[TL. ตอนนี้แปลยากมากๆ จะอธิบายให้ฟังถึงขั้นพลังวิญญาน … พลังวิญญาน > จิตสำนึกวิญญาน > ห้วงจิตสำนึก …. ห้วงจิตสำนึกกับห้วงความรู้ คืออันเดียวกันผมแปลใหม่ พลังวิญญานกับพลังจิตวิญญานก่อหน้านี้ก็อันเดียวกันผมขอเปลี่ยนเป็นพลังวิญญานนะครับ ]
บทที่ 149 จู่โจมวิญญาน
ฉื่อหยาน ก็นั่งพิงกล่องใหญ่อย่างสบาย และหลักตาเพื่อพักผ่อน
ภายในร่างกายของเขา พลังปราณลึกลับกำลังหมุนเวียน และมันก็ค่อยๆแข็งแกร่งขึ้น
ที่ดาดฟ้าเรือ ภายใต้แสงจันทร์ที่ส่องประกาย มันเป็นช่วงเวลาตกดึก
บนดาดฟ้า กลุ่มคนทั้ง 11 คน รวมทั้งลินดา เอาแต่สังเกตไปรอบๆ
เรือกำลังถูกไล่ล่าโดยสัตว์อสูรเกล็ดเขียว
พวกสัตว์อสูรเกล็ดเขียวเหล่านี้หลายสิบตัวไม่ยอมเลิกลาแน่นอน ทำให้ลินดาและกลุ่มคนบนเรือต้องเฝ้าระวังตลอดเวลา
11 นักรบกระจายกันไปทั่วทั้งดาดฟ้า มองทั้งที่สูงหรือต่ำ ใกล้ และ ไกล เพื่อระวังทุกๆทิศทางที่สัตว์อสูรเกล็ดเขียวจะโจมตีมาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากใต้เรือ
เรือออกมาหากไกลจากหมู่เกาะเทียนซั่ว และไม่มีเกาะอื่น ๆใกล้เคียงเลย ถ้าเรือถูกทำลายโดยสัตว์อสูรเกล็ดเขียวหละก็พวกเขาต้องตายแน่นอน
ดังนั้น พวกเขาจึงอยู่ในสถานการณ์ที่ห้ามประมาทโดยเด็ดขาด
หลังจากไร้ประโยชน์จากการถามฉื่อหยาน , ลินดา ก็ไม่ใส่ใจเขาอีกและเริ่มตรวจสอบไปที่สภาพแวดล้อมรอบๆ โดยไม่สนใจฉื่อหยาน
แม้ว่า คาร์มอนและคนอื่นๆหลายคนจะไม่ชอบฉื่อหยาน แต่ในเวลาสำคัญเช่นนี้พวกเขาเลือกที่จะไม่ยุ่งกับฉื่อหยานเลย
ฉื่อหยานใช้ทุกๆวินาทีเพื่อฟื้นฟูพลังปราณลึกลับของเขา
โคจรหมุนเวียนไปเรื่อยๆ
ฉื่อหยานตอนนี้พลังปราณลึกลับของเขาฟื้นกลับมาครึ่งนึงแล้ว ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับระดับนักรบก็จะเทียบได้กับนภาแรกในระดับมนุษย์ ตอนนี้ ถ้า คาร์มอนกล้ามายุ่งกับเขาหละก็ ฉื่อหยานจะสั่งสอนบทเรียนให้แก่มันแน่นอน
แต่มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะรับมือกับลินดา ที่อยู่ในนภาแรกของระดับหายนะ
ฉื่อหยานนั้นกังวลเล็กน้อย
จากรูปแบบการโจมตีสัตว์อสูรเกล็ดเขียว การโจมตีครั้งต่อไปพวกมันจะต้องเกิดขึ้นอีกไม่นานแน่นอน
ดูจากสัตว์อสูรเกล็ดเขียวแล้ว ครั้งนี้สัตว์อสูรเกล็ดเขียวระดับสี่จะต้องมาด้วย และ ลินดากับกลุ่มของนางจะต้องไม่สามารถรับมือได้แน่นอน ถ้าเรือถูกทำลาย แม้แต่ฉื่อหยานเองก็ไม่รอดเช่นกัน
ถึงแม้ว่าฉื่อหยาน จะไม่ได้สัญญาอะไรกับลินดา แต่เขาก็ยังคงมองหาวิธีที่จะช่วยนาง
หลังจากคิดอยู่นาน ฉื่อหยานมาก็เกิดความคิดชั่วร้ายขึ้น
เมื่อบรรดานักรบบนดาดฟ้าตาย เขาจะสามารถรวบรวมพลังงานเชิงลบได้จาก ศพของพวกมัน ถึงตอนนั้นจะทำให้เขาสามารถสร้างหลุมแรงโน้มถ่วงและใช้บ้าคลั่งได้
ด้วยวิธีนี้เขาจะต้องสามารถจัดการสัตว์อสูรเกล็ดเขียวระดับสี่ได้แน่นอน
เขารู้ดีว่า เมื่อพลังทั้งสองประเภทหลอมรวมกันเป็นหลุมแรงโน้มถ่วง เขาจะสามารถพันธนาการสัตว์อสูรเกล็ดเขียวระดับสี่ได้อย่างแน่นอน ถึงแม้เขาจะไม่สามารถฆ่ามันได้ก็ตาม
หากพันธนาการสัตว์อสูรเกล็ดเขียวระดับสี่ได้ ลินดา และกลุ่มนักรบคงจะรับมือการโจมตีและจัดการพวกสัตว์อสูรเกล็ดเขียวได้อย่างแน่นอน จากนั้นพวกมันก็จะล่าถอยกลับไป และเรือของพวกเขาก็จะปลอดภัย
ฉื่อหยานคอดตาของเขาลงและ สาปแช่งคาร์มอนและคนอื่นๆอย่างเงียบๆ ” เมื่อพวกเจ้าทั้งหมดตายข้าก็จะสามารถปกป้องเรือได้ “
ด้วยความคิดนั้น ฉื่อหยานก็เริ่มเตรียมสำหรับการต่อสู้
หลังจากหายใจเข้าลึกๆ และโคจรพลัง ฉื่อหยานก็แอบปลดปล่อยพลังวิญญาณออกมาเพื่อตรวจสอบสัตว์อสูรเกล็ดเขียว
อากาศหนาวเย็นเริ่มเปล่งออกมาจากแหวนสายโลหิตและไหลเข้าไปในในร่างกายของ ฉื่อหยาน และพุ่งตรงเข้าไปในกระดูกและเนื้อหนังของเขา
ขณะที่เขากำลังปล่อยพลังวิญญาณของเขา อากาศที่หนาวเย็นทก็ออกมาจากทุกรูขุมขนบนร่างกายของเขาและหลอมรวมเข้ากับพลังวิญญานของเขา
ในขณะที่พลังวิญญาณแพร่กระจายออกไป , ฉื่อหยานก็ รู้สึกเหมือนกับว่าเขามีตาวิเศษซึ่งสามารถมองเห็นสัตว์อสูรเกล็ดเขียว
ได้จากทุกทิศทาง .
สัตว์อสูรเกล็ดเขียวห้าสิบสามตัว ระดับสองสามสิบตัว ระดับสามยี่สิบตัว และระดับสี่สามตัว !
รูปแบบชีวิตของสัตว์อสูรเกล็ดเขียวก็ปรากฏให้เห็นในจิตใจของฉื่อหยานผ่านพลังวิญญานของเขา ดังนั้นทันทีที่เขาสัมพัสได้ถึงการมีตัวตนของพวกมัน
ฉื่อหยาน ก็แปลกใจ
สัตว์อสูรเกล็ดเขียวระดับสี่สามตัวเทียบได้กับนักรบระดับหายนะ ถ้าพวกมันทำลายเรือได้หละก็ในน้ำสัตว์อสูรเกล็ดเขียวระดับสี่จะต้องแข็งแกร่งมากขึ้นแน่ เพียงแค่สัตว์อสูรเกล็ดเขียวระดับสี่ตัวเดียวในน้ำก็สามารถฆ่าลินดาได้อย่างงายดาย และสัตว์อสูรเกล็ดเขียวตัวอื่นจะต้องฆ่าพวกเขาทั้งหมดแน่นอน
ฉื่อหยานรู้สึกแย่
เขาตัดสินใจที่จะถอนพลังวิญญาณของเขากลับมา แล้วฉื่อหยานก็เจออะไรบางอย่างที่น่าสนใจ
เมื่อใดที่พลังวิญญานของเขาสัมพัสเข้ากับพวกมันเหล่าสัตว์อสูรเกล็ดเขียวก็จะกลายเป็นกังวล ในหมู่พวกมัน สัตว์อสูรเกล็ดเขียวระดับสี่ทั้งสามตัวก็โผล่ออกมาจากน้ำ และเริ่มมองไปรอบๆ ราวกับว่าพวกมันกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง
หลังจากนั้น ฉื่อหยานดวงตาก็ประกายขึ้น
ขณะที่เขากำลังจะถอนพลังวิญญาณกลับมา เขาก็ทำมันให้เป็นเหมือนเชือกและควบคุมให้พุ่งไปยังสัตว์อสูรเกล็ดเขียวระดับสอง
พลังวิญญานทั้งหมดพุ่งไปยังสัตว์อสูรเกล็ดเขียวระดับสองทั้งหมด และพวกมันก็กลายเป็นกดดันอย่างรุนแรง
พลังวิญญานที่หนาวเย็นอัดแน่นเป็นลูกฝ้ายที่เต็มไปด้วยความดุร้าย ภายใต้การโจมตีของพลังวิญญาน
สัตว์อสูรเกล็ดเขียวระดับสองก็ว่ายกลับลึกลงไปในทะเลและหยุดไล่ตามเรือ
ฉื่อหยานแววตาพราวแสงออกมา ในขณะเดียวกัน เขาก็พยายามที่จะกลั่นพลังวิญญาณอีกครั้งด้วยความตื่นเต้น และพลังวิญญานก็พุ่งไปยังสัตว์อสูรเกล็ดเขียวระดับสองตัวอื่นๆ
ในทิศทางเดียวกัน พลังวิญญานหนาวเย็นกระแทกไปยังลูกฝ้ายและความดุร้ายก็กระจายออกมา
สัตว์อสูรเกล็ดเขียวระดับสองที่เหลือก็ว่ายกลับไปที่ด้านล่างของทะเลและกลิ่นอายชีวิตของพวกมันก็หายไป
ฉื่อหยานยิ้มออกมาอย่างแปลกประหลาดในขณะที่นอนอยู่ข้างกล่องสินค้าและเขาก็เริ่มกลั่นพลังวิญญาณอีกครั้ง และเขาก็ควบคุมให้พุ่งไปยังสัตว์อสูรเกล็ดเขียวระดับสาม
ภายใต้การโจมตีของพลังวิญญานหนาวเย็น สัตว์อสูรเกล็ดเขียวระดับสามก็มีเลือดออกมาจากปากของมัน มันพยายามมองไปในทะเลรอบๆและพยายามจะหาศัตรูที่โจมตีมัน
คราวนี้ ฉื่อหยานได้กลั่นพลังวิญญานอัดแน่นกันเป็นลูกฝ้ายขนาดใหญ่ แต่เขาไม่ได้่ระเบิดมันออก
ดังนั้น สัตว์อสูรเกล็ดเขียวระดับสามจึงยังไม่หนีลงไปใต้ทะเล มันทำเพียงแค่อดทนฝืนทนและดื้นไปมา
สามคลื่นพลังวิญญาที่โจมตีออกไปทำให้ฉื่อหยานเหนื่อยล้าเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงถอนพลังวิญญานกลับมาอยากไม่เต็มใจ
ต่ำกว่าระดับรู้แจ้ง พลังวิญญานเป็นเพียงแค่พลังที่สามารถสัมพัสไปรอบๆได้เท่านั้น แต่ก็ไม่สามารถใช้โจมตีวิญญาณของคนอื่นได้
เสี่ยวฮานยี่และ เซี่ยซินหยานทั้งสองได้อธิบายให้เขาฟัง
เมื่อนักรบถึงระดับรู้แจ้งพลังวิญญานของเขาจะเปลี่ยนเป็นจิตสำนึกวิญญาน
จิตสำนึกวิญญาน นั้นเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของพลังวิญญาน มันสามารถรับรู้ได้ถึงสภาพแวดล้อมรอบๆได้ ปรับแต่งจิตสำนึกได้ และสามาถใช้โจมตีวิญญานได้ จิตสำนึกวิญญานสามารถอัดแน่นกันและเปลี่ยนเป็นห้วงจิตสำนึกได้
แม้ว่าจิตสำนึกวิญญานจะมีต้นกำเนิดมาจากพลังวิญญาน แต่พลังของมันนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิมนัก
ยอดฝีมือสามารถถ่ายทอดคลื่นจิตสำนึกวิญญานเข้าไปยังวิญญานของศัตรูและสังหารได้
ห้วงจิตสำนึกเป็นพลังของนักรบระดับรู้่แจ้ง และถูกสร้างขึ้นมาจากจิตสำนึกวิญญาน
เมื่อห้วงจิตสำนึกเกิดขึ้น มันจะทำให้พลังของจิตวิญญานต่อสู้แข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม พลังวิญญาณนั้นทำได้เพียงแค่สังเกตสภาพแวดล้อมรอบๆเท่านั้น และก็ไม่มีทางสร้างผลกระทบต่อวิญญานคนอื่นได้
แต่ตอนนี้ พลังวิญญานหนาวเย็นของฉื่อหยานกลับสามารถจู่โจมไปที่วิญญานของสัตว์อสูรเกล็ดเขียวระดับสองได้ และยังสามารถสร้างห้ามเสียหายรุนแรงให้แก่สัตว์อสูรเกล็ดเขียวระดับสามได้ !
เห็นได้ชัดว่ามันแตกต่างจากคนทั่วไป
ฉื่อหยานยิ้มขณะที่ดวงตาของเขาแวววาว .
ความผิดปกติของพลังวิญญาณนี้ ต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับเปลวเหมันเยือกแข็งในแหวนสายโลหิตแน่นอน
ฉื่อหยานมั่นใจเลยว่ามันต้องเกี่ยวข้องกัน
เขามั่นใจว่าพลังวิญญาณของเขาสามารถสร้างผลกระทบต่อวิญญานคนอื่นได้ก่อนที่มันจะกลายเป็นจิตสำนึกวิญญาน เพราะพลังวิญญาณของเขานั้นมีพลังความเย็นอยู่ !
พลังความเย็นแล่นไปทั่วร่างของเขา และมันก็ผสมกับพลังวิญญาณของเขาเมื่อเขาปลดปล่อยออกมา
พลังวิญญาณของเขานั้นไม่สามารถจู่โจมไปยังวิญญานคนอื่นได้แน่นอน แต่เพราะพลังความเย็น เขาจึงสามารถจู่โจมไปที่วิญญานผู้อื่นได้ !
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมนักรบระดับพระเจ้าแท้จริงเมื่อหลอมรวมเปลวเหมันเยือกแข็งเข้ากับห้วงจิตสำนึกได้ ถึงกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในเหล่าผู้อยู่ระดับเดียวกัน
ฉื่อหยาน สูดลมหายใจเข้าลึกๆเข้าเข้าใจทันทีด้วยข้อเท็จจริงที่สำคัญนี้
เขานั้นยังไม่ได้หลอมรวมเปลวเหมันเยือกแข็งเข้ากับห้วงจิตสำนึก แต่เพียงแค่มีพลังความเย็น ก็สามารถสร้างความเสียหายให้แก่วิญญานของสิ่งมีชีวิตอื่นได้แล้ว !
เมื่อเขาถ่ายทอดเปลวเหมันเยือกแข็งเข้าไปในห้วงจิตสำนึกและพลังวิญญานเปลี่ยนเป็นจิตสำนึกวิญญาน เขาก็จะสามารถหลอมรวมพลังความเย็นจากเปลวเหมันเยือกแข็งเข้ากับจิตสำนึกวิญญานได้ [TL. ประโยคนี้โคตร งง ผมแปลตามเขามา ]
จิตสำนึกวิญญานของเขาจะไม่น่าหวาดหวั่นได้อย่างไร ?
ใครกันจะสามารถป้องกันการโจมตีจากจิตสำนึกวิญญานของเขาได้ ? วิญญาณของพวกมันจะต้องถูกทำลายลงและกลายเป็นว่างเปล่าทันทีแน่นอน
ฉื่อหยานมีความสุขอย่างมากเมื่อคิดเช่นนั้น ใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มขึ้น
แม้ว่าเปลวเหมันเยือกแข็งจะถูกกักขังอยู่ภายในแหวนสายโลหิต แต่พลังความเย็นก็ยังสามารถเข้ามาในร่างขิงฉื่อหยานได้
ตามนี้ อากาศหนาวเย็นจากเปลวเหมันเยือกแข็งได้สะสมอยู่ในร่างกายของเขา และเขาก็สามารถใช้มันได้มากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ
ตอนนี้เอง เขาก็ได้พบกับวิธีการโจมตีแบบใหม่ที่สามารถทำลายวิญญานของผู้อื่นได้โดยตรง !