ตอนที่ 703 แดนอสูร
เหล่าผู้รอดชีวิตต่างโห่ร้องแสดงออกถึงความปิติที่เห็นสหายร่วมชาติรอดพ้นจากภัยอันตรายมาได้อย่างหวุดหวิดไม่เว้นแม้แต่เหล่าแพทย์สนามหรือนักรบจากกองกําลังหลักที่มิอาจอดกลั้นความยินดีเอาไว้ได้
หลังการระเบิดสามสิบนาที
เหล่าแพทย์สนามและหน่วยย่อยที่ได้รับการรักษาและยังมีกําลังเหลือเฟือได้เข้าไปในเขตพื้นที่สงครามให้การช่วยเหลือนําพาหน่วยลาดตระเวนและหน่วยสอดแนมที่ติดอยู่ในป่าอสูรและรอดพ้นจากแรงระเบิดมาได้อย่างหวุดหวิดการช่วยเหลือเป็นไปอย่างราบรื่นไม่พบสิ่งรบกวนรอบบริเวณไม่พบสิ่งมีชีวิตอื่นกระนั้นก็ใช่ว่าจะสําเร็จในเวลาอันสั้นด้วยจํานวนผู้รอดชีวิตที่กะด้วยสายตาแล้วไม่ต่ํากว่าสองถึงสามหมื่นจึงนับว่าเป็นจํานวนที่ไม่ใช่น้อยๆเลยทีเดียวซึ่งบางรายก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสหนักหนาเกือบสิ้นชีวิตยากที่จะเคลื่อนย้ายบางกลุ่มช่วยพยุงร่างบางรายต้องแบกขึ้นหลังอาการหนักหน่อยต้องหามลงเปลนําพาทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่กลับฐานที่มั่นแหล่งรวมพลของเหล่าผู้รอดชีวิตนั่นก็คือฐานที่ตั้งของหน่วยแพทย์สนาม
กองทัพอัคคีและวายุทั้งสองแสนนายกระจายกําลังเข้ายึดน่านฟ้าเหนือป่าอสูรให้วางกําลังป้องกันแต่ละจุดอย่างเข้มงวด ให้การคุ้มกันจนกว่าจะสิ้นการช่วยเหลือ
“พื้นตรงนี้ร้อนเป็นบ้า”
“เท้าข้าพองไปหมดแล้ว”
“แหงสิว่ะ ก็ตรงนี้มันพึ่งโดนระเบิดมาหยกๆ”
“ว่าไงน้องรัก เจ้ายังเดินไหวใช่ไหม”
“โฮ ท่านพี่ไม่น่าอายุสั้นเลย”
“ต้องลําบากท่านแล้ว”
“มันคือหน้าที่ของข้า” มีเสียงสนทนาเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เสียงบ่น ร่ําไห้ โห่ร้องดีใจ มีทั้งความสุขและความเศร้าจากการสูญเสียและพบพาน
สมรภูมิที่ราบเป็นหน้ากลองไกลสุดลูกหูลูกตาเต็มไปด้วยผู้คนเดินสวนกันพลุกพล่าน หนึ่งในจํานวนนั้นคือผู้นําหน่วยสอดแนมและสมาชิกทั้งเก้าที่อาสาแบ่งเบาภาระหน้าที่ช่วยเหลือกลุ่มอื่นๆอีกแรง
“หือ? นั่นพวกเขาทําอะไรกันน่ะ?” สมาชิกหน่วยสอดแนมกล่าว พวกมันพึ่งไปส่งผู้บาดเจ็บกลุ่มหนึ่งกลับไปยังหน่วยแพทย์และกําลังเดินกลับมาเพื่อรับตัวผู้บาดเจ็บรายใหม่ในตอนนั้นเองสายตาของสมาชิกหน่วยรายนี้ ได้มองเห็นสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นบริเวณแนวหน้าเหนือน่านฟ้าป่าอสูรที่ซึ่งตรงจุดนั้นมีนักรบวายุประจําตําแหน่งเป็นแกนนําตั้งขบวนรบสร้างแนวป้องกันและลาดตระเวนพื้นที่โดยรอบจากมุมสูง ซึ่งตําแหน่งนี้นับว่าสุดขอบเขตแดนมิอาจและมิควรย่างกรายไปต่อเพราะเบื้องหน้าของพวกมันนั้นคือแดนอสูรพื้นที่ปกครองโดยสมบูรณ์ของเผ่าอสูรอันเป็นปฏิปักษ์
ทว่าในสายตาของมันเห็นนักรบวายุกลุ่มหนึ่งราวสิบนายแยกตัวออกจากขบวนรบเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องซึ่งนั่นก็เท่ากับว่าพวกมันได้รุกคืบเข้าพื้นที่หวงห้ามไปเป็นที่เรียบร้อย
สูงเสียดฟ้ายามราตรี
“ท-ท่านแม่ทัพ น-นี่มัน” ชายชรารายหนึ่งกล่าว
“นี่มันแย่กว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก!” ชายหนุ่มรายหนึ่งกล่าวด้วยน้ําเสียงที่แฝงไปด้วยความวิตกกังวลข้างกายของมันมีบุรุษวัยกลางคนและวัยชรารวมเก้าชีวิตกําลังยืนรายล้อมตัวมันขนาบซ้ายขวาหน้าหลัง พวกมันทั้งสิ บกําลังโง้มศรีษะมองต่ําด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ทั้งสิบมิใช่ใครที่ไหน พวกมันคือนักรบวายุที่แยกตัวออกมาจากขบวนรบมุ่งหน้าเข้าไปยังแดนอสูรที่ผู้เห็นเหตุการณ์คือหน่วยสอดแนม และชายหนุ่มวัยเยาว์ที่ได้รับความเคารพผู้นี้ก็คือผู้บัญชาการทัพภู่เฉินนั่นเองบุคคลทั้งเก้าก็ล้วนแต่เป็นคนสนิทผู้มีมากยุทธมีฝีมือสูงมีหน้าที่คุ้มกันความปลอดภัยให้แก่มัน
มองไปด้านหลังอดีตพื้นที่สมรภูมิรบอย่างป่าอสูรอยู่ไกลริบ พวกรุกล้ําเข้ามาในพื้นที่ปกครองของเผ่าอสูรไกลพอดูเลยทีเดียว
ตอนนี้พวกมันทั้งสิบลอยตัวสูงกว่าหมื่นเมตรเหนือพื้นดินในเขตแดนอสูร เพ่งสายตามองเบื้องล่างด้วยความจดจ่อ
ด้วยระดับความสูงทําให้มุมมองของอู่เฉินกว้างไกลมองเห็นภูมิประเทศโดยรอบได้หลายสิบกิโล
แดนปีศาจมองไปแทบไม่ต่างจากสถานที่ธรรมดา พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นผืนดิน มีเนินสูงต่ํามีภูเขาและต้นไม้ใบหญ้าเจริญเติบโต ไกลสุดสายตามีแม่น้ําสายใหญ่ตัดผ่าน สถานที่แห่งนี้นับว่าอุดมสมบูรณ์เหมาะสําหรับเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยเลยทีเดียว ชมทิวทัศน์สวยงามที่มีฉากหลังเป็นท้องฟ้ายามค่ําคืนดวงจันทร์กลมโตดาวประดับฟ้า มันช่างสวยงามน่าจดจําอย่างยิ่ง
ทว่าภาพบรรยากาศอันสวยงามเหล่านี้หาได้อยู่ในเศษเสี้ยวความคิดของอู่เฉินไม่ รวมถึงนักรบทั้งเก้าที่ติดตามมาด้วยเช่นกัน
บรรยากาศที่พวกมันแผ่ออกมานั้นหนักอึ้งคร่ําเครียดจริงจังหาใดเปรียบ หัวคิ้วแทบจะขมวดกันเป็นปมเหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นตามรูขุมขนแม้อากาศจะหนาวเย็นผนวกกับลมพัดก็ตามที่
“มีบางอย่างกําลังมุ่งหน้ามาทางนี้!” ขณะที่อู่เฉินและพรรคพวกกําลังให้ความสนใจกับภาคพื้นดินตอนนั้นเองชายวัยกลางคนรายหนึ่งกล่าวขึ้นเมื่อมันตรวจพบสิ่งมีชีวิตปริศนากลุ่มหนึ่งจากระยะไกลกําลังเข้ามาในรัศมีการมองเห็น หลังจากมันรอดูท่าทีไม่นานนักก็พบว่าสิ่งมีชีวิตกลุ่มนี้กําลังตรงปรี่เข้ามาหาพวกมันไม่ผิดแน่จึงส่งเสียงเตือนบุคคลที่เหลือ
พวกมันล้วนดึงความสนใจกลับมองไปยังทิศทางดังกล่าว พบสิ่งมีชีวิตปริศนารูปร่างคล้ายนกกําลังพุ่งเข้ามาหาด้วยความเร็วสูง ด้วยระดับความสูงร่วมหมื่นเมตร เจ้าสิ่งมีชีวิตกลุ่มนี้ย่อมไม่ใช่สัตว์สายพันธุ์ปกติธรรมดาอย่างแน่นอนแค่เพียงขนาดร่างกายของพวกมันที่ใหญ่โตจนสามารถมองเห็นได้ชัดแม้จะอยู่ในระยะไกลก็สามารถยืนยันข้อนี้ได้แล้วและมิอาจลืมว่าพื้นปัจจุบันคือเขตปกครองของเผ่าปีศาจอยู่ในอาณาเขตของศัตรู
“กลับ” อู่เฉินกล่าวม้วนตัวกลับหลังปลดปล่อยพลังวายกระแสหนึ่งพัดร่างของมันเคลื่อนที่เป็นเส้นตรงมุ่งหน้ากลับในทิศทางเดิม
“ท่านแม่ทัพ แล้วเราจะเอายังไงกับเจ้าพวกนั้น” หนึ่งในผู้ติดตามกล่าวพลางชี้มือลงไปเบื้องล่าง
ฮูวววะ
ยังมิทันกล่าวจบประโยค ตอนนั้นเองมีเสียงคํารามอันทรงพลังดังแว่วขึ้นมาจากเบื้องล่างต่ําลงไปถึงหมื่นเมตรควานหาต้นกําเนิดเสียงมองผ่านเมฆหมอกบนท้องฟ้าเลยลงไปยังพื้นดินมองเห็นสัตว์อสูรกลุ่มใหญ่ด้วยระยะทางที่ไกลห่างทําให้ยากจะเจาะจงสายพันธุ์และระบุจํานวนที่แน่ชัดแต่อย่างน้อยย่อมมีไม่ต่ํากว่าหนึ่งร้อยตนเป็นอย่างต่ํา
สัตว์อสูรหนึ่งร้อยตน? เป็นจํานวนเพียงหยิบมือที่มิได้น่าหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย ดังเช่นเมื่อครู่สมรภูมิป่าอสูรในตอนนั้นอู่เฉินและแม่ทัพน้อยอีกสามตนรวมพลังผสานการโจมตีทําลายล้างป่าอสูรจนราบเป็นหน้ากลอง ในยามนั้นถูเฉินมั่นใจว่าสัตว์อสูรที่ถูกคร่ากําจัดไปนั้นย่อมมีมากกว่าหนึ่งร้อยตัวซึ่งบางทีอาจจะมีมากกว่าสองถึง สามร้อยตัวเลยก็เป็นได้หากนับรวมหนอนยักษ์ไปด้วยแล้ว
ทว่า…มันยังมีเส้นแบ่งขนานกันใหญ่อยู่ อสูรทั้งหลายที่อาศัยอยู่ในป่าอสูรส่วนใหญ่แล้วเป็นอสูรวัยเยาว์ ส่วนกองกําลังร้อยอสูรเบื้องล่างของพวกมันนี้มิอาจชี้ชัดได้ว่าเป็นอสูรวัยเยาว์หรือโตเต็มวัยกันแน่ลําดับการเจริญเติบโตของสัตว์อสูรก็ไม่ต่างไปจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เมื่อพวกมันเข้าสู่ช่วงโตเต็มวัย ประสบการณ์ที่สั่งสมและร่างกายย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปตามอายุขัยสัตว์บางชนิดบางสายพันธุ์พลังจะไม่ตื่นขึ้นจนกว่าจะผ่านช่วงอายุหนึ่งซึ่งพลังของพวกมันจะเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า นั่นหมายความว่าการกวาดล้างป่าอสูรกําจัดสัตว์อสูรไปกว่าสองถึงสามร้อยตัวนั้นแทบมิได้มีผลต่อกําลังรบหลักของเผ่าอสูรเลย
การเผชิญหน้ากับอสูรโตเต็มวัยนี้นับเป็นปัญหาใหญ่เลยทีเดียว
แต่…การโจมตีที่ทําให้ป่าอสูรที่มีอายุนับหมื่นปีกลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่านี้มาจากการร่วมมือของกําลังพลสี่แสนนายจากสี่เหล่าทัพที่นําโดยแม่ทัพน้อยทั้งสี่ ซึ่งหากนับจริงๆแล้วก็มีเพียงสามกําลังพลเท่านั้นที่เป็นแกนหลักในการโจมตี นั่นคือทัพวายุ อัคคีและพฤกษา ส่วนกองทัพวารีนั้นจัดอยู่นอกเหนือแผนการโจมตีทําหน้าที่ให้การป้องกันฝ่ายตนเองที่ติดอยู่ในป่าอสูรกล่าวคือพวกมันใช้กําลังพลเพียงสามแสนในการกําจัดศัตรูจนไม่เหลือซาก!
แล้วกองทัพปีศาจอีกสองล้านนายล่ะ!!!!