ตอนที่ 700 สมรภูมิทำลายล้าง(ตอนกลาง)
“พวกเขากำลังจะทำอะไร ผู้นำหน่วยสอดแนมคิดในใจ
ในสายตาของมันบัดนี้ทัพเหลืองได้ถอยร่นอย่างช้าๆเน้นการป้องกันเป็นหลักโดยมีทัพหลวงปีศาจโจมตีด้วยอาวุธระยะไกลจากภาคพื้นดินคอยสนับสนุน นั่นก็แสดงว่านี่มิใช่การตัดสินใจของแม่ทัพน้อยู่เฉินผู้นำแห่งทัพวายุเพียงลำพังอย่างแน่นอน บางทีอาจจะเป็นคำสั่งถอยทัพจากผู้บัญชาการทหารสูงสุดอย่างแม่ทัพจ่อหมิง
ขบวนทัพแนวป้องกันสำหรับการต่อสู้ทางอากาศนั้นเรียบง่ายและมีประสิทธิภาพสูงและแทบจะไร้ช่องโหว่อสูรสัตว์ปีกตัวเล็กใหญ่น่าเกรงขามที่เชื่อมั่นในศักยภาพของตนนับร้อยตัวมิอาจฝ่าพลังลมกรรโชกเสียดแทงผิวหนังและต้านแรงผลักดันเข้าไปใกล้หน่วยรบนี้ได้เลย แต่การจะสร้างคลื่นลมรุนแรงเช่นนี้ย่อมต้องใช้พลังงานสูงแต่มิเป็นปัญหาสำหรับทัพที่มีขนาดใหญ่ พวกมันสลับสับเปลี่ยนตัวคอยเติมเต็มพลังที่ขาดหายให้แก่กันและกัน
ตอนนี้เหล่าหน่วยย่อยผู้รอรับการรักษาล้วนแหงนมองท้องฟ้าด้วยใจระทึกส่งเสียงเชียร์ส่งแรงใจกันเต็มที่แม้พวกมันจะไม่ทราบถึงเหตุผลก็ตามที
ทัพเหลืองใช้เวลากว่ายี่สิบนาทีเพื่อถอยทัพกลับ ในที่สุดพวกมันก็ทำสำเร็จตอนนี้พวกมันอยู่บริเวณแถบชายแดนป่าอสูรซึ่งนับว่าเป็นอาณาเขตของเผ่าปีศาจแล้ว
ฟื้ววะ
ฟุบ!
ห่าฝนธนู หน้าไม้ หอกหรือแม้กระทั่งลูกหินนับหมื่นดอกพุ่งขึ้นฟ้าอย่างหนักหน่วงไม่เว้นพักจากนักรบทมิฬกองทัพหลักที่เปิดฉากโจมตีเต็มกำลัง สกัดกั้นอสูรสัตว์ปีกที่เข้าโรมรันไม่ปล่อยให้ทัพเหลืองได้ถอยกลับไปอย่างราบรื่น ขับไล่อสูรร้ายพวกนี้มิให้เข้าใกล้ทัพเหลืองได้สำเร็จ
แม้การโจมตีจากเบื้องล่างต่อต้านทัพอากาศด้วยอาวุธระยะไกลจะไม่รุนแรงมากนักเนื่องจากระดับความสูงและต้องต่อสู้กับแรงโน้มถ่วง แต่ด้วยพลังกายของเผ่าปีศาจมันก็ยังมีพลังการโจมตีมากพอจะเจาะผิวหนังของสัตว์อสูรแม้จะไม่ลึกมากก็ตามที แต่ด้วยจำนวนที่มีมากหลายหมื่นไม่ต้องสงสัยเลยว่าร่างกายของพวกมันต้องพรุนเป็นรังผึ้งอย่างแน่นอน อสูรสัตว์ปีกจึงจำยอมรักษาระยะห่างเอาไว้เพื่อความปลอดภัยในชีวิตของตนเอง
ทัพเหลืองกระจายกำลังเรียงแถวหน้ากระดานตามแนวชายแดนสร้างแนวป้องกันที่ทับซ้อนกันหลายแถวขึ้นมา
ปิ้ววว
มีสัญญาณเสียงดังแว่วมาแต่ไกล จับต้นชนปลายหาต้นกำเนิดเสียงดูเหมือนจะมาจากกำแพงเมืองที่ห่างออกไปหลายกิโลเมตร
ทางปีกซ้ายกองทัพปีศาจมีการมีหนึ่งกองกำลังตอบสนองต่อสัญญาณทางทหาร ทัพกว่าหนึ่งแสนนายกระพือปีกอย่างพร้อมเพรียงดีดตัวขึ้นจากพื้นสร้างกลุ่มควันคละคลุ้งเป็นวงกว้างกลบทัศนวิสัย เมื่อพวกมันกระพือปีกอีกครั้งจึงปัดเป่าควันดินที่บดบังร่างจนมลายหายสิ้น
“นั่นเมืองฮัวหงนี่นา” ชายผู้นึงส่งเสียงตะโกนที่แฝงไปด้วยความตื่นเต้น
“เมืองฮัวหง? อาณาจักรอัคคีงั้นรี” หนึ่งในพ่อครัวทวนถาม
ตอนนี้พวกมันหยุดสิ่งที่ตนกำลังกระทำสิ้น การจะเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์ที่อาจจะเป็นสงครามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ พวกมันจึงไม่พลาดแม้สักเสี้ยววินาทีที่จะเป็นภาพเหล่านี้ไว้ในความทรงจำ
ผู้นำหน่วยสอดแนมก็เช่นกัน ตอนนี้ในสายตาของมันมองเห็นทัพแห่งอัคคีผู้สวมใส่ชุดเกราะหนาสีแดงกำลังใช้ปักที่ประจำกายที่ติดอยู่ด้านหลังกระพือเพิ่มระดับความสูงอย่างช้าๆไต่ระดับความสูงขึ้นทีละน้อยจนเทียบเท่าความสูงเดียวกันกับทัพอากาศผู้ใช้วิชาวายุ
แม้ระยะทางจะไกลห่างจนมองเห็นคนมีขนาดเท่าเม็ดถั่ว แต่ด้วยเฉดสีของชุดเกราะที่มันพวกนี้สวมใส่ทำให้ง่ายต่อการจำแนกแยะแยก
ตึงงงง
มีเสียงอึกทึกเกิดขึ้นบริเวณเดียวกันกับทัพแห่งอัคคี ดึงดูดสายตาของผู้นำหน่วยให้จับจ้องไปบริเวณนั้นโดยทันที ทว่าน่าเสียดายนักที่มันมิอาจมองเห็นต้นกำเนิดเสียงได้เนื่องจากเสียงนั้นเกิดจากทัพหนึ่งผู้ประจำการอยู่บนภาคพื้นดิน ทัพผู้เป็นต้นกำเนิดเสียงนี้มิได้มีปีกโบยบินขึ้นผืนนภาเหมือนทัพอื่นๆ
ด้วยความใคร่รู้ ผู้นำหน่วยสอดแนมอดมิได้ที่จะตีปีกยกระดับความสูงเบิกทัศนวิสัยให้แก่ตนเอง มันบินสูงขึ้นจากพื้นดินราวสิบเมตรเพิ่มความสามารถในการมองเห็นให้กว้างไกลมากยิ่งขึ้น
“นักรบวารีแห่งเมืองเทียนหลาง!?” มันอุทานเมื่อมองเห็นกองทัพดังกล่าว
ทัพนี้นำโดยวรีสตรีแม่ทัพน้อยผู้สวมเกราะสีฟ้าครามเดินทัพเข้าประชิดชายแดนอยู่ในตำแหน่งเดียวกับทัพแห่งอัคคีที่บินสูงอยู่เหนือหัว
ทัพอัคคีเพิ่มระดับความสูงอีกเล็กน้อยจนเหนือกว่าทัพแห่งวายุ ก่อนจะกระจายกำลังตั้งขบวนแถวเรียงประกบนักรบเกราะเหลืองแบบรายต่อรายทอดยาวไปไกลสุดตาและใกล้เพียงแค่เอื้อมสำหรับปีกขวาก็มีทัพแดงและเหลืองอยู่เช่นกัน
ปั้ง
เสียงเดินเท้าของกองทัพผู้ควบคุมวารีเริ่มแว่วมาตามสายลม ทัพฟ้าเองเดินขบวนกระจายทัพอย่างเป็นระเบียบก็เรียงแถวเป็นแนวเดียวกับกองทัพทั้งสองเช่นกัน
ครืนนน
“เหวออ!”
“อะไรวะเนี้ย”
“แผ่นดินไหว!?” มีเสียงแห่งความโกลาเกิดขึ้นรอบบริเวณ เมื่อผู้นำหน่วยสอดแนมมองไปยังภาคพื้นดินมันพบว่าเพิงพักและข้าวของมีการสั่นไหวโอนเอนไปมา สมาชิกหน่วยย่อยบางรายเสียการทรงตัวทรุดหมอบลงกับพื้น ผืนดินแตกร้าวสั่นไหวยวบยาบ
“หือ?” ผู้นำหน่วยขมวดคิ้วแน่น เมื่อมันปรายตามองบริเวณโดยรอบสายตาของมันตรวจพบต้นกำเนิดความแปรปรวนของพื้นดินแทบจะทันที เมื่อมันมองไปยังทัพข้างเคียงซึ่งทัพซึ่งก็คือนักรบจากเมืองเซียนลุ่ยผู้ใช้พลังควบคุมพฤกษา ซึ่งในตอนนี้พวกมันได้เปลี่ยนแปลงขบวนรบไปตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ บัดนี้พวกมันทั้งหมดรวมตัวล้อมเป็นวงกลมขนาดใหญ่กว่าสามแถว โดยวงเล็กสุดอยู่ด้านในโอบล้อมโดยวงที่สองที่มีจำนวนมากกว่าสองเท่าและวงสุดท้ายที่ครอบครองพื้นที่รอบนอกที่มีจำนวนประชากรมากที่สุด ซึ่งทั้งสามวงกลมนี้หากรวมเป็นหนึ่งเดียวพวกมันจะมีจำนวนคนมากถึงหนึ่งแสนนาย
ภาพจากมุมสูงในสายตาผู้นำหน่วย มันมองเห็นพื้นดินบริเวณนี้เคลื่อนไหวโอนเอนไม่สงบนิ่งราวกับเกลียวคลื่นมหาสมุทร บางจุดมีแผ่นดินแยกแตกระแหงราวกับใยแมงมุม
“I?” ผู้นำหน่วยสอดแนมดวงตาเบิกกว้างเมื่อมันเหียรอยแยกขนาดใหญ่รอยหนึ่งที่มีขนาดความกว้างราวครึ่งเมตร ใต้รอยแตกนั่นมันเห็นต้นตอของการแปรปรวนพื้นดินกำลังเลื้อยไปมาราวกับงูยักษ์ แต่มันมิใช่สิ่งมีชีวิต มันคือรากไม้
ตามรอยแยกรอยแตกบนพื้น รากไม้เหล่านี้กำลังเลื้อยมาจากทั่วทุกสารทิศเข้ามารวมกันอยู่ใจกลางของทัพเซียนลุ่ยก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบสงบ
เพียงชั่วครู่มีกิ่งไม้ขนาดเล็กกิ่งหนึ่งโผล่ขึ้นมาตรงจุดนั้นก่อนที่มันจะเติบโตด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อเพียงพริบตาเดียวจากกิ่งไม้กิ่งน้อยกลายเป็นต้นไม้ที่มีขนาดความสูงร่วมสิบเมตร ขนาดของลำต้นไม่น้อยไปกว่าสามเมตร ทว่ายังมหมดแค่นั้นมันยังเติบใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่องจนสูงเสียดฟ้า แม้ผู้นำหน่วยสอดแนมจะบินอยู่บนฟ้ายังมิอาจแหงนมองเห็นปลายยอดของมันได้ถนัดตา ในตอนนั้นเองส่วนยอดของต้นไม้ยักษ์ที่มีขนาดเล็กจิ๋วจนยากจะมองเห็น จู่ๆก็มีขนาดใหญ่ขึ้นมาเสียดื้อๆแต่มันน่าแปลกที่ขนาดของลำต้นก็หาใช่ว่าจะมีการขยายขนาดแต่อย่างใด มันมีเพียงส่วนยอดเท่านั้น
ผู้นำหน่วยพยายามเพ่งสายตาแหงนมองค้างอย่างนานนมจนคอของมันแทบเคล็ด มันมองเห็นบางสิ่งที่มีรูปทรงคล้ายวงรีชี้ขึ้นบนฟ้าติดอยู่ ณ ส่วนยอดของต้นไม้ยักษ์
ฉับพลันนั้นเองสิ่งปริศนาก็เผยโฉมปรากฏต่อสายธารกำนัล มันอ้าออกจนกว้างน้อมรับแสงจันทร์ที่สาดส่องเด่นชัดถนัดตา มันคือดอกไม้ ดอกไม้สีแดงสวยสดงดงามกำลังเบ่งบานส่งกลิ่นหอมฝังไปทั่วบริเวณ และในตอนนั้นเองดอกไม้ยักษ์ก็ได้ปลดปล่อยผงเกสรล่องลอยไปตามสายลม มันเป็นผงขนาดเล็กที่ยากจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
“หืม?” ผู้นำหน่วยสอดแนมส่งเสียงเมื่อปรายสายตาของมันมองเห็นบริเวณส่วนกลางของทัพเหลือง ตรงจุดนั้นมันมีคนผู้หนึ่งแยกตัวออกมายืนโดดเดี่ยวลำพังอยู่หน้าขบวนรบ ชี้ไม่ชี้มือคล้ายกำลังสั่งการนักรบทั้งมวลซึ่งมันผู้นี้คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากแม่ทัพน้อยู่เฉิน
พรึ่บ!
นักรบวายุทั้งหนึ่งแสนนายตอบรับคำบัญชาโดยพร้อมเพรียง พวกมันเลิกล้มการป้องกันดึงพลังกลับอย่างฉับพลั่นพร้อมกันนั้นยกสองแขนสูงขึ้นเหนือหัวหงายฝ่ามือสองข้างขึ้นบนท้องฟ้า มองไปบนท่อนแขนของชายรายหนึ่งซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ใช้พลังควบคุมวายุที่อยู่ใกล้กับหัวหน้าหน่วยสอดแนมมากที่สุด
มันมองเห็นเส้นเลือดปูดโปนตั้งแต่หัวไหล่ไล่ขึ้นไปตามท่อนแขนยาวขึ้นไปถึงหลังมือ คล้ายกับพวกมันกำลังเกร็งแขนเค้นพลังสุดขีด
วุ่มมม
ในตอนนั้นเอง มีกระแสลมลูกใหญ่หมุนวนสร้างเป็นพายุดูดอากาศโดยรอบเข้าไปอยู่ในใจกลาง กิ่งไม้ใบหญ้าฝุ่นดินกลิ่นทรายบนพื้นดินแม้กระทั่งก้อนเมฆยังถูกดูดหายเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของพายุ