บทที่ 191 เผาเกล็ดดำ
” เช่นนั้น ข้าขอตัวก่อน ถ้าถึงเวลาแล้วข้ายังไม่มารับท่าน ก็น่าจะเป็นผู้อื่นที่มาแทน ” ตั่วลั่วนั่งอยู่บนค้างคาวโลหิต และพูดเสียงดัง
ฉื่อหยานพยักหน้า .
ตั่วลั่ว ยิ้มให้เขาและก็ขึ้นขี่ค้างคาวโลหิตและบินไปบนท้องฟ้า และในไม่ช้าเขาก็จากไป
ระหว่างทางมายังเกาะศิลาดำ ตั่วลั่วบอกว่า หลังจากที่เขาพามาถึง เขาจะขอยืมดาบฆ่ามังกรและจะไม่อยู่สองถึงสามวัน
ฉื่อหยานอยู่ในภูเขาไฟหมื่นมาตลอดเจ็ดเดือน และในระหว่างนั้น ตระกูลหยางก็ได้ไปสอบปากคำตระกูลกู่
หลังจากตระกูลกู่รู้ว่ากู่เจียนเกอ และกู่ลีได้ให้ความร่วมมือกับอสูร พวกเขาก็โกรธเป็นอย่างมาก แต่พวกเขาก็ปฏิเสธว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องใดๆกับตระกูลกู่ พวกเขาเพียงบอกว่า มีเพียงกู่เจียงเกอและกู่ลีเท่านั้นที่ผิด
ฉื่อหยาน ไม่รู้ว่าตระกูลกู่จะโดนอะไรบ้าง แต่ฟังจากที่ตั่วลั่วพูด เขาก็ได้รู้ว่า เพราะตระกูลกู่นั้นยังมีประโยชน์อยู่ไม่น้อย ตระกูลหยางเพียงขอให้เขาลงโทษกู่เจียงเกอ และยังสัญญาอีกด้วยว่าจะนำดาบฆ่ามังกรมาคืน
ตั่วลั่ว ถือดาบฆ่ามังกรและไปที่สาขาตระกูลหยางที่ใกล้ที่สุดที่ ‘ แผงมิติเคลื่อนย้าย ‘ เพื่อส่งดาบฆ่ามังกรให้กับตระกูลหยาง โดยจะใช้ดาบฆ่ามังกรเพื่อแลกเปลี่ยนสิ่งที่มีประโยชน์จากตระกูลกู่
ถึงแม้ว่าฉื่อหยาน จะไม่รู้ว่าตระกูลกู่จะต้องชดใช้เพียงใด แต่เขารู้ว่าเวลานี้ตระกูลหยางมีสิทธิที่จะเรียกร้องตากตระกูลกู่มากมาย
ก่อนที่ตั่วลั่วจะจาดไป เขาได้เตือนฉือเหยียนให้ระวัง และยังกล่าวว่า ถ้าเขาไม่ได้มารับ ก็จะเป็นใครอีกคนที่จะมาเกาะศิลาดำเพื่อรับเขาแทน ฉะนั้นเขาไม่ต้องกังวล
ฉื่อหยานอยู่อย่างเงียบๆ
ที่ยอดเขา ฉื่อหยานมองอย่างเย็นชาไปรอบๆ และในไม่ช้า เขาก็รู้ถึงสถานการณ์บนเกาะ
หญิงที่งดงามคนนั้นมาจากดินแดนปีศาจมหัศจรรย์ชื่อ หลินหนาน นางอยู่ในนภาที่สองของระดับรู้แจ้ง และถูกสั่งให้มาจัดการกับอสูรที่มายังเกาะนี้
หลังจากหลินหนาน แล้วยังมีเหอซิงเหมิน นักรบชายที่อยู่ในระดับปฐพีอีกสองคน และหญิงสาวอีกคน พวกเขาคือ เผิงเพ่ย ฉือยู่ป๋าย และ เฉินอี๋ตาน
ในสามคนนี้ เผิงเพ่ยกับเฉินอี๋ตาน สองคนนี้อยู่ในนภาแรกของระดับปฐพี และฉือยู่ป๊าย นั้นมีระดับสูงกว่าเล็กน้อยคือ นภาที่สองในระดับปฐพี
เหอซิงเหมิน ฉือยู่ป๋าย เผิงเพ่ย และเฉินอี้ , ทั้งสี่คนต่างก็มีรูปร่างหน้าตาทีดูดี
แม้ว่า เฉินยู่ป๋าส จะไม่งดงามเท่ากับเหอซิงเหมิน แต่นางก็ยังนับว่างดงามมาก นางมีสะโพกที่เรียวบางและก้นของนางก็อึ๋มกลมก้อน ด้วยตาของนางเหมือนกับหยาดน้ำ และการแสดงออกของนางก็ดูบอบบาง มันทำให้คนทีพบเห็นรู้สึกอยากปกป้อง
ทั้งสีคนเป็นยอดฝีมือรุ่นเยาว์ของดินแดนปีศาจมหัศจรรย์ และเหอซิงเหมิน ก็เป็นคนที่โดดเด่นที่สุดในหมู่พวกเขา ถึงแม้อายุนางจะน้องที่สุดแต่ความความสามารถนั้นมากกว่าพวกเขาทั้งหมด
นักรบรุ่นเยาว์คนอื่นๆอีก 23 คน ต่างก็อยู่ในระดับหายนะพวกเขาดูอายุน้อยอยู่มาก พวกเขาตามเหอซิงเหมินมายังเกาะนี้ก็ เพื่อฝึกฝนตนเอง หวังไว้ว่าเมื่อผ่านประสบการณ์นี้ไปเพื่อเขาจะสามารถทำลายคอขวดและก้าวเข้าสู่ระดับที่สูงขึ้นได้
นักรบระหายนะ หลังจากได้ผ่านประสบการณ์เฉียดตายมาประมาณหนึ่งพวกเขาก็จะสามารถบรรลุเข้าสู่ระดับที่สูงขึ้นได้
นักรบในระดับหายทั้ง 23 คนนี้ ถูกนำโดยเหอซิงเหมิน ฉือยู่ป๊าย เผิงเพ่ย , และ เฉินอี้ตาน และถูกแบ่งออกเป็นสี่กลุ่มเพื่อแกะรอยอสูรที่มายังเกาะนี้ และหลินหนาน ก็จะเป็นผู้บัญชาการนักรบระดับปฐพีทั้งสี่ และรายงานสถานการณ์ให้กับดินแดนปีศาจมหัศจรรย์ทราบตลอดเวลาเพื่อป้องกันไม่ให้เมล็ดพันธุ์ของตนในอนาคตถูกฆ่าโดยอสูร .
ตำแหน่งของหลินหนานในดินแดนปีศาจมหัศจรรย์นั้นสูงไม่ใช่น้อย พี่ชายนาง หลินฮง เป็นผู้อาวุโสของดินแดนปีศาจมหัศจรรย์และยังอยู่ในนภาที่สองของระดับนภา พี่ชายคนที่สองของนางชื่อ หลินซู อยู่ในนภาที่สามของระดับรู้แจ้ง พวกเขาเป็นผู้คอยดูแลกิจการเหมือนแร่และสวนสมุนไพรต่างๆที่อยู่เกาะทั้งเจ็ดของดินแดนปีศาตมหัศจรรย์
หลายคนจากตระกูลหลินต่างก็มีตำแหน่งสำคัญในดินแดนปีศาจมหัศจรรย์ , หลินหนานเองก็มีหน้าที่รับผิดชอบการฝึกฝนของนักรบรุ่นเยาว์ และคอยจัดการปัญญหาของพวกเขา
หลังจากฉื่อหยานลงมาจากค้างคาวโลหิตคราม หลินหนานก็มีข้อสงสัยบางอย่างในใจของนางเพราะนางนั้นไม่รู้ว่าฉื่อหยานเป็นใคร
นักรบของเคียร่าทะเลทั้งหมด รู้เพียงว่าเฉพาะนักรบชูร่าเท่านั้นที่สามารถขี่่ค้างคาวโลหิตครามได้ เมื่อฉื่อหยานมาพร้อมกับค้างคาวโลหิตคราม ตอนแรกหลินหนานคิดว่าฉื่อหยาน เป็นเพียงหนึ่งในนักรบชูร่า แต่เมื่อนางเห็นท่าทีของตั่วลั่วที่แสดงออกกับฉื่อหยานแล้ว นางก็รู้ได้ทันทีว่าฉื่อหยานไม่ใช่นักรบชูร่า
จากการสนทนาระหว่างเหอซิงเหมินกับฉื่อหยาน มันทำให้นางสงสัยและเดาว่า ฉื่อหยานต้องเป็นยอดฝีมือรุ่นเยาว์ของตระกูลหยาง
อย่างไรก็ตาม เมื่อฉื่อหยาน แนะนำตัวเองว่าชื่อ ฉื่อหยาน นั่นก้ทำให้หลินหนานสับสน
นางนั้นไม่คุ้นเคยกับชื่อของ ฉื่อหยาน เลย ตามรายชื่อของยอดฝีมือรุ่นเยาว์ของตระกูลหยางที่นางรู้ นางมั่นใจว่า หนึ่งในนั้นไม่มีชื่อของฉื่อหยานแน่นอน
เฉินอี๋ตาน เผิงเพ่ย , ฉือยู่ป๋าย ทั้งสามคนเองก็สงสัยเช่นกัน หลังจากได้ยินว่าเขาชื่อ ฉื่อหยาน พวกเขาก็มองไปที่ฉื่อหยาน ด้วยความดูถูกเหยียดหยามเล็กน้อย
พวกเขารู้จักนักรบยอดฝีมือรุ่นเยาว์จากตระกูลหยางดี และเมื่อเห็นฉื่อหยานไม่ใช่หนึ่งในรายชื่อที่เขารู้จัก พร้อมกับฉื่อหยานมี แซ่ ว่า ฉื่อ พวกเขาก็แน่ใจแล้วว่า ฉื่อหยานไม่ใช่สายเลือดโดยตรงจากตระกูลหยาง และฉื่อหยานเองก็มีระดับการบ่มเพาะเพียงนภาที่สองของระดับหายนะเท่านั้น แม้ว่าตั่วลั่วจะแสดงออกกับเขาอย่างไร นั่นก็ไม่ช่วยให้เขามองฉื่อหยานดีขึ้นเลย
” มีอสูรกี่ตนบนเกาะ ” หลังจากทั้งสองฝ่ายแนะนำตัวเสร็จ ฉื่อหยานก็ถาม
” เท่าที่ข้ารู้ มีอสูรอยู่ประมาณห้าสิบถึงหกสิบตน แน่นอนว่าต้องมีมากกว่านั้น ” หลินหนานอธิบาย ” อสูรเหล่านั้นมากจาก เผ่าเกล็ดดำ ”
” เผ่าเกล็ดดำ ” ฉื่อหยาน แปลกใจ
หลินหนานก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยประหลาดใจ : ” เจ้าไม่รู้จักพวก เผ่าเกล็ดดำรึ ? ”
” ใช่ ” ฉื่อหยานพยักหน้า
” ไม่มีทาง ” เฉินอี๋ตาน ก็ร้องออกมาเบาๆ ดวงตาของเขาก็มีร่องรอยของการดูถูกเหยียดหยาม เขาหัวเราะเบาๆ ” ตระกูลหยางและอสูรเหล่านี้เป็นศัตรูกันมาหลายปี และพวกเจ้าก็มักจะเข้าออกดินแดนสี่อสูรอยู่บ่อยครั้ง ตราบใดที่เป็นคนจากตระกูลหยาง ก็ต้องรู้เรื่องอสูรเหล่านี้มากกว่าเราสิ”
” เจ้าไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับ เผ่าเกล็ดดำ แล้วเจ้ามาที่นี่เพราะเหตุใด ? ” เผิงเพ่ยถอนหายใจ โดยกล่าวว่า ” ระดับการบ่มเพาะของเจ้าต่ำเกินไป เพราะเจ้ามากับนักรบชูร่า ตอนแรกข้าก็คิดว่าจะรู้เรื่องเกี่ยวกับเผ่าเกล็ดดำ ดังนั้นตระกูลจึงส่งเจ้ามาช่วยเรา แต่เมื่อรู้ว่าเจ้านั้นไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเผาเกล็ดดำเลย ข้าก็แปลกใจจริงๆว่าทำไมนักรบชูร่าถึงส่งเจ้ามาที่นี่ ”
ฉือยู่ป๋าย ขมวดคิ้วแล้วส่ายหน้า มองไปที่หลินหนาน และยิ้มอย่างบิดเบี้ยว ” พี่สาวน่าน ปรากฏว่าชายคนนี้ไม่ได้มาช่วยเรา แต่มาเพิ่มภาระให้เสียนี่ ”
” ข้ายังไม่นับว่าเป็นหนึ่งในตระกูลหยาง ข้ามาที่เกาะศิลาดำก็เพื่อรับมือกับอสูรเป็นครั้งแรก ” ฉื่อหยานกล่าวอย่างเย็นชา ด้วยจิตใจของเขาที่เริ่มขุ่นมัว
” เจ้าไม่ได้เป็นหนึ่งในตระกูลหยางรึ ? ” เฉินอี้ตานก็เริ่มมองไปอย่างดูถูกมากขึ้นจากนั้น เขาหัวเราะ “ฮ่าฮ่า นี่น่าขันจิรงๆ ข้าคิดว่าเจ้าเป็นหนึ่งในพวกป่าเถื่อนจากตระกูลหยางเสียอีก หึหึ แต่นั้นก็เป็นเรื่องดี ที่ทำให้พวกเราก่อนหน้านี้ที่อึดอัดใจรู้สึกผ่อนคลาย ”
” ใช่ พวกที่มาจากตระกูลหยางล้วนเป็นพวกป่าเถือน , พวกเขาแต่ละคนบ้าอำนาจนัก มันเป็นเรื่องยากจริงๆที่จะทำบางอย่างรวมกันกับพวกเขา ” เผิงเพ่ยเองก็พยักหน้าและมองฉื่อหยาน ” ให้ตายเถอะ นี่เจ้าไม่ได้เป็นหนึ่งในพวกเขาจริงๆสินะ พูดตรงๆ เจ้าไม่ต้องทำอะไรก็ได้ หรือ ถ้าเจ้าอยากไปสู้กับพวกอสูร ก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือนละกัน ”
” หยุดพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว ! ” หลินหนานจ้องเผิงเพ่ยกับฉือยู่ป๊าย
แม้จะมีความไม่พออยู่ในหัวใจของนาง แต่นางก็ไม่ได้แสดงมันออกมา นางยิ้มและพูดกับฉื่อหยาน : ” เผ่าเกล็ดดำ เป็นอสูรที่มีเกล็ดสีดำ เป็นเกาะป้องกันโดยธรรมชาติ และแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก อาวุธทั่วไปไม่สามารถทะลวงผ่านพวกมันได้ นอกจากนี้ เราก็รู้เรื่องพวกอสูรเผ่าเกล็ดดำเล็กน้อยเท่านั้น เราเองก็พึ่งเคยพบเจอกับอสูรเผ่าเกล็ดดำบนเกาะนี้ และเมื่อมันเห็นพวกเรา พวกมันก็จะหลบหนีไป โดยไม่สู้กับเรา ดังนั้นเราจึงรู้ไม่มากเกี่ยวกับ พวกอสูร เผ่าเกล็ดดำนัก ”
” มันไม่สู้ . . . . . . . ” ฉื่อหยาน ก็อึ้งอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า ” ตกลง ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะระวัง ”
ในหมู่คนเหล่านั้น มีเพียงเหอซิงเหมินเท่านั้นที่รู้ตัวตนของฉื่อหยาน แต่นางก็ไม่บอกคนอื่น ดูเหมือนนางจะไม่ต้องการให้พวกเขาเกรงใจฉื่อหยาน และเมื่อเผิงเพ่ยกับฉือยู่ป๋าย พูดล้อเลียนฉื่อหยาน เหอซิงเหมิน ก็พยักหน้าเล็กน้อยด้วยความอารมณ์ดี
ฉื่อหยานรู้ว่าเหอซิงเหมิน ต้องการเห็นเขาถูกทำให้ขายหน้า เขาจึงถอนหายใจออกมาเล็กน้อย
แต่เขาก็ไม่ได้แสดงมันออกมา และหันไปพูดกับหลินหนาน ” ตอนนี้ข้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอสูรพวกนั้นเลย ข้ามาที่นี่เพื่อพบเจอกับพวกมันและจัดการเป็นครั้งแรก ท่านต้องแสดงวิธีการให้ข้าดูและข้าจะทำตาม ”
ไม่เลว..
หลินหนานแอบพยักหน้า และแสดงความพึงพอใจความอ่อนน้อมถ่อมตนของฉื่อหยาน และในใจของนาง ก็เริ่มมองฉื่อหยานดีขึ้น ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่หนึ่งในตระกูลหยางก็ตาม
การดูถูกเหยียดหยามในดวงตาของเฉินอี๋ตานก็เริ่มแสดงออกมาได้ชัดเจนมาก
ถ้าเขามาจากตระกูลหยางจริง เขาจะถ่อมตัวทำไม ?
พวกตระกูลหยาง ไม่ใช่ว่าป่าเถือนหลอกรึ ? ไม่ใช่ว่าบ้าอำนาจหลอกรึ ? เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะไม่ดูถูกคนอื่น
” วันนี้เราจะพักกันที่นี่ พรุ่งนี้เช้าเราจะไปที่เหมืองใกล้เคียงดู ว่ากันว่า ทองแดงจุดดำมีค่าอย่างมากสำหรับอสูร และดูเหมือนว่าพวกอสูรจากเผ่าเกล็ดสีดำเองก็ได้ฝึกวิชาลับบางอย่างที่ต้องใช้ทองแดงจุดดำ บางทีพวกอสูรจากเผ่าเกล็ดดำอาจจะอยู่ในนั้นก็เป็นได้ ” หลินหนานกล่าวว่า
ทุกคนพยักหน้า เพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเข้าใจ
” ฉื่อหยาน พักผ่อนให้มากหละ พรุ้งนี้เจ้าต้องไปกับเรา ” หลินหนานมองฉื่อหยาน
ฉื่อหยานพยักหน้า
” มากับข้า ข้ามีบางอย่างจะถามเจ้า ” เหอซิงเหมิน ขึ้นขี่ราชสีห์วายุอัศนีในขณะที่มองอย่างเย็นชาไปที่ฉื่อหยาน และบอกออกไป
หลินหนาน เผิงเพ่ย เฉินอี๋ตาน ก็อึ้งอยู่สักพัก และมองไปที่เหอซิงเหมินอย่างประหลาดใจ
ฉือยู่ป๋าย ก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน ในดวงตาของเขา มันเป็นร่องรอยของความเย็นชาที่มองไปยังฉื่อหยานที่อยู่เหอซิงเหมิน ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยว
เขาเห็นสีหน้าของทุกคน แต่ฉื่อหยานไม่สนใจอะไร เขาขึ้นไปนั่งบนหลังของราชสีห์วายุอัศนีข้างๆเหอซิงเหมือนอย่างสบายโดยไม่พูดอะไร
เหอซิงเหมิน ไม่ได้แสดงความแปลกใจอะไรต่อฉื่อหยาน คนที่นั่งข้าง ๆนาง นางแตะข้าของนางไปที่ราชสีห์วายุอัศนีเพื่ออกคำสั่ง
ฉือยู่ป๋ายมองภาพที่เห็นอย่างเย็นชา ราชสีห์วายุอัศนีบินขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้วบินต่อไปที่ภูเขาหินและป่าที่อยู่ไม่ไกล
” พี่ฉือ ดูเหมือนว่าน้องซิงเหมินจะสนใจชายคนนั้นนะ ? ” เผิงเพ่ยมองราชสีห์วายุอัศนีที่หายลับไปและทันทีก็พูดกับฉือยู่ป๋าย : แต่มันไม่ใช่ในทางที่ดีแน่นอน ดูเหมือนเหอซิงเหมิน จะไม่พอใจเจ้าหนุ่มนั้น ถึงแม้นางอยากจะคุยกับเขาตัวต่อตัว แต่ก็ไม่ใช่ด้วยความรู้สึกดีๆแน่นอน”
ฉือยู่ป๋าย พยักหน้าเบาๆ และกล่าวว่า ” ดูเหมือนว่า เจ้าหนุ่มนั่นจะโชคร้ายเสียแล้ว เหอซิงเหมิน นั้นหัวสูงมาก ดังนั้นไม่ใช่เพราะนางชอบเขาแน่นอน นางเพียงแค่อยากพบเขาตามลำพัง เพื่อที่จะสั่งสอนเขาแน่ๆ ”
” อาจจะไม่ใช่ก็ได้ ” เฉินอี๋ตาน ลังเลสักครู่และกล่าวว่า : ” หลังจากที่เจ้าหนุ่มนั่นมาที่นี่ เหอซิงเหมิน สีหน้าก็ดูแปลกไป เหมือนว่านางจะหน้าแดงเล็กน้อย ไม่มีใครรู้ได้ว่าหลอกว่าพวกเขามีเรื่องอะไรกัน ”
ฉือยู่ป๋ายแววตาก็กลายเป็นเย็นชา
––––––––––––––––––––––––
ปล. ตอนนี้กลุ่มลับถึงกลุ่ม 12 แล้ว มีถึงตอนที่ 498 แล้วจ้า ท่านใดสนใจเข้าร่วมกลุ่มอ่านเงือนไขได้ที่โพสปักหมุดของเพจเลยครับ
ติดตามข่าวสารต่าง ๆ ได้ที่เพจของเรา กดตรงนี้ >>GOS เทพเจ้าล่าสังหาร << ฝากกดไลท์กดแชร์เพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้แปลด้วยครับ