บทที่ 235 สมบัติวิเศษ ตะวันกลั่นวิญญาน
เป็นอุกกาบาตขนาดใหญ่ตั้งตะหง่านอยู่ในทะเลทราย
อุกกาบาตส่องแสงเป็นประกายออมา ผลึกของมันทั้งหมดมีสีแดงสดใส มันปลดปล่อยเปลวไฟนภาที่น่าหวาดหวั่นออกมา มันรุนแรงเป็นอย่างมากราวกับว่าเป็นแสงจากดวงอาทิตย์ มันส่องแสงเจิดจ้ากระทบกับดวงตาจนไม่สามารถลืมตาได้เลย
อุกกาบาตที่เป็นเหมือนกับภูเขาขนาดเลก ส่วนใหญ่ของมันฝังลึกอยู่ในเนินทราย มีเพียงขนาดหนึ่งในสามเท่านั้นที่ยื่นออกมา
อุกกาบาตส่องประกายแสงเจิดจ้าออมา พลังของมันกำลังเผาไหม้ร่างของเขาและของเหลวที่อยู่ในร่างของเขาก็กำลังระเหยอย่างรวดเร็ว
หากเป็นมนุษย์ธรรมดาที่มายังสถานที่แห่งนี้ พวกเขาคงจะไหม้เกรียมเป็นเถ้าถ่านไปแล้วในเวลาไม่เกิน 3 ชั่วโมง
ฉื่อหยานนั้นร่างกายของเขาได้ถูกปรับแต่งด้วยเปลวไฟปฐพีมาแล้วหลายครัง เขาเพียงแค่รู้สึกกดดันจากพลังของอุกกาบาตนี้เท่านั้น
ภายในอุกกาบาต มีการเคลื่อนไหวลึกลับบางอย่างอยู่ ฉื่อหยานมองไปที่อุกกาบาตจากที่ห่างไกล และทันทีที่รู้สึกได้ว่าประสาทสัมผัสของเขากำลังถูกการกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง เขาถูกดึงดูดให้เข้าไปที่พลังลึกลับที่อยู่ในอุกกาบาต โดยที่เขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้และเขาก็กำลังมุ่งหน้าเข้าไปที่อุกกาบาต
ฉื่อหยาน สัมพัสได้เมื่อเขาเข้าไปใกล้กับ อุกกาบาต ร่างกายของเขาก็สัมผัสได้ถึงพลังไฟที่อยู่รอบๆอุกกาบาต หากเขาสัมพัสโดนมันหละก็เขาจะต้องไหม้เป็นจุลแน่นอน
ไม่ต้องพูดถึงนักรบระดับปฐพีเลย ต่อให้มีร่างกายแข็งแกร่งเช่นเดียวกับนักรบระดับพระเจ้าแท้จริง ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถทนต่อพลังที่อยู่ในอุกกาบาตได้
ฉื่อหยานไม่กล้าที่จะเสี่ยง เขาทำเพียงถอยมาและมออุกกาบาตขนาดใหญ่จากระยะไกลอย่างเงียบๆเท่านั้น
จู่ๆแกนเพลิงก็ลอยออกมา ฉื่อหยานยังคงตกอยู่ในอาการตกตะลึ่ง ในตอนนั้นแกนเพลิงก็ลอยเข้าไปที่อุกกาบาตและหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ฉื่อหยาน ก็ตกใจ เขาพยายามที่จะเชื่อมต่อกับแกนเพลิงอีกครัง แต่ตอนนี้เขาก็ตระหนักว่า เมื่อเขาปล่อยจิตสำนึกออกไป , ก็มีอำนาจที่น่ากลัวบางอย่างขวางเขาไว้ และบังคับให้เขาถอยไป
” เป็นไปได้ยังไง ? “
จู่ๆพลังความเย็นของเปลวเหมันเยือกแข็งก็ลอยออกมาจากแหวนสายโลหิต เป็นเวลาเนินนานที่เปลวเหมันได้ถูกปิดผนึกไว้ หลังจากที่พลังความเย็นลอยออกมามันก็กลายเป็นเกราะน้ำแข็ง
เปลวเหมันทันทีก็ใช้พลังความเย็นห่อหุ้มร่างของฉื่อหยาน แล้วพลังความเย็น็กระจายไปทั่วทุกมุมของร่างกายของเขา ภายใต้พลังของเปลวเหมันเยือกแข็ง จิตสำนึกและพลังของฉื่อหยานก็กลายเป็นมั่นคง
” โห้ ? เจ้าสามารถปล่อยพลังออกมาได้ด้วยงั้นรึ ? “
” ใช่ เจ้าแหวนบ้านี่รู้ว่าเจ้ากำลังเจอกับปัญหา มันจึงปลดผนึกของข้าออกและทำให้ข้าใช้พลังได้อย่างอิสระ ” เปลวเหมันเยือกแข็งตอบ และมันก็ส่งจิตสำนึกออกมา มันปลดปล่อยจิตสำนึกของมันออกมาสังเกตรอบๆ บริเวณใกล้เคียง
หลังจากนั้นไม่นาน เปลวเหมันเยือกแข็งปล่อยก็สั่นไหวด้วยความประหลาดใจ
” ตะวันกลั่นวิญญาน ! “
” อะไรนะ ? ” ฉื่อหยานก็ประหลาดใจ ” เจ้าหมายความว่าไง ? “
” อุกกาบาตที่ส่องแสงสีแดงเหมือนกับดวงอาทิตย์ลูกนี้คือ ตะวันกลั่นวิญญานที่อยู่ในศูนย์กลางของระบบสุริยะ มันเป็นสิ่งล้ำค่าเป็นอย่างมาก มันนับได้ว่าเป็นสมบัติที่มีพลังหยางรุนแรงเป็นอย่างมาในจักรวาลเลยทีเดียว ” เปลวเหมันเยือกแข็ง อธิบาย ” ตะวันกลั่นวิญญานสามารถพบได้ในศูนย์กลางของระบบสุริยะเท่านั้น มันเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญที่สุดของพลังแสงอาทิตย์ . เจ้านั้นฝึกฝนโดยใช้ความร้อน ถ้าเจ้าสามารถครอบครองตะวันกลั่นวิญญานนี้ได้หละก็ พลังของเจ้าก็จะแข็งแกร่งขึ้นอย่างมหาศาลเลยทีเดียว “
” แล้วมันมีประโยชน์ต่อแกนเพลิงหรือไม่ ? “
” ไม่เพียงแต่มีประโยชน์ต่อมันเท่านั้น ! ตะวันกลั่นวิญญานนี้ยังสามารถทำให้จิตสำนึกของแกนเพลิงสมบูรณ์ได้อย่างรวดเร็ว และพลังของมันก็จะมากมายจนไม่สามารถวัดได้ เมื่อพลังสุริยะที่อยู่ในตะวันกลั่นวิญญานถูกดูดซับและหลอมรวมเข้ากับแกนเพลิงหละก็ รูปแบบชีวิตและจิตสำนึกของมันก็จะเปลี่ยนไปทันที “
ฉื่อหยาน ตกตะลึง ” จริงรึ ? แล้วมันสามารถทำอะไรได้อีก ? “
เปลวเหมันเยือกแข็งลังเลเล็กน้อย แล้วพูดต่อว่า ” ดูเหมือนว่าจะมีอะไรบางอย่างอยู่ในตะวันกลั่นวิญญานนั่น มันหนาแน่นและแข็งแกร่งเป็นอย่างมา พลังของมันมันสามารถเปรียบเทียบได้กับการโจมตีทางวิญญานของนักรบระดับพระเจ้าแท้จริงเลยทีเดียว”
” มีอะไรอยู่ข้างในด้วยงั้นรึ ? ” ฉื่อหยานก็ประหลาดใจ ดวงตาของเขาเบิกกว้าง และปากของเขาก็อ้าออกด้วยความตกตะลึง ” ตะวันกลั่นวิญญานแน่นอนว่าต้องมาจากระบบสุริยะนอกโลกที่ตกลงมายังสถานที่แห่งนี้ แล้วเหตุใดถึงมีบางสิ่งอยู่ภายใน ? มันมาจากระบบสุริยะมิใช่รึ ? “
” มันไม่จำเป็น ว่าจะต้องมาจากระบบสุริยะเสมอไป ” เปลวเหมันเยือแข็งครุ่นคิดสักพัก แล้วพูดต่อว่า ” ตามตำนาน นักรบที่ถึงระดับพระเจ้าแท้จริงจะถือไดว่าเป็นพระเจ้า พวกเขามีพลังพิเศษที่สามารถทำลายโลกได้ ร่างกายของพวกเขาถือได้ว่าอยู่เหนื่อกฏเกณของโลกใบนี้ และสามารถลอยเหนือท้องฟ้าได นั่นหมายความว่า มีเพียงนักรบระดับพระเจ้าแท้จริงเท่านั้้นที่สามารถออกไปยังระบบสุริยะได้”
” ออกไปยังระบบสุริยะ ? ” ฉื่อหยานดวงตาก็ส่องประกาย ” ตามที่เจ้าบอก มีบางสิ่งอยู่ในตะวันกลั่นวิญญาน ถ้ามันจะไม่ได้มาจากระบบสุริยะ มันก็ย่อมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากนักรบระดับพระเจ้าจริงหนะสิ ? “
” ใช่ สมควรเป็นเช่นนั้น”
ฉื่อหยานชะงักทันที
จากระยะห่างร้อยเมตร เมื่อจ้องมองไปยังตะวันกลั่นวิญญานที่ส่องสว่าง เขาก็เริ่มรู้สึกปวดตาขึนมาและเค้าค่อยๆหลับตาลงแล้วพึมพำ ” มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเข้าไปใกล้ๆ . . . . . . . “
ถึงแม้ว่าร่างกายของเขาได้รับการปรับแต่งโดยเปลวไฟปฐพีมาแล้ส และเขายังมีพลังไฟของแกนเพลิงอีก แต่พลังไฟที่ออกมาจากตะวันกลั่นวิญญานนั้น ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถรับมือได้เลย
แม้จะอยู่ห่างเป็นร้อยเมตร เขาก็รู้สึกว่าร่างกายของเขากำลังถูกเผา ถ้าเขาเข้าไปใกล้กับตะวันกลั่นวิญญานมากกว่านี้เขาจะต้องกลายเป็นเถ้าถ่านแน่นอน .
” เจ้าอยากเข้าไปใกล้ๆมันงั้นรึ ? ” เปลวเหมันเยือกแข็ง ดูเหมือนจะรู้เจตนาของเขา และมันก็พูดว่า ” ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าในตอนนี้ เจ้าไม่สามารถเข้าไปใกล้มันได้อย่างแน่นอน แต่หากมีข้าช่วย มันก็มีหนทางอยู่ ” . . . . . . .
” แล้วเจ้าจะรออะไรอยู่หละ ? ” ฉื่อหยานตะโกนออกมา แล้วรีบใช้พลังความเย็นของเปลวเหมันเยือกแข็ง ในพริบตา ร่างกายของเขาก็ถูกปกคลุมได้ด้วยน้ำแข็ง
น้ำแข็งแผ่กระจายไปทั่วทั้งร่างกายของเขา มันเป็นเหมือนกับเกราะน้ำแข็งที่่ภายในกลวงโบ๋และมีร่างของฉื่อหยานอยู่
ด้วยพลังความเย็นที่ห่อหุ้มอยู่ ฉื่อหยานทันทีกตระหนักได้ว่าความร้อนที่ล้อมรอบตะวันกลั่นวิญญานได้หายไป และเขาก็รู้สึกได้ว่าร่างกายของเขาไม่รู้สึกร้อนอีกต่อไป
” ตั้ม ตั้ม ตัม ตั้ม “
ด้วยมีพลังความเย็นป้องกันอยู่ ฉื่อหยาน ก็เต็มไปด้วยความกล้าและเคลื่อนไหวทีละก้าวเข้าไปที่ตะวันกลั่นวิญญาน แต่เขากยังไม่กล้าที่จะก้าวไปอย่างรวดเร็ว
ห้าสิบเมตร . . . .
. . . . . . สามสิบเมตร ,
. . . . . ยี่สิบเมตร ,
10 เมตร เมื่อถึงตรงนี ฉื่อหยานก็หยุดลงอย่างกระทันหัน
จากสิบเมตร กลุ่มก้อนพลังไฟนั้นร้อนเป็นอย่างมาก มันลอยออกมารอบๆตะวันกลั่นวิญญานโดยไม่กระจายตัวกันออกไป
ตอนนีตะวันกลั่นวิญญานอยู่ใกล้กับเขาเป็นอย่างมาก ถ้าเขาขยับไปข้างหน้าอีกนิดเดียว เขาก็จะสามารถสัมพัสมันได้ เขานั้นไม่ได้คิดแม้แต่น้อยเลยว่าหากเข้าไปใกล้มันมากกว่านี้จะสิ่งใดเกิดขึ้น
” เจ้าไม่ควรเข้าไปใกล้มากกว่านี้ เท่านี้็ก็เพียงพอแล้ว “เปลวเหมันเยือแข็งเตือนเขา” หลับตาลงซะ หากเจ้าจ้องมันนานกว่านี้ ตาของเจ้าต้องบอดแน่นอน “
ฉื่อหยานกำลังจะพูดแต่ก็หยุดลง และรีบปิดดวงตาของเขา แต่เขาก็ยังคงคิดจะส่งจิตสำนึกไปที่แกนเพลิง
” ถ้าเจ้าไม่อยากโดนตะวันกลั่นวิญญานจู่โจม เจ้าห้ามส่งจิตสำนึกออกไปเด็ดขาด เมื่อเจ้าเริ่มส่งพลังออกไป สิ่งที่อยู่ภายในนั้นจะต้องสนองและโจมตีเจ้าทันที ข้ารู้ได้เลยว่าพลังที่มันปล่อยออกมานั้นจะทำให้วิญญานของเจ้าได้รับบาดเจ็บเสียยิ่งกว่าตอนที่ข้าพยายามจะยึดร่างเจ้าเสียอีก จะให้พูดก็คือ เจ้าไม่สามารถทนการโจมตีของมันได้อย่างแน่นอน . “
ฉื่อหยานที่กำลังส่งจิตสำนึกออกไปก็หยุดทันทีหลังจากที่ถูกเตือนโดยเปลวเหมันเยือกกแข็ง
” แล้วตอนนี้พวกเราต้องทำยังไงต่อ ? “
” เราไม่สามารถทำอะไรได้ ทำได้เพียงรอแกนเพลิงอยู่ที่นี่เท่านั้น มันสามารถรับรู้ถึงเจ้าได้ว่าเจ้าอยู่ใกล้ๆ ในตอนนี้ มีเพียงแกนเพลิงเท่านั้นที่ไม่ได้รับผลกระทบใดๆจากตะวันกลั่นวิญญาน รูปแบบชีวิตของมันค่อนข้างพิเศษ หากมันกล้าที่จะเข้าไปก็แสดงว่ามันไม่กลัวต่อสิ่งที่อยู่ในตะวันกลั่นวิญญาน หื้ม…. รอให้แกนเพลิงกลับมา หรือรอจนกว่ามันจะสื่อสารถึงเจ้า นอกจากรอ เราก็ไม่สามารถทำอะไรได้ “
ฉื่อหยาน เมื่อคิดว่าไม่สามารถทำอะไรได้ เขาก็หลับตาลงและยืนนิ่ง ห่างออกมาสิบเมตรจากตะวันกลั่นวิญญาน เขาไม่กล้าที่จะใช้พลังของเขา เขาเพียงแค่ใช้ร่างกายของเขาสัมพัสกับความร้อนของตะวันกลั่นวิญญานเท่านั้น
” โอ้… ? ” กระแสพลังความร้อนที่บางเบาลอยออกมาจากตะวันกลั่นวิญญาน ดูเหมือนว่ามันจะถูกควบคุมโดยบางสิ่งบางอย่าง มันไหลไปที่หน้าของฉื่อหยานอย่างเงียบๆ และไหลเข้าไปในหัวใจของฉื่อหยาน
หลังจากพลังความร้อนไหลเข้ามา หัวใจของเขาก็ก็ส่องแสงสีแดงออมา , แสงของดวงดาวที่อยู่ในหัวใจของเขาค่อยๆส่องประกายออมา มันลอยขึ้นไปอยู่เหนือหัวใจของเขา มันดูเหมือนฉากที่เกิดขึ้นอย่างอัศจรรย์ ฉื่อหยานนั้นคิดถึงไม่ถึงเลยว่ามันจะกลายเป็นเช่นนี้
” นี่… นี่คืออะไร ? ” เปลวเหมันเยือกแข็งมองด้วยความประหลาดใจ และพลังความเย็นที่อยู่ในแหวนสายโลหิตก็ค่อยๆอ่อนแอลง
และกระแสพลังแสงอาทิตย์หลายสายก็พุ่งเข้ามาที่หน้าอกของฉื่อหยาน และไหลเข้าไปในหัวใจของเขา เหมือนกับว่ามันกำลังปรับเปลี่ยนหัวใจของเขา หัวใจของเขาเต็มไปด้วยพลังที่แข็งแกร่ง นั่นอาจจะเพราะเขาได้รับพลังแสงอาทิตย์มาเป็นจำนวนมาก ซึ่งตอนนี้มันกำลังส่องแสงเป็นประกายออกมา
ทันทีแสงที่ส่องสว่างเหมือนกับแสงอาทิตย์ก็ระเบิดออกมาจากหัวใจของฉื่อหยาน พริบตาเดียว ฉื่อหยานก็กลายเป็นเหมือนกับดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงที่แข็งแกร่งออกมา
” เกิดอะไรขึ้น ? ” เปลวเหมันเยือกแข็งดูเหมือนจะไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น และมันก็รีบถามฉื่อหยาน ” ทำไม …. ทำไม หัวใจของเจ้าถึงดูดซับพลังแสงอาทิตย์ได้ ? จิตวิญญานแห่งดวงดาวของเจ้า…. ข้าเข้าใจแล้ว ! ดวงอาทิตย์เองก็นับได้ว่าเป็นดาวดวงหนึ่ง พลังแสงอาทิตย์ก็นับได้ว่าเป็นพลังจากดวงดาวเช่นกัน “
พลังแสงอาทิตย์สาดเข้าไปในหัวใจของเขา เวลานี้ ฉื่อหยานรู้สึกเหมือนเขาถูกโยนเข้าไปอยู่ในหม้อเผาน้ำมัน . ตอนนี้เขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดก็ยากที่จะอธิบาย
และนั่นคือเหตุผลที่เขาไม่สามารถแม้แต่จะพูดคุยกับเปลวเหมันเยือกแข็งได้อีกต่อไป เขาได้แต่อยู่เฉยๆ ปล่อยให้พลังงานแสงอาทิตย์ไหลเข้ามา [TL. แหวนคงจะปิดผนึกเปลวเหมันเยือกแข็ง เพราะจะพลังความเย็นอาจจะขัดขวาง พลังแสงอาทิตย์ที่ไหลเข้ามาในร่างของฉื่อหยาน]
ในตอนนั้นเอง , ก็เกิดการไหลเวียนลึกลับปรากฏบนหน้าอกของเขา มันคือ เคล็ดทมิฬ ! ซึ่งมันเป็นวิชาของพรรคสามเทพ และตอนนี้มันก็เริ่มแสดงผลออกมา
พลังของทั้งสามโคจรวนไปมามากขึ้นเรื่อยๆและพลังแสงอาทิตย์เองก็เข้ามาในร่างของเขามากขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน พวกมันโคจรอย่างรวดเร็วและเร็วขึ้นเรื่อยๆ มันโคจรอย่างบ้าคลั่งอยู่ในหัวใจของเขา [TL. พลังทั้งสามคือ พลังดวงดาว พลังแสงอาทิตย์ พลังหยินที่มาจากเคล็ดทมิฬ]
” บูม ! ” ทันที ร่างกายของเขาก็ลุกเป็นไฟ เปลวไฟแสงอาทิตย์เริ่มเผาไหม้อยู่ในร่างของเขา
เปลวเหมันเยือกแข็งนั้นแถบจะไม่สามารถเชื่อมต่อกับฉื่อหยานได้เลย ถ้ายังปล่อยให้พลังแสงอาทิตย์เผาไหม้ฉื่อหยานอยู่เช่นนี้ วิญญานของฉื่อหยานจะต้องแตกสลายแน่นอน นั่นย่อมหมายถึงความตาย
ถ้าฉื่อหยานตาย แหวนสายโลหิตก็จะปราศจากเจ้านาย มันจะอยู่ที่นี่และผนึกเปลวเหมันเยือกแข็งตลอดไป
นี่ไม่ใช่จุดจบที่เปลวเหมันเยือกแข็งอยากจะเจอ
พลังน้ําแข็งที่หนาแน่น ก็เริ่มกระจายออกมาจากแหวนสายโลหิต
เปลวเหมันเยือกแข็งปลดปล่อยพลังของมันออกมาอย่างรวดเร็ว และใช้พลังความเย็นที่สังสมมานับพันล้านปีต่อต้านพลังแสงอาทิตย์ที่อยู่ในร่างของฉื่อหยาน ต้องขอบคุณที่พลังความเย็นสามารถเข้าไปในร่างของฉื่อหยานได้ พลังแสงอาทิตย์ทันทีก็หายไปครึ่งหนึ่ง
ดวงตาของฉื่อยาน ข้างหนึ่งส่องประกายพลังความร้อนออมา , ส่วนอีกข้างก็ส่องประกายพลังความเย็นออกมา พวกมันได้เปลี่ยนร่างของเขาให้เป็นบางสิ่งที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างมา
ตะวันกลั่นวิญญานที่อยู่บนเนินทรายส่งเส้นสายพลังความร้อนออมาอย่างต่อเนื่อง แสงที่ส่องออกมาเหมือนกับดวงอาทิตย์ถูกดึงไปยังจุดๆเดียว
สิบเมตรห่างจากตะวันกลั่นวิญญาน มีร่างๆหนึ่งกำลังถูกห้อมล้อมโดยเปลวเพลิงที่เผาไหม้ขนาดใหญ่. ร่างนันกำลังอดทนต่อพลังทั้งสองที่กำลังต่อต้านกัน
ในตอนนี พลังเปลวไฟแสงอาทิตย์ และเปลวเหมันเยือกแข็ง กำลังประทะกันภายในร่างกายของเขาซึ่งทำให้เขาตกอยู่ในสภาวะร้อนระอุและเย็นยะเยือก ร่างกายของเขาเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆอย่างรวดเร็ว จากเย็นยะเยือกเป็นร้อนระอุ และมันก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆโดยใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที
แม้แต่วิชาของเขาก็กลายเป็นปั่นป่วน อารมณ์เชิงลบที่อยู่ในจุดชีพจรของเขาไหลออกมาโดยไม่สามารถควบคุมได้และมันก็ทะลักออกมาจากร่างกายของเขา
ฉื่อหยาน ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น เขาทำได้เพียงแค่อดทนอยู่เฉยๆเท่านั้น
การประทะกันของเปลวไฟแสงอาทิตย์ และเปลวเหมันเยือกแข็งกำลังเกิดขึ้นในร่างของเขา ในขณะที่พลังทั้งสองกำลังประทะกัน หัวใจของเขาก็ยังคงดูดซับพลังความร้อนจากตะวันกลั่นวิญญานอยู่
จิตใจของเขากลายเปนยุ่งเหยิง และสติของเขาก็ไม่ชัดเจน ฉื่อหยานค่อยๆหมดสติไป และตอนนี้แม้แต่ตัวเองเขาก็ไม่รู้ว่าเขาคือใคร
ขณะเดียวกัน อารมณ์เชิงลบก็กระจายไปทั่วร่างกายของเขา อารมณ์เชิงลบต่างๆมามาย กระตุ้นอยู่ในหัวของเขา นั่นทำให้เขาไม่ลืมตัวเองไปและทำให้เขาทำตัวตามสัญชาตญานดิบ เขาสูญเสียความทรงจำและกลายเป็นบ้าคลั่ง
ภายใต้ก้อนเมฆสีแดง
ร่างๆหนึ่งเต็มไปด้วยพลังความร้อนพร้อมกับดวงตาทั้งสองข้างกลายเป็นสีแดง เขาแหงนหน้าขึ้นฟ้าและคำรามออกมาราวกับว่าต้องการจะฉีกกระฉากจักรวาลแห่งนี้
เสียงคำรามที่น่าหวาดหวั่นดังลั่นสนั่น และ กระจายไปรอบๆทะเลทราย แม้อยู่ห่างสิบไมล์ก็สามารถได้ยินได้
” เสียงใครกัน ? “
ในทะเลทราย , ขบวนนักรบกำลังเดินอย่างไร้จุดหมาย พวกเขาทั้งหมดดูอ่อนล้าเป็นอย่างมาก
หญิงสาวที่มีร่างกายสง่างามเดินอยู่ด้านหน้าพร้อมกับขมวดคิ้ว นางหันไปทิศทางของเสียงร้อง จ้องมองไปอย่างตั้งใจ และก็ตะโกนว่า ” น้องสาวกู่ , ข้าคิดว่าเสียงร้องนั้นเป็นของชายที่เป็นศัตรูของเจ้านะ ” ฉาวจื่อหลานพูดออกมาพร้อมกับมีสีหน้าที่แปลกประหลาด
กลุ่มนี้เป็นกลุ่มของ ฉาวจื่อหลาน , พานโจว กู่หลินหลงและซูหยานซิง ในตอนแรก พวกเขานั้นอยู่แยกกัน แต่เมื่อเดินไปเรื่อยๆในทะเลทราย พวกเขาก็ได้เจอกันอีกครั้ง และรวมกลุ่มขึ้นมาใหม่
หลังจากได้เจอกันอีกครั้ง พวกเขารวมตัวกันโดยสมัครใจ และร่วมกันเดินทาง เพื่อค้นหานักรบของตระกูลหยาง อย่างไรก็ตาม การค้นหาของพวกเขาก็เป็นไปอย่างยากลำบาก แม้จะใช้จิตวิญญานสัมพัสพระเจ้าของฉาวจื่อหลาน แต่ในทะเลทรายของนี้พวกเขากเหมือนคนตาบอด โดยปราศทิศทางเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะหาทางออกพบ
ตอนนี้ ฉาวจื่อหลาน เหนื่อยล้าจนแทบหมดสติ
จนวันนี พวกเขาไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร นอกจากเดินไปเรื่อยๆ จู่ๆ พวกเขาได้ยินคำรามที่น่าหวาดหวั่น ฉาวจื่อหลาน ที่มีประสามสัมพัสที่แหลมคมก็รู้สึกทันทีว่าบุคคลที่คำรามออกมานันคือใคร จากนั้นพวกเขาก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น” ฮ่าๆๆ ในที่สุดเราก็พบเสียที ! “
กูหลินหลงตะโกนออกมา ” แล้วเราจะรออะไรกันอยู่ ? เราควรจะออกเดินทางและไปฆ่ามันได้แล้ว “
พานโจว ยิ้ม พยักหน้า และกล่าวว่า ” เราต้องเดินเป็นเวลานานในทะเลทรายเป็นเวลาเกือบครึ่งปี เฮ้อ ยิ่งเราฆ่าพวกตระกูลหยางได้เร็วเท่าไหร่ เราก็ยิ่งออกไปจากที่นี่ได้เร็วเท่านั้น “
” จะได้ออกไปจากที่นี่งั้นรึ ? ” ฉาวจื่อหลานหัวเราะ ไปที่พานโจว ” ข้าไม่รู้มาก่อนเลยว่าเจ้ามีของอัศจรรย์บางอย่างที่สามารถพาเราออกไปจากที่นี่ด้วย “
” ข้าไม่มี และนั่นก็คือเหตุผลที่เราไปหามัน มันเป็นคนแรกที่เขามายังสถานที่แห่งนี้ มันจะต้องรู้คำตอบแน่นอน ” พานโจวเกาหัว แล้วพูดอย่างน้อบน้อม ” มันไม่ใช่ ว่าพวกเราไม่เชื่อใจแม่นางฉาวหลอกนะ ข้าเชื่อว่าด้วยจิตวิญญานสัมพัสพระเจ้าของเจ้า ไม่ช้าก็เร็ว เราย่อมรู้ทางออกและไปจากทะเลทรายแห่งนี้ได้แน่นอน “
” แต่ข้าไม่คิดว่าเป็นเช่นนั้นนะ … ” ฉาวจื่อหลานส่ายหน้า พร้อมกับมีสีหน้าจริงจัง ” สถานที่ ที่ฉื่อหยานอยู่นั้นร้อนเป็นอย่างมาก ข้าไม่คิดว่าทุกคนจะสามารถทนต่อความร้อนเช่นนั้นได้ แม้แต่ตัวข้าเองก็ไม่อยากจะไปที่นั่นเช่นกัน ข้านั้นมีสมบัติลับที่สามารถรับมือกับมันได้อยู่ และพวกเจ้าเองก็ควรตามข้ามาอย่างระวัง “
ใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปทันที
หลังจากนั้น กู่หลินหลงและนักรบของนางก พยักหน้ารับอย่างเงียบๆและเริ่มที่จะเตือนคนอื่นระวัง โดยไม่พลีพล่ามไปข้างหน้า เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการถูกฆ่าตายโดยความร้อนจากพลัแสงอาทิตย์
หลังจากเตือนนักรบของตัวเอง พานโจว กู่หลินหลงและซูหยานซิงก็ไปยืนอยู่ด้านหลังฉาวจื่อหลานอย่างรวดเร็วและเคลื่อนที่ไปยังทิศทางที่ฉื่อหยานอยู่ .
หลังจากนั้นไม่นาน
ฉาวจื่อหลาน กู่หลินหลง ซูหยานซิง และพานโจวตอนนี้ก็อยู่ห่างจากตะวันกลั่นวิญญานห้าร้อยเมตร
แม้จะอยู่ห่างห้าร้อยเมตร , แสงดวงอาทิตย์ที่รุนแรงของตะวันกลั่นวิญญานก็ยังส่องสว่างมาที่พวกเขา ทำให้ทังสี่คนไม่สามารถมองเห็นฉื่อหยานได้อย่างชัดเจน หรือมิอาจรู้ได้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่นั่น
นักรบที่ติดตามมาไม่กล้าที่จะไปต่อ
ภายใต้ความร้อนของพลังแสงอาทิตย์ แม้จะเป็นนักรบในนภาที่สามของระดับปฐพีก็ไม่สามารถทนได้และ พวกเขาก็ลือกที่จะหยุด
มีเพียงทั้งสี่คนเท่านั้นที่กล้าที่จะเข้ามาใกล้ขนาดนี้ นั่นเป็นเพราะพวกเขาคือผู้นำของนักรบเหล่านั้น พวกเขาไม่เพียง แต่ได้รับการฝึกฝนที่พิเศษ แต่พวกเขายังมีสมบัติลับมากมายอีกด้วย ต้องขอบคุณบรรดาสมบัติลับและจิตวิญญานต่อสู้ของพวกเขา ที่สามารถทำให้พวกเขาสามารถยืนห่างจากตะวันกลั่นวิญญานได้ในระยะห้าร้อยเมตร
ร่างกายของพวกเขานั้นไม่ได้ถูกปรับแต่งด้วยเปลวไฟ แม้ว่า จะมีสมบัติลับ พวกเขาก็ทำได้เพียงจ้องมองในระยะห้าร้อยเมตรเท่านั้น พวกเขาไม่เหมือนฉื่อหยาน ที่มีพลังของเปลวเหมันเยือกแข็ง ที่ทำให้เขาสามารถเข้าไปใกล้กับตะวันกลั่นวิญญานได้และไม่ต้องกังวลด้วยว่าจะถูกเผาไหม้เป็นเถ่าถ่านโดยพลังแสงอาทิตย์
” ข้าไม่สามารถลืมตาได้เลย ! ” กู่หลินหลงตะโกนออกมา
” นี้ … นี้เป็นเพราะตะวันกลั่นวิญญาน นี้ต้องเป็นตะวันกลั่นวิญญานที่อยู่ในใจกลางของระบบสุริยะแน่นอน หากเป็นดวงตาของคนธรรมดา เพียงแค่จ้องมองไปที่มันก็ทำให้ตาบอดแล้ว “
” ตะวันกลั่นวิญญาน ! ” พานโจว ตกใจ “ถ้าคนของพรรคสามเทพมาที่นี่ พวกเขาจะไม่ตกอยู่ในความสุขอย่างบ้าคลั่งเพราะได้พบกับตะวันกลั่นวิญญานหลอกรึ ? “
” น่าเสียดาย พรรคสามเทพนั้นกำลังวุ่นวายอยู่กับการรับมือพวกเผ่าทมิฬ พวกเขาไม่สามารถเข้าร่วมการตามล่าตระกูลหยางกับเราในครั้งนี้ได้ เฮ้อ… นี่เป็นความผิดของพวกเขาเองที่ไม่มา ถ้านักรบจากพรรคสามเทพมาที่นี่ ด้วยจิตวิญญานแห่งดวงอาทิตจ์ของพวกเขา หากได้มาพบกับตะวันกลั่นวิญญานที่นี่หละก็ พวกเขาคงจะแข็งแกร่งขึ้นเป็นอย่างมา “
ซูหยานซิงค่อยๆหลับตา นางไม่อาจทนความร้อนอีกต่อไป
ฉาวจื่อหลาน ไม่ได้ตอบอะไร นางยืนเงียบๆส่งจิตวิญญานสัมพัสพระเจ้าออกไปเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ตรงนั้น
แต่ทันทีที่นางส่งจิตวิญญานสัมพัสพระเจ้าออกไป นางก็สัมพัสได้ว่าภายในตะวันกลั่นวิญญานได้ปลดปล่อยพลังออกมา และโจมตีมาที่จิตวิญญานสัมพัสพระเจ้าของฉาวจื่อหลานและสะท้อนมันกลับมาที่ร่างของนาง
“อั๊ก ! ” ฉาสจื่อหลานที่ยืนอยู่ก็กระอีกเลือดออกมา ร่างกายที่สวยงามของนางพค่อยๆขยับถอยหลังไปสองสามก้าว ใบหน้าของนางกลายเป็นซีดเซียว และนางก็พูดออกมา ” ห้ามส่งพลังออกไปเด็ดขาด ! มีบางอย่างที่แปลกประหลาดสะท้อนกลับมา “
” อัก ! “
” อัก ! “
สายเกินไป พานโจว และกู่หลินหลง พร้อมกับนักรบของพวเขากระอักเลือดออกมา และก้าวถอยหลังไปอย่างโซเซ
ซูหยานซิงก็ตกใจ นางนั้นกำลังจะส่งพลังของนางออกไป แต่นางหยุดและถอนกลับมาได้ทันเวลา
ฉาวจื่อหลาน นั้นเตือนช้าไปเสี้ยววินาที จึงทำให้พานโจวและกู่หลินหลงได้รับบาดเจ็บสาหัส พลังของพวกเขาถูกสะท้อนกลับมา โดยบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ในตะวันกลั่นวิญญาน
” ระวัง ! ! ! พวกเจ้าห้ามใช้พลังเด็ดขาด และห้ามลืมตาเป็นเวลานาน เพียงแอบเหลือบมองอย่างรวดเร็วแล้วปิดทันทีเท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากแสงที่ส่องมา ” ฉาวจื่อลานรีบเตือนพวกเขา
” ไม่ดีแล้ว ! ” ซูหยานซิงร้องออกมา
” เกิดอะไรขึ้น ? ” พานโจว รีบถาม
” ฉื่อ…..ฉื….ฉื่อหยานกำลังมาทางนี้ ! ” ซูหยานซิงก้าวถอยหลังด้วยความตใจ ” ร่างของเขาเต็มไปด้วยพลังความร้อนที่รุนแรง และพลังความเย็นที่เย็นยะเยือก เกิดอะไรขึ้กันแน่ ? “
” อะไรนะ ! ? ” ฉาวจื่อหลานก็ลืมตาขึ้นมาด้วยความหวาดหวั่น
ในสายตาของพวกเขา มีร่างๆหนึ่งกำลังพุ่งพร้อมกับแสงแดดเจิดจ้าที่ส่องมา ร่างนั้นกำลังพุ่งมาที่เขาอย่างรวดเร็ว , ร่างของเขาปลดปล่อยพลังสีแดงที่่ร้อนแรงและพลังสีฟ้าที่เย็นยะเยือกออกมา พลังสีแดงนั้นร้อนระอุเป็นอย่างมาก ส่วนพลังสีฟ้านั้นเยือกเย็นไปถึงขั่วกระดู พลังทั้งสองอย่างนี้แผ่กระจายไปทั่วทั้งร่างกายของเขา ดูเหมือนว่าพลังแต่ละชนิดกำลังประทะกันอย่างรุนแรง
อย่างไรก็ตาม ด้วยพลังทั้งสองที่ลอยอยู่รอบตัวเขา เขายังคงดูปกติดีและกำลังมุ่งมาที่พวกเขาอย่างรวดเร็วเหมือนกับสายฟ้้าฟาด ความเร็วของเขาเร็วขึ้นและเร็วขึ้นเรื่อยๆ
ไม่มีใครรู้ว่าทำไมกลุ่มพลังไฟแสงอาทิตย์ถึงได้พยายามลอยไปที่ร่างของเขา ถึงแม้ว่าร่างกายของจะพุ่งมาด้วยความรวดเร็ว พวกพลังไฟแสงอาทิตย์ก็ยังตามเข้ามาติดๆ
พลังความร้อนพุ่งมายังพวกเขารอยแตกของแผ่นดิน ราวกับว่ามันได้เผาผลาญทุกสิ่งที่ขวางเส้นทางของมัน
จนกระทั่งดวงตาทั้งสองของนางรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมา ฉาวจื่อหลาน ตระหนักได้ว่านางไม่สามารถยืนตรงนี้ได้อีกต่อไป ฉาวจื่อหลานรีบหันหลังกลับโดยไม่ลังเล และหนีไปด้วยความเร็วสูงสุดที่นางมี
” ถอยเร็ว ! “
พานโจว ที่กำลังรอคำสั่งอยู่ ก็พบว่า ฉาวจื่อหลาน ได้หายไปในพริบ
ด้วยความฉลาดของเขาเพียงเล็กน้อย ที่เห็นท่าทีของฉาวจื่อหลานเปลี่ยนไป เขาก็ไม่ลังเล และออกคำสั่งให้หลบหนีไปพร้อมับฉาวจื่อหลาน
ถึงแม้ว่าซูหยานซิงและกู่หลินหลง นั้นต้องการที่จะอยู่และต่อสู้ แต่เมื่อเห็นฉาวจื่อหลานหนีไป พวกนางก็รู้สึกได้ถึงอันตรายและหนีตามพานโจวไปอย่างรวดเร็ว
” พุชช ! “
ในเวลาเดียวกัน
ดาบสีแดงที่เป็นเหมือนเปลวไฟยาวสองเมตรและกว้าครึ่งเมตร ก็พุ่งออกมาจากตะวันกลั่นวิญญาน
ดาบทั้งเล่มถูกครอบคลุมด้วยสัญลักษณ์โบราณ มีดวงตาสีแดงอยู่บนใบดาบ เมื่อดาบพุ่งออกมา ดวงตาสีแดงก็ปล่อยแสงสีแดงที่ชั่วร้ายออกมา
จิตสังหารที่น่าหวาดหวั่นทะลัออกมาจากดาบสีแดง จากนั้นก็มีพลังระเบิดออมา พลังนี้เป็นเหมือนกับพายุทอร์นาโดที่รุนแรง , ที่กวาดล้างสิ่งมีชีวิตและมนุษย์ หรือทุกสิ่งทุกอย่างให้หายไปด้วยพลังของมัน .
ร่างบ้าคลั่งที่กำลังไล่ตามฉาวจื่อหลานและพานโจวอยู่นั้น เมื่อดาบปลดปล่อยจิตสังหารออกมา เขาก็หยุดลงและสติของเขาก็ลางเลือน จากนั้นเขาก็สลบไป
แหวนสายโลหิตที่อยู่บนนิ้วของเขาส่องแสงออกมากระทบกับดาบเล่มนั้น
นั่นทำให้เหล่าคนที่เห็นตกอยู่ในความประหลาดใจ
––––––––––––––––––––––––
ปล. ตอนนี้กลุ่มลับถึงกลุ่ม 16 แล้ว มีถึงตอนที่ 679 แล้วจ้า ท่านใดสนใจเข้าร่วมกลุ่มอ่านเงือนไขได้ที่โพสปักหมุดของเพจเลยครับ
ติดตามข่าวสารต่าง ๆ ได้ที่เพจของเรา กดตรงนี้ >>G OS เทพเจ้าล่าสังหาร << ฝากกดไลท์กดแชร์เพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้แปลด้วยครับ