บทที่ 264 การข่มขู่จากสวรรค์ด้วยพลังที่น่ากลัว
ครึ่งเดือนต่อมา
หัวหน้าทั้งสามของเผ่าปีก ทั้ง ตี่ฉาน ตั่วหลง และ ยู่โหลว ร่วมทั้งหัวหน้าทั้งสามเผ่าเสียงอสูร ต่างก็ยืนอยู่ที่รอฉื่อหยานอยู่ที่ห้องโถงหิน
ฉื่อหยาน นั่งนิ่งอยู่ภายในห้องโถงหินอย่างสงบ พานโจว และอีก 6 นักรบแห่งทะเลไม่มีที่สิ้นสุก็ยืนอยู่ด้านหน้าเขาด้วยสีหน้าบึ่งตึง พร้อมกับดวงตาที่น่าผิดหวัง และสิ้นหวัง
สี่สาวกลุ่มของฉาวจื่อหลาน แอบอยู่ในห้องเป็นเวลานานโดยไม่เคยออกมาข้างนอกเลย
ฉื่อหยานลืมตา ต้อนรับพวกเขาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่เย็นชา ” พวกท่านมาแล้วรึ “
ยู่โหลวพยักหน้าและยิ้ม ” เป็นยังไงบ้าง ? นี่ก็ถึงเวลาแล้ว ข้าคิดว่าเราควรออกเดินทางเด๋วนี้ การบ่มเพาะของเจ้าเป็นไงบ้าง ? เจ้าพร้อมแล้วหรือไม่ ?
ตี่ฉาน หลี่ดวง ตาของเขาสังเกตุผ่านร่างกายของฉื่อหยานสักพักจากนั้นก็ปรบมือ
หลังจากผ่านมาสองสัปดาห์ ฉื่อหยานอีกเพียงก้าวเดียวก็จะเข้าสู่นภาที่สามของระดับปฐพี จิตใจของเขามั่นคง ; พลังในร่างกายของเขาบริสุทธิ์ ยิ่งใหญ่และทรงพลัง ความสงบและความมั่นคงปรากฏออกมาจากการแสดงออกของเขา มันดูเหมือนว่าเขาไม่ได้กังวลถึงสิ่งอันตรายทีจะเกิดขึ้นเลย
จากที่ ตี่ฉานสังเกตุเห็น ฉื่อหยาน เขาก็มั่นใจทันทีว่าฉื่อหยานนั้นพิเศษเป็นอย่างมาก เขาไม่เพียงแต่มีสายเลือดอมตะ แต่ยังมีร่างกายที่แข็งแกร่งอีกด้วย . รวมกับการกระทำของฉื่อหยานที่ปราศจากความรู้สึกและเลือดเย็นของฉื่อหยาน ในอนาคตเขาจะต้องเป็นคนที่ยิ่งใหญ่แน่นอน
ในช่วงเวลานี้เขาได้มองดูฉื่อหยานอย่างเงียบๆ เขาได้เห็นนักรบจากทะเลไม่มีสิ้นสุดกลายเป็นหนูทดลองของฉื่อหยานเพื่อให้เขาฝึกบ่มเพาะด้่านวิญญาน สีหน้าของฉื่อหยานยังคงไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเขาเห็นวิญญานของเพื่อนมนุษย์ระเบิดทีละคน
การกระทำที่โหดร้ายของฉื่อหยานนั้นถูกใจตี่ฉานเป็นอย่างมาก
” ทุกอย่างพร้อมแล้ว “
ฉื่อหยานค่อยๆยืนขึ้น ยกศีรษะของเขามองขึ้นไปบนฟ้า แล้วพูดว่า ” ฟากฟ้าและแผ่นดินบนภูเขาเสียงอสูรเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นตลอดเวลา เราต้องรีบหน่อยแล้ว “
หลังจากหยุดแปปนึง เขาก็พูดต่อ ” พวกท่านพร้อมรึยัง ?
” พวกเรา ?” หยาเมิงจู่ ๆก็พูดว่า ” พวกเราต้องพร้อมด้วยรึ ? ไม่ใช่เจ้าคนเดียวรึที่้ต้องไปที่นั่น ?
คาป้า และ ตั่วหลง การแสดงออกของพวกเขาก็ดูสับสน
ตั่วหลง ยู่โหลว และอี้เทียนโหมวเล็กน้อยถักคิ้วของพวกเขดูเหมือนจะรู้ว่าฉื่อหยานหมายถึงอะไร
” เมื่อผนึกที่ภูเขาเสียงอสูรถูกทำลาย พวกท่านจะต้องเข้าไปทันที ” ฉื่อหยานคิดสักครู่ก่อนที่จะพูดอย่างจริงจัง ” แน่นอน อาจจะมีประตูเคลื่อนย้ายในภูเขาเสีนงอสูร นั่นอาจจะเป็นประตูไปสู่โลกภายนอก หากประตูปรากฏขึ้น บางทีแผ่นดินอาจจะสั่นสะเทือนจากการเปลี่ยนแปลงและสลายไป มันง่ายเลยสำหรับพวกท่านท่านที่จะออกไปแต่สำหรับคนของพวกท่านหละ ? และพวกท่าน ไม่ต้องการทรัพสมบัติที่พวกท่านสั่งสมมานานหลายปีออกไปด้วยรึ ?
คาป้า และหยาเมิง สีหน้าก็เปลี่ยนไป
” ท่านควรเตรียมตัวให้พร้อมไว้ มิเช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือนท่าน ” ฉื่อหยาน พูดอย่างเฉยเมย “ท่านน่าจะนำพาคนของพวกท่านไปรอที่ภูเขาเสียงอสูรด้วย เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น ท่านก็จะมิสามารถกลับมาได้แล้ว ถ้าดินแดนแห่งนี้ล่มสลายและท่านยังไม่อยู่ที่นี่หละก็ ท่านก็น่าจะรู้ผลจะเป็นเช่นไร ” .
คาป้า หยาเมิง และตั่วหลงไม่พูดอะไรต่อ พวกเขารีบหันหลังจากไปอย่างเร่งรีบด้วยความตกใจเล็กน้อย
” แล้วพวกท่าน . . . . . . . ” ฉื่อหยาน มองไปที่ตี่ฉาน ยู่โหลว และอีเทียนโหมว ด้วยความแปลกใจ เพราะพวกเขาสามคนยังคงยืนอยู่
” ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าได้เตรียมการไว้แล้ว ทันทีที่เจ้าออกจากเมือง คนของข้าก็จะออกเดินทางทันที ” อีเทียนโหมวพูด
” ตี่ฉาน และข้าได้วางแผนทึกอย่างไว้แล้ว เมื่อเราส่ง ข้อความของเราออกไป ประชาชนของทั้งสองตระกูลก็จะออกเดินทางในเวลาเดียวกันกับเรา เผ่าปีกของเรานั้นอยู่ใกล้กับภูเขาเสียงอสูร เมื่อเราไปถึงที่นั่น บางทีคนของเราอาจจะอยู่ที่นั่นแล้วก็ได้ ” ยู่โหลวพูดด้วยรอยยิ้มและดูเหมือนจะไม่ได้กังวลใด ” ฉื่อหยาน ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเป็นคนที่มีความห่วงใยผู้อื่นได้ เจ้าคงรู้สินะว่าหากภูเขาเสียงอสูรถูกทำลายจุดสิ้นสุดของเราจะเป็นเช่นไรหากไม่ออกไป “
” นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ” ฉื่อหยานกล่าวด้วยใบหน้าที่ยิ้ม มองไปข้างหน้าและกล่าวต่อว่า ” ดูเหมือนว่าเราต้องเลื่อนไปอีกวันหรือสองวันนะ สำหรับคาป้า และคนอื่น ๆ เพื่อให้พวกเขาเตรียมพร้อม เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาพร้อม เราจะออกเดินทางทันที “
” ไปได้แล้ว ” ตี่ฉานดูหงุดหงิดเล็กน้อย
” ไม่ต้องเป็นห่วงคนอื่น การทำลายผนึกนั้นต้องใช้เวลาอยู่บ้าง บางทีเมื่อเสร็จเจ้าทำลายได้แล้ว พวกเขาอาจจะอยู่ที่นั่นแล้ว .
” งั้น . . . . . . . ” ฉื่อหยานคิดครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า ” เป็นเช่นนั้นก็ดี “
ฉื่อหยานพูดกับอี้เทียนโหมวขณะที่มองไปที่พานโขวและ นักรบอื่นๆ และสี่สาวที่พึ่งเดินออกมาจากห้อง ” ท่านช่วยพาพวกเขาไปด้วยได้หรือไม่ พวกเขาจะยังคงเป็นประโยชน์ต่อข้าอยู่ . “
อีเทียนโหมวยกคิ้วของเขาและพูดอย่างเย็นชา ” เจ้าไม่ต้องการหญิงบริสุทธิ์ทั้งสี่เพื่อบ่มเพาะแล้วรึ ?
ฉื่อหยานพยักหน้า ” โชคยังดี ข้าไม่ได้ตกอยู่ในสภาวะผิดปกติใดๆขณะที่ฝึกบ่มเพาะอยู่ อย่างไรก็ตาม หลังจากทำลายผนึกได้ ข้าก็ไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นหรือไม่ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมข้าถึงได้ขอให้ท่านพาพวกนางไปด้วย ตอนนี้หญิงสาวเหล่านั้นนับเป็นสมบัติของข้า ท่านมีปัญหาอะไรหรือไม่ ?
ตี่ฉานและยู่โหลวทั้งคู่มองอีเทียนโหมวเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง
อีเทียนโหมวกระแอมออกมาเล็กน้อยแล้วตอบกลับมาด้วยใบหน้าที่เย็นชา “นอกจากพวกนางแล้วมีใครอีกหรือไม่ ? “
” ไม่มี ” .
ฉื่อหยานที่มองหญิงสาวทั้งสี่อยู่ก็หันกลับไปมอง ตี่ฉาน ยู่โหลว และกล่าวว่า ” ตอนนี้เราสมควรไปกันได้แล้ว”
” ไปกันเถอะ “
ยู่โหลวเดินไปที่ฉื่อหยาน และวางมือขาวของนางไว้บนไหล่ของเขา ปีกขาวราวหิมะของนางกระพรือเล็กน้อย นางค่อยๆลอยตัวขึ้น และหายไปจากสายตาของผู้อื่นทันที
” ข้าจะปล่อยคนเหล่านี้ไว้ให้เจ้าจัดการ . ” ตี่ฉานหันไปพูดกับอีเทียนโหมวก่อนจะจากไป
อีเทียนโหมวมองไปที่ฉาวจื่อหลาน , พานโจวและคนอื่นๆด้วยสีหน้าเศร้าหมอง รูม่านตาสีขาวเทาระเบิดแสงแปลกๆออกมา หลายเส้นสายจิสำนึกวิญญานของอีเทียนโหมวลอยออกมาจากดวงตาของเขาทีละสายและแอบเข้าไปในสมองของพวกเขาอย่างเงียบๆ
เคล็ดวิชาวิญญานที่อีเทียนโหมวใช้นั้นมีความแข็งแกร่งกว่าฉื่อหยาน . . เมื่อจิตวิญญาณของเขาทะลุเข้าไปในจิตใจของพวกเขา แม้แต่ฉาวจื่อหลาน ก็ไม่อาจสัมพัสถึงมันได้อย่างชัดเจน
วิญญาณของเขา ที่เข้ามาในสมองของนักรบเหล่านั้นไม่ได้่สัมพัสได้อย่างชัดเจนเหมือนฉื่อหยาน แต่มันทำให้รู้สึกว่ามีนอนหลายร้อยตัวกำลังคืบคลานอยู่ในสมองของเขาทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัว
ฉาวจื่อหลาน เหอซิงเหมิน และคนอื่นๆ ต่างก็รู้สึกสั่นสะท้าน พวกเขาไม่กล้ามองไปที่ อีเทียนโหมว และดังนั้น พวกเขาจึงไม่รู้ว่า อีเทียนโหมสกำลังทำอะไรกับพวกเขา
ผ่านไประยะหนึ่ง
อีเทียนโหมวก็ถอนจิตสำนึกวิญญานของเขากลับมา เขากระแอมและพูดขึ้นอย่างเย็นชา ” พวกเจ้าตามข้ามา “
หลังจากที่ตรวจสอบสักพัก เขาก็ค้นพบว่า ฉื่อหยานได้ฝังผนึกวิญญานในตัวพวกเขาทั้งหมด ในหัวของหญิงสาวทั้งสาม ล้วนมีเคล็ดวิชาผนึกวิญญานฝังอยู่
อย่างไรก็ตาม กลับมีเคล็ดวิชาวิญญานประหลาดบางอย่างที่แตกต่างออกไปปรากฏอยู่ในหัวของนักรบชายคนหนึ่ง ‘ ฉื่อหยานได้ผนึกนี่ลึกลงไปในวิญญานของนักรบเหล่สนี้ นักรบธรรมดาทั่วไปแทบจะไม่สามารถรู้สึกได้เลย แม้แต่หญิงสาวทั้งสาม ฉาวจื่อหลาน , กู่หลินหลงและซูหยานซิงเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
ฉื่อหยานได้ฝังเมล็ดผนึกวิญญานไว้ในวิญญานของหญิงสาวทั้งสาม ซึ่งนั่นหมายความว่า ในอนาคต เมื่อพวกนางต้องการจะหลบหนีฉื่อหยาน ฉื่อหยานก็ยังคงรับรู้ได้ถึงตัวตนของพวกนางจากผนึกที่ฝังอยู่
มีเพียงเหอซิงเหมินเท่านั้นที่วิญญานไม่ได้ถูกฝังอะไรเข้าไป
อีเทียนโหมว นั้นต้องการจะเอาผนึกวิญญานเหล่านั้นออกก่อน ถ้าเขาจะทำจริงๆเขาก็ทำได้ อย่างไรก็ตาม เขาไม่กล้าทำเช่นนั้น เพราะเขาเป็นห่วงว่า ฉื่อหยานจะไม่ยอมช่วยเหลือ และทำให้เขาเดือดร้อน
ในขณะที่แอบสาปแช่งอย่างโหดร้ายไปที่ ฉื่อหยาน เขาก็กระโดดขึ้นและบินออกไป
หลังจากนั้นไม่นาน อีเทียนโหมว ก็ส่งข้อความไปหากลุ่มของอีเฟิง ด้วยคำสั่งของอีเทียนโหมว พวกเขาก็พาพานโจวและคนอื่น ๆ บินขึ้นบนฟ้าและมุ่งไปยังภูเขาเสียงอสูร
ภายในเมืองโบราณ
คนจากเผ่าเสียงอสูรทั้งหมดเริ่มเตรียมตัวตามคำสั่งผู้นำของพวกเขา อีเทียนโหมวเองก็แยกตัวออกจากฝูงชนและมุ่งออกจากเมือง
ขณะเดียวกัน คาป้า และ หยาเมิงทั้งสองก็กระวนกระวายอย่างมาก ภายใต้ความกดดันของผู้นำทั้งสองที่ตะโกนและเรียกร้องดังออกมา คนของพวกเขาจึงรีบเก็บข้าวของ เก็บกวาด ทรัพสมบัติทั้งหมดของพวกเขาอย่ารีบร้อน ทุกอย่างเต็มไปด้วยความวุ่นวาย
แม้คนหลายคนจากเผ่าเสียงอสูรจะตกอยู่ในความกังวล สับสน และวุ่นวาย แต่ใบหน้าของพวกเขาทั้งหมดกลับแสดงออกอย่างความสุขและไม่ได้รู้ถึงอันตรายเลย สิ่งเดียวที่คิดอยู่ในจิตใจของพวกเขาคือในที่สุดพวกเขาก็จะได้กลับไปยังดินแดนที่แท้จริงของพวกเขาตั้งแต่สมัยบรรบุรุษ
ผู้นำทั้งสามมักจะพูดและบอกเล่าเกี่ยวกับดินแดนที่บรรพบุรุษของพวกเขาเคยอยู่ให้พวกเขาฟัง ดังนั้น ทุกๆ คนจึงคิดว่าดินแดนที่บรรพบุรุษเคยอยู่นั่นเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ทั้งหมดที่พวกเขารู้และรู้สึกได้คือที่แห่งนั่นจะต้องเป็นดินแดนที่ดีที่สุด
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ที่ภูเขาเสียงอสูร ณ จุดยอดสุดที่แทงทะลุเหนือน่านฟ้า
สัตว์อสูรเสียงมากมายกระจายไปทั่วทุกที่ พวกมันหลายร้อยหลายพันตัวกำลังรวมตัวกัน และพวกมันแต่ละตัวต่างก็รู้สึกไม่ปลอดภัย พวกมันทั้งหมดออกมาจากถ้ำของพวกมันเนื่องจากสัมพัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลง
ลึกลงไปบนท้องฟ้า , สายฟ้าผ่าประกายอย่างกราดเกรี่ยว และเต็มไปด้วยสายลมที่รุนแรง . . . ประกายสายฟ้าวูบวาบและกระพริบไปมาอย่างรวดเร็วบนท้องฟ้า ภายในสายฟ้าหลากสีสันที่ประกายออกมา มันคือช่วงเวลาที่บิดเบี้ยวและเป็นช่องว่างของห้วงอวกาศ พวกมีพลังอำนาจที่สามารถทำลายล้างสิ่งมีชีวิตได้ทั้งหมด
ไม่ว่าจะเผ่าพันธุ์ใด ทั้งเผ่าเสียงอสูรหรือเผ่าปีก ต่างก็รู้ว่าท้องฟ้าเหนือยอดเขาภูเขาเสียงอสูรนั้นมีพลังปิดกั้นอยู่ซึ่งมันสามารถทำลายได้แม้กระทั่งนักรบระดับพระเจ้าแท้จริง พวกเขาทั้งรู้ดีว่าการมีอยู่ของพลังอำนาจสวรรค์ที่อยู่บนท้องฟ้านั้นคือหายนะของพวกเขา เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาทั้งสองเผ่าพันธุ์ออกไปจากที่นี่ หรือกลับไปยังที่ๆพวกเขาจากมา
ภาพที่ปรากฏการณ์บนท้องคือภาพของสัตว์อสูรเสียงที่ร้องคำรามออกมาด้วยความกลัวและนั่นก็ทำให้คนจากเผ่าพันธุ์ทั้งสองตกตะลึงและทำให้พวกเขารู้สึกว่าจะมีอันตรายเกิดขึ้นตลอดเวลา
” บูม “
จุดประกายของแสงสว่างก็ประกายบนท้องเหมือนกับแสงจากสรวงสวรรค์ แสงสวรรค์เป็นเหมือนกับเคียวยักษ์กระแทกลงตรงยอดภูเขาเสียงอสูร ทันทีที่เห็นแสงสวรรค์ปรากฏขึ้น ก้อนหินโบราณที่สูงหลายร้อยเมตร ก็ถูกตัดขาดเป็นสองเสี่ยงและตก ลงมาอย่างรุนแรงจากยอดภูเขาเสียงอสูร
เมื่อแสงสวรรค์กวาดไปที่สัตว์อสูรเสียงที่คำรามออกมา ทันทีพวกมันก็กลายเป็นหมอกเลือดเพียงชั่วพริบตา โดยไม่เหลือร่องรอยใดๆไว้ เป็นการฆาตกรรมที่โหดร้ายเป็นอย่างมาก
สัตว์อสูรเสียงหลายตัวก็ร้องคำรามออกมาด้วยความหวาดกลัวและถอยกลับไป , พวกมันถอยกลับเข้าไปในภูเขาตามสัญชาตญาณพวกมัน พวกมันไม่กล้าแม้แต่จะโผล่หัวออกมาอีก
ขณะที่ท้องฟ้าแสดงการข่มขู่ออกมาด้วยพลังอำนาจจากสวรรค์ , ฉื่อหยาน , ผู้ที่ถูกนำตัวมาที่นี่ โดยยู่โหลว ก็มาถึงตีนเขาของภูเขาเสียงอสูรด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
––––––––––––––––––––––––
ปล. ตอนนี้กลุ่มลับถึงกลุ่ม 20 แล้ว มีถึงตอนที่ 886 แล้วจ้า ท่านใดสนใจ กดอ่านรายละเอียดที่นี่เลย > กดตรงนี้ <