสงสัย
“ว่าแต่นี่นายเป็นคนจีนใช่ไหม” ชายคนนั้นถามต่อ
“ใช่ครับ” หลินหยางพอจะเดาได้ ทั้งรูปร่างหน้าตาก็พอจะบ่งบอกเชื้อชาติและมีเพียงประเทศจีนของเขาที่เรียกประตูยักษ์ว่าประตูสวรรค์ ถึงแม้เข้ามาแล้วมันจะกลายเป็นนรกก็เถอะ
“เมืองของผมอยู่ทางนั้นห่างออกไปประมาณหนึ่งกิโล หากมีเรื่องอะไรก็สามารถไปหาพวกผมได้” หลินหยางกล่าวกับเขา ยังไงเขาก็เป็นคนชาติเดียวกันแถมยังเป็นเผ่ามนุษย์ สร้างสัมพันธุ์ผูกมิตรไว้ก็มิเสียหาย
หลินหยางมองดูผู้คนภายในเมืองแห่งนี้ ร่างกายพวกเขากำยำแข็งแรงเป็นคนหนุ่มอายุยี่สิบถึงสามสิบปีทั้งสิ้นซึ่งแตกต่างจากเมืองของเขาที่มีทั้งเด็กและคนชรา
เขาใช้ทักษะตาเหยี่ยวตรวจสอบชายตรงหน้า
ชื่อ เมิ่งโจว เผ่า มนุษย์
ระดับ 1
สถานะ
พลัง 1
ป้องกัน 1
ความเร็ว 1
วิญญาณ 1
ทักษะ
คำอธิบาย : พละกำลังสูงและเชี่ยวชาญการใช้อาวุธ
เมื่อตรวจสอบคนอื่นๆ พวกเขากลับมีบางอย่างที่เหมือนกัน
นั่นคือ พละกำลังสูงและเชี่ยวชาญการใช้อาวุธ
ตอนที่ 38 ผู้เริ่มต้น(ตอนกลาง)
หลินหยางยังพูดคุยกับคนภายในเมืองใหม่ เขาเล่ารายละเอียดต่างๆทั้ง สัตว์ประหลาด อาหาร รวมถึงเผ่าพันธุ์ที่พบเจอ
พวกมันต่างมองหลินหยางราวกับมองคนบ้าพลางยิ้มเยาะ ซึ่งหลินหยางก็มิได้สนใจยังคงเล่ารายละเอียดที่พวกเขาจำเป็นต้องทราบเพราะซักวันพวกเขาต้องได้เจอกับตัวเองอยู่ดี
หลังจากได้พูดคุยกับพวกเขาหลินหยางจึงรู้ว่าพวกเขาทั้งหมดเป็นทหาร พวกเขาเข้าประตูสวรรค์พร้อมกันหลังจากประตูเปิดได้สามวันตามคำสั่งของผู้บัญชาการเพื่อหาข้อมูล แต่พวกเขากลับไม่ทราบว่าภายในประตูจะเป็นสถานที่เช่นนี้ มิสามารถกลับออกไปได้
‘3 วัน? นั่นมันวันเดียวกับที่เราเข้ามานี่ แต่เราอยู่ที่นี่มาสามเดือนแล้ว ทำไมทหารพวกนี้ถึงพึ่งมา’ หลินหยางสับสน
“ผมก็เข้ามาเมื่อวันที่สามเช่นกัน ผมมาอยู่ที่นี่ได้กว่าสามเดือนแล้ว” หลินหยางกล่าว
“จริงดิ!! ฮ่าๆ” พลทหารหลายคนแสร้งอุทานออกมา มองหลินหยางราวกับตัวตลก
“ชิห์ ไอพวกนี้หากไม่เห็นโลงศพคงไม่หลั่งน้ำตา” จิ่นเหอสบถ
“ผมเข้ามาตอนวันที่ xx เวลา xx” นายทหารเมิ่งโจวที่กล่าวกับหลินหยางพลางยิ้ม
‘นั่นมันหลังจากเราเข้ามา 6 ชั่วโมงเองนี่ หรือว่า’ หลินหยางคิดพลางนึกถึงคำพูดของชายชราที่พบเจอหลังเข้าประตู
‘เวลาในที่แห่งนี้หนึ่งปีเท่ากับโลกที่พวกเจ้าจากมาหนึ่งวัน’
‘แบบนี้นี่เอง’ หลินหยางเริ่มเข้าใจ หากเป็นเช่นนี้คงมีคนที่เข้ามาเมื่อประตูเปิดวันแรกเป็นแน่ แสดงว่าพวกเขาเหล่านั้นอยู่ที่โลกแห่งนี้ได้กว่า 3 ปีแล้ว
ไม่นานหลินหยางและพักพวกก็พากันขอตัวลา เนื่องจากมีเมืองอีกเกือบสิบเมืองที่อยู่ระแวกเดียวกันกับเมืองของเขา เขาจึงต้องตรวจสอบ สอดแนมและผูกมิตรไว้หากสามารถเลือกได้เป็นมิตรย่อมดีกว่าศัตรู การต่อสู้รังแต่จะทำให้เกิดการสูญเสีย
พวกเขาเริ่่มไปยังเมืองอื่นต่อพวกเขาเจอทั้งมนุษย์ เอลฟ์ มนุษย์หมาป่า ซึ่งเริ่มมีจุดสังเกตุให้เห็นเพราะเมืองที่พวกมันอยู่คล้ายกับเมืองที่เขาเคยเห็น เมืองมนุษย์มีต้นไม้ล้อมรอบ เมืองเอลฟ์เป็นต้นไม้ใหญ่ยักษ์ ส่วนเมืองของมนุษย์หมาป่ามีหินล้อมกรอบ
เห็นเช่นนี้มันราวกับว่าเมืองที่พวกเขาอยู่มีไว้เพื่อระบุเผ่าพันธุ์ของพลเมืองก็มิปาน
ผลจากการสำรวจรอบๆเมืองของเขา มีเกือบสิบเมืองมีเมืองมนุษย์อยู่แค่เมืองเดียวเท่านั้น มีแต่เมืองเอลฟ์และมนุษย์หมาป่าหลินหยางยังมิได้เข้าไปเยี่ยมเยือนพวกเขา เขาคิดว่าให้คนเผ่าพันธุ์เดียวกันมาด้วยพวกเขาน่าจะรู้สึกปลอดภัยกว่า
ตอนนี้หลินหยางจากออกมาไกลจากตัวเมืองของตนพอสมควรและด้วยสถานที่ปัจจุบันอยู่ห่างจากแหล่งน้ำที่เขาเป็นผู้ครอบครองไม่ไกล เขาจึงตั้งใจจะไปจับปลาเพื่อนำกลับไปเป็นของฝากพลเมืองเพราะเหตุการณ์เมื่อคืนหลินหยางจึงมิได้ให้เหล่าทีมก่อสร้างออกมาจับปลาตามปกติเพราะเกรงว่าจะเกิดเหตุร้าย
เมื่อมาถึงแหล่งน้ำหลินหยางก็ต้องขมวดคิ้ว เพราะรอบๆคลองน้ำมีเหล่าเอลฟ์และมนุษย์หมาป่าอยู่สองกลุ่ม
พวกมันกำลังคุมเชิงกันอยู่ยังมิได้ต่อสู้ราวกับว่าต้องการจะเป็นผู้ครอบครองแหล่งน้ำแห่งนี้
“เห้ยๆ พวกแกทำอะไร” หลิ่วไห่ผู้ถือครองทักษะหลอมไฟกล่าวขึ้น
“เจ้ามนุษย์พวกเจ้าก็คิดแย่งแหล่งน้ำนี่ไปจากเรารึ” ผู้นำมนุษย์หมาป่ากลุ่มนั้นกล่าวขึ้น
“ใครจะแย่งกับแก พวกข้าต่างหากที่เป็นเจ้าของคลองน้ำแห่งนี้” หลิ่วไห่ตะโกนตอบโต้
“หึ เจ้ามนุษย์ผู้นี้ช่างไร้ยางอาย เห็นๆอยู่ว่าเจ้าพึ่งมาถึงแหล่งน้ำนี่จะเป็นของเจ้าไปได้ยังไง พวกข้าต่างหากที่มาถึงก่อนแต่เจ้าพวกเอลฟ์หน้าไม่อายพวกนี้กลับจะมาแย่งไป” ผู้นำมนุษย์หมาป่ากล่าวพลางจ้องมองเหล่าเอลฟ์ด้วยความโกรธ
“#^&*#@” หลิ่วไห่ตอนนี้เส้นเลือดบนหน้าผากของเขาปูดโปน หากเขาได้ตบกะบาลเจ้าหมาป่าอวดดีตัวนี้สักป๊าบคงจะดีไม่น้อย