ตอนที่ 707 ยืนยันเป้าหมาย
แนวหลังกองทัพหลัก
“ท่านจือมู่ หลานอี้เหมยมิได้เจอหลายปีตอนนี้นางเติบโตเป็นนักรบเต็มตัว ฝีมือรุดหน้าจนคนในรุ่นเดียวกันเทียบไม่ติด” บุรุษวัยกลางคนผู้สวมใส่เกราะสีเหลืองพร้อมกับสัญลักษณ์ประทับบนหน้าอกว่าวายุกล่าว
“ท่านจือเฟิงอย่าได้ถ่อมตัว หลานอู่เฉินนับว่าเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่หาได้ยากยิ่ง” ชายวัยกลางคนคู่สนทนา ผู้สวมใส่เกราะสีเขียวพร้อมตราประทับพฤกษา’กล่าวตอบ
“ฮี จื่อฮว่าน พวกเจ้าฝึกกองทัพได้ไม่เลวเลยนี่ แม้จะเป็นเพียงทัพรุ่นเยาว์กลุ่มคนรุ่นใหม่แต่สามารถใช้วิชาวารีจองจําาไร้สิ้นสุด” ชายวัยกลางคนผู้สวมเกราะแดงพร้อมสัญษณ์อัคคี”ยืนกอดอกชักสีหน้ากล่าวเค่นเสียง
“เฮอะ จื่อเหยา กองทัพของเจ้าก็ไม่เลว ไว้วันไหนที่วังของข้าจัดงานเลี้ยงข้าจะเชิญคนของเจ้ามาช่วยย่างไก่ปิ้งหมู” บุรุษวัยกลางคนสวมใส่เครื่องแต่งกายสีฟ้าพร้อมกับตราประทับวารอยู่กลางหน้าอกกล่าวตอบ
พวกมันทั้งสี่คือบิดาของเหล่าแม่ทัพน้อย ที่เฝ้ามองลูกหลานของตนออกโรงเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่หาได้ยากยิ่ง
“เช้านี้บุตรชายของข้าได้กลับมาหลังจากออกตรวจพื้นที่พร้อมกับศรีษะของสัตว์อสูรตั้งสามตัว!”
“เมื่อวันก่อนมีอสูรกว่าสิบตัวอวดตนหาญกล้าเข้ามาประชิดกําแพงเมืองของข้า ข้าจึงส่งพวกมันทั้งหมดไปเฝ้ายมบาล-“
“เจ็ดวันก่อนกลุ่มอสูรเกือบยี่สิบรอาจย่างกรายเข้ามาในอาณาเขต ข้าจึงสั่งให้ทหารไปกําจัดพวกมันจนสิ้น เลาะนํากระดูกของพวกมันมาท่าเครื่องประดับเสีย”
“อะฮ่า หากเป็นเมืองกัวกิ่งของข้าแม้อสูรสามสิบตนก็มีหวัน”
บริเวณนี้คึกคักอย่างยิ่ง มันเป็นแหล่งชุมนุมเหล่าเจ้าเมือง แม่ทัพจากทั่วทุกสารทิศพวกมันล้วนแลกเปลี่ยนความคิดสนทนา ปรึกษาหารือวิธีการรับมือกับศัตรุบางกลุ่มอวดโอ้คุยโตโชว์ผลงาน
พวกมันเหล่านี้ล้วนปกครองเมืองของตนอยู่เหนือคนนับหมื่นเป็นรองเพียงหนึ่งเดียว นั่นก็คือจักพรรดิปีศาจ
ในตอนนี้พวกมันยังมิได้มีบทบาทสําคัญอันใดต่อการสู้รบในระลอกแรก
“รายงานนน!!!” ในตอนนั้นเอง ชายผู้หนึ่งเปร่งเสียงตะโกนยาวสุดเสียงจนแหบแห้งได้ยินจนถึงแนวหลัง
แนวหน้า
มันผู้นี้คือหนึ่งในทหารจากเมืองฮวางฉือ มันเร่งรุดหน้าโผบินแทรกผ่านอากาศมาแต่ไกลทั้งยังป่าวประกาศตะโกนอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งมันเคลื่อนที่มาหยุดอยู่ต่อหน้าอู่เฉินผู้บัญชาการของตน
“รายง-รายงาน” มันกล่าวตะกุกตะกักร่างกายกระเพื่อมขึ้นลงแสดงถึงภาระทางร่างกายที่หนักหน่วงจนมิอาจฝืนกลั้น
“รายงานท่านแม่ทัพ ทัพอสูรเคลื่อนที่มาถึงชายป่าแล้วครับ!!” มันหอบอยู่ครู่นึ่งกว่าจะกล่าวรายงานสารหนึ่งประโยคและหยุดชะงักพักหายใจ
หัวคิ้วอู่เฉินยนเข้ากันในทันที ควบคุมอากาศธาตุดันร่างของตนเพิ่มระดับความสูงนับหมื่นเมตร เพ่งสายตามองข้ามแนวป่าไม้ล้วงลึกจนถึงชายป่าขอบชายแดนฝั่งอสูร ในสายตาของมันมองเห็นเงามืดกลุ่มใหญ่กําลังคืบคลานเคลื่อนที่เข้ามาอย่างช้าๆ เงามืดเหล่านี้คือกองทัพสัตว์อสูรที่เตรียมรวมพลกันมากว่าหนึ่งร้อยตน!!!
“เจ้าทราบหรือไม่ว่ามันเป็นอสูรชนิดใด สายพันธุ์ไหน?” อู่เฉินลดระดับความสูงของตนมาอยู่ในเกณฑ์ปกติกล่าวถามแก่ชายผู้รายงาน
“เอ่อ…ข้ามิกล้าเข้าไปใกล้พวกมันนักเพราะเกรงว่าจะทําให้พวกมันรู้ตัว เพราะงั้น…” ชายผู้รายงานกล่าวเสียงแผ่ว
“ไม่เป็นไร บอกรูปประพันสันฐานตามที่เจ้าเห็นมา” ชายชราหนึ่งในผู้ติดตามของอู่เฉินกล่าว มันผู้นี้ผ่านร้อนผ่านหนาวมีประสบการณ์โชกโชนต่อสู้ฟัดเหวี่ยงกับสัตว์อสูรมากมายไม่ว่าจะเป็นอสูรแห่งท้องฟ้าเจ้าแห่งท้องนภาหรือสัตว์เลื้อยคลานสัตว์สองขา สีขาหรือแปดขา แม้กระทั่งอสูรน้ํามันก็เคยประมือมาแล้วทั้งสิ้น
“อืม…”ชายผู้ส่งข่าวหลับตายนคิ้วใช้สมองพยายามนึกภาพในความคิดจนเหงื่อตก แต่ไม่ว่ามันจะคิดเช่นไร จากระยะที่มันแอบสอดแนมก็ไกลเป็นกิโล เห็นขบวนทัพศัตรูเล็กเท่าเม็ดถั่วจึงเป็นการยากที่จะจดจํารายละเอียดรูปร่างศัตรูได้อย่างครบถ้วน
หมับ
“ไม่เป็นไร เจ้าพักก่อนเถอะ” อู่เฉินวางมือบนไหล่ของชายผู้ส่งข่าว
ชายผู้ส่งข่าวค่อมศรีษะแสดงความผิดหวังเล็กน้อยก่อนลดระดับความสูงยกเล็กการใช้พลังควบคุมวายุนั่งพักฟื้นคืนกําลัง
“ยังไงพวกเราก็ต้องยืนยันจานวนและประเภทของศัตรูอยู่แล้ว เพื่อมิให้คลาดเคลื่อนขาว่าพวกเราไปดูด้วยตาตนเองกันเถอะ” อู่เฉินกล่าวกับผู้ติดตาม
พวกมันไม่พูดพร่ําทําเพลงล้วนเห็นด้วยผงกหัวรับ ทั้งสิบมุ่งหน้าลงใต้เคลื่อนที่ผ่านป่าอสูรไปเป็นขบวนโดยไม่มีทหารนายอื่นติดตาม เพื่อความสะดวกในการเคลื่อนไหวและไม่เป็นจุดสนใจ เมื่อใกล้ถึงเป้าหมายถเฉินพา พรรคพวกเพิ่มระดับความสูงหนี้ระยะสายตาและการตรวจจับของคู่ต่อสู้ลอยตัวมาอยู่เหนือศรีษะของทัพปีศาจก่อ นที่จะค่อยๆลดระดับความสูงลงอย่างช้าๆจนสามารถลอบแอบมองศัตรูเห็นทุกรายละเอียดชัดเจน
“เอ๊ะ? มันเป็นอสูรสายพันธุ์ไหนกันทําไมข้าไม่เคยเห็น” ชายฉกรรจ์หนึ่งในผู้ติดตามกล่าว มันเห็นทัพอสูรตามที่ได้รับรายงานแล้ว ในเรื่องจํานวนเป็นไปตามการคาดคะเนนั่นคือหนึ่งร้อยไม่คลาดเคลื่อนมากนัก ทว่า สิ่งที่เป็นปัญหาเห็นทีคงจะเป็นอสูรแปลกตาที่มันไม่เคยเห็นในชั่วชีวิตนี้ ซึ่งมันจะไม่ใช่เรื่องแปลกอันใดเพราะสัตว์อสูรที่ถูกค้นพบและยืนยันสายพันธุ์แล้วอาจกล่าวได้ว่าเป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น
“หือ? ทําไมรูปร่างของมันเหมือนกับเราเลยล่ะ เผ่าปีศาจงั้นหรือนั่นมันกระทั่งใส่เสื้อผ้าด้วย!?” นักรบสาวหนึ่งในผู้ติดตามกล่าวด้วยความสงสัย เนื่องด้วยอสูรร้ายที่นางเห็นในสายตาอยู่ในตอนนี้มองอย่างไรมันก็เป็นคนปกติ!
นางเพ่งสายตามองหนึ่งในอสูรผู้อยู่แถวหน้าของทัพ
สีผมดําขลับ คิ้วเข้ม ดวงตาสีแดงสด ปากนิดจมูกหน่อย ผิวกายขาวค่อนไปทางซีด สวมใส่ชุดคลุมสีดํา ไม่อ้วนไม่ผอม มีส่วนสูงราวร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร น้ําหนักประมาณหกสิบกิโลกรัม ทุกส่วน ทุกอวัยวะ แขนขา ลำตัว ศรีษะ หู คอ จมูก ปากดวงตาคิ้วแม้กระทั่งเส้นผม ทั้งสัดส่วนสรีระล้วนลงตัวสมบูรณ์ แถมยัง…หล่อเหลามากเสียด้วย!!
นางก้มลงมองร่างของตนสลับกันอสูรตนนั้นพร้อมกับเปรียบเทียบ…ลักษณะใบหน้า สีผิว ความสูงและน้ําหนักที่ดูจะแตกต่างกันสักเล็กน้อย ทุกสิ่งล้วนเหมือนกัน แล้วนี่มันจะเป็นสัตว์อสูรไปได้เยี่ยงไร!!
“ไม่ว่าจะดูยังไงนั่นก็เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกับเราเผ่าปีศาจหรอกหรือ? ไม่ใช่ว่าพวกมันคือหน่วยสอดแนมที่เหลือตกค้างอยู่งั้นรึ?” ผู้ติดตามอีกรายกล่าว
“ไม่ใช่! แม้ภาพลักษณ์มันจะเหมือนพวกเราแต่ความอันตรายที่ข้าสัมผัสได้และจิตสังหารที่มันแผ่ออกมาบ่งบอกว่ามันมิใช่เผ่าเดียวกับเราแน่ๆ” อู่เฉินขมวดคิ้วเคร่งเครียด นี่ก็เป็นครั้งแรกสําหรับมันเช่นกันที่เคยพบสัตว์อสูรชนิดนี้
“ฮ่าๆ มันจะเป็นตัวอะไรก็ช่างมันเถิด ดูเจ้านั่นส์ขาสองข้างของมันยังเทียบไม่ได้กับแขนข้างเดียวของข้าเลย ข้ายังไม่เคยเห็นอสูรที่ร่างกายบอบบางเช่นนี้มาก่อน แม้แต่ตัวหุ่นกรงเล็บเหล็กยังดูจะน่ากลัวกว่าเจ้าตัวนี้อีก ฮ่าๆๆ” ชายฉกรรจ์อีกรายกล่าวกลัวหัวเราะ
“ว-แวมไพร์!? ไม่! เป็นไปไม่ได้!” ตอนนั้นเองชายชราหนึ่งในผู้ติดตามกล่าวด้วยน้ําเสียงที่แฝงไปด้วยความแตกตื่นตกใจ
“แวมไพร์?” ชื่อที่มีคุ้นหูถูกเอ่ยขึ้นดึงดูดความสนใจของอู่เฉินและพรรคพวก