บทที่ 277 จริงๆแล้วเจ้าเป็นใครกันแน่ ?
ฉื่อหยานเดินก้าวไปด้านหน้า ในขณะที่ อีเทียนโหมวเดินตามเขามาข้างหลัง ตระกูลใหญ่เคอเล่อนั้นมีทหารยามเพียงไม่กี่คน อย่างไรก็ตาม นักรบเหล่านี้ที่เฝ้าระมัดระวังอยู่บนเกาะมังกรเหมันนั้นดูเหมือนจะกลายเป็นตาบอด ไม่มีใครเห็นฉื่อหยานและอี้เทียนโหมวเดินเข้าไปยังห้องโถงใหญ่เลย
ความได้เปรียบด้านวิญญานของเผ่าเสียงอสูรถูกแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด
อีเทียนโหมวตามฉื่อหยานไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ แม้แต่ฉื่อหยาน เองก็ไม่รู้ถึงสิ่งที่เขาทำ มีเพียงแต่นักรบคนอื่นเท่านั้นที่ใบหน้ากลายเป็นงุนงงอย่างสมบูรณ์
อีเทียนโหมวนั้นได้เคารพฉื่อหยานให้เป็นนายเหนือหัวที่แท้จริง เมื่อเขาได้ตัดสินใจแล้ว เขาก็จะพยายามทำทุกอย่างเพื่อช่วยฉื่อหยาน และแสดงให้เห็งถึงความสามารถของเขาเพื่อทำให้ฉื่อหยานรู้สึกพอใจ
” นายท่าน ท่านไม่ต้องเป็นห่วง จิตสำนึกจิตวิญญาณของข้าสามารถครอบคลุมได้ทั่วทั้งเกาะมังกรเหมัน ถ้าข้าใช้จิตสำนึกวิญญานของข้าหละก็ ความตายของนักรบทั้งหมดบนเกาะนี้ก็จะขึ้นอยู่กับคำพูดของท่าน ” เป็นอีเทียนโมที่ดูเหมือนจะรู้ว่าฉื่อหยานกำลังสงสัยอะไอยู๋ เขาค่อยๆอธิบายให้ฉื่อหยานฟังถึง สิ่งที่เขาสามารถทำได้ในขณะที่เขาติดตามฉื่อหยาน
ฉื่อหยาน ก็ตกใจ
” ดินแดนรกร้างแห่งนั้นถูกสร้างขึ้นเพื่อกักขังเรา พลังของเราจึงไม่สามารถใช้ได้เต็มที่ ดังนั้น ไม่ว่าทั้งข้าคาป้า หยาเมิง ตี่ฉาน หรือยู่โหลว ไม่มีใครสามารถใช้พลังที่แท้จริงของเราได้ เพราะพวกเราถูกผนึกที่ดินแดนรกร้างแห่งนั้นผนึกอยู่ “
“อย่างไรก็ตาม เมื่อมาถึงที่นี่ ไม่ว่าจะขุมพลังใดๆก็ไม่สามารถยหยุดเราได้ มันเป็นความรู้สึกที่ช่างยอดเยี่ยมนัก ที่ข้าได้เห็นว่าพลังของพวกเราเพิ่มขึ้น และมันก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยอีกด้วย ” อี้เทียนโมดูไม่เหมือนว่าเขากำลังล้อเล่น เขาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ” หลังจากมาถึงที่นี่ เราตอนนี้ได้กลายเป็นนักรบที่แท้จริงพร้อมกับสามารถใช้ความสามารถที่แท้จริงได้ พลังของพวกเราก่อนหน้านี้ได้ถูกผนึกลดขั้นไปหนึ่งระดับ”
สีหน้าของฉื่อหยานก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ฉื่อหยานพยายามกลั้นความรู้สึกไม่ให้ตกตะลึงและพูดด้วยเสียงต่ำๆ , ” เจ้าจะบอกว่าตอนที่เจ้าอยู่ในดินแดนรกร้าง พลังของเจ้าที่อยู่ในระดับพระเจ้าสามารถเทียบได้กับระดับนภาเท่านั้นรึ ?
อีเทียนโหมวพยักหน้าเงียบๆ
ตาฉื่อหยานก็ส่องประกายความประหลาดใจ เขาพยักหน้าฝืนยิ้มและกล่าว ” การที่ไม่เป็นศัตรูของเจ้า นับว่าเป็นสิ่งที่ดีแน่นอน ข้าสงสัยแต่แรกแล้ว ตอนที่อยู่ดินแดนรกร้าง มันดูไม่เหมือนว่าเจ้าเป็นนักรบระดับพระเจ้าเลย ดังนั้น ข้าจึงไม่กลัวเจ้า และถึงแม้เราจะมาที่นี่แล้ว และ ต่อให้เจ้ามีพลังที่แข็งแกร่งเทียบเท่ากับนักรบระดับพระเจ้าในตำนวน ข้าก็ยังไม่รู้สึกกลัวเจ้า ข้าไม่รู้ว่านี่นับว่าผิดปกติหรือไม่ “
อีเทียนโหมวเผยยิ้มบางๆ ” นายท่าน ท่านไม่ต้องเป็นห่วง ตอนแรกเราก็ไม่รู้สึกถึงพลังบางอย่างที่ผนึกเราอยู่ เราไม่แน่ใจมากนัก อย่างไรก็ตาม หลังจากได้ออกมาที่ทะเลแห่งนี้ เราก็ค่อยๆ ตระหนักได้ว่าทุกอย่างค่อยๆเปลี่ยนไป . ผนึกของเราทั้งหมดค่อยๆหายไป . ตั้งแต่นั้นมา เราก็มั่นใจแล้วว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้เราเป็นเช่นนั้น”
พวกเขาทั้งสองพูดคุยกันและเดินไปทางห้องโถงหลักของตระกูลเคอเล่อ
ที่ประตูห้องโถงใหญ่นักรบหลายสิบคนที่มีกล้ามเนื้อหนาแน่นก็เริ่มระวังตัวมากขึ้น แต่ทันที พวกเขาก็กลายเป็นสับสนพร้อมกับดวงตากลายเป็นหมองคล้ำราวกับว่าวิญญานของพวกเขาถูกควบคุมทำให้ไม่สามารถขยับได้
การโต้เถียงที่รุนแรงดังออกมาที่โถงทางเดิน คำพูดจริงจังบางอย่างถูกพูดออกมาอย่างไม่น่าเชื่อ.
อีเทียนโหมวขมวดคิ้วของเขาแล้วพูดว่า” นักรบที่แข็งแกร่งที่สุดที่นี่มีเพียงระดับรู้แจ้งเท่านั้น ไม่มีอะไรที่จะต้องกังวล ถ้าท่านรู้สึกรำคาญ ข้าจะปิดปากมันเอง ” .
ฉื่อหยานส่ายหัวแล้วยิ้มให้ ” ไม่ต้อง เรานั้นไม่เข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ที่แห่งนี้ เราไม่จำเป็นต้องผลีผลาม อา… พวกเขาสมควรเป็นศิษย์ของพรรคสามเทพ พรรคสามเทพ . . . . . . . พวกเขาไม่กล้าทำอะไรข้าหลอก ด้วยความสัมพันธุ์เช่นนี้ เราไม่ควรทำอะไรโดยประมาท “
” ข้าเข้าใจแล้ว “
เอี๊ยดดด….
ประตูหินค่อยๆเปิด ฉื่อหยานและอี้เทียนโหมวก็เดินเข้าไปอย่างช้าๆ และระมัดระวัง .
นั่งรบมากกว่าสิบคนนั่งอยู่ ด้วยใบหน้าเศร้าหมอง พวกเขาแต่ละคนดูเหมือนจะพูดคุยกันอย่างขัดแย้ง ลินดา ยืนอยู่ข้างหลังนักรบระดับรู้แข้ง นางส่ายหัวเบาๆ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความไม่พอใจ ; ร่างกายที่บอบบางของนางสั่นสะท้านเล็กน้อย พร้อมกับเส้นผมที่ยาวจดเอว
ทันทีที่ฉื่อหยานเข้าห้องโถง สายตาก็กวาดไปรอบ ๆห้องและหยุดอยู่ที่หญิงสาวคนหนึ่งที่เขาไม่ได้พบมาเนิ่นนาน ความรู้สึกแปลกๆก็ ปรากฏขึ้นภายในหัวใจของเขา
ถึงแม้ว่าพวกเขาแต่ละคนจะโต้เถียงกันอย่างรุนแรง แต่พวกเขาทั้งหมดก็ได้ยินเสียงประตูหินเปิด
เพียงเวลาสั้น ๆ ทุกคนในห้องโถงก็จ้องมาที่ฉื่อหยานและ อีเทียนโหมว พวกเขาทั้งหมดดูไม่พอใจและขมวดคิ้วด้วยความรำคาญ
” อ่า ! ” ลินดา จู่ ๆก็เอามือคลุมปากของนาง นางมองไปที่ฉื่อหยานอย่างตกตะลึงและเต็มไปด้วยความสุข หลังจากลังเลเล็กน้อย นางก็พลันพูดออกมาอย่างมีความสุข ” เจ้า.. เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร ?
ฉื่อหยานก็ยิ้ม ” เจ้าเคยบอกว่า ข้าควรมาเยี่ยมเจ้าที่นี่เมื่อข้ามีเวลา ฮ่า ฮ่า ฮ่า ข้าผ่านมาพอดี จะมาหาเจ้าไม่ได้งั้นรึ ? หรือเจ้าไม่ต้อนรับข้า ? “
ลินดา ขดริมฝีปากของนาง ร่างกายที่ทรงเสน่ห์ของนางก็สั่นเทาเล็กน้อย นัยน์ตาของนางเปล่งประกายแสงแปลกๆ ความรู้สึกที่คลุมเครือปกคุลมไปทั่วหัวใจของนาง
” อี๋เอิ่น เขาคือใครรึ ? ” ผู้เฒ่าที่มีอายุประมาณห้าสิบปี ผมสีเทา และสวมเสื้อคลุมสีดำม่วงก็ตะโกนถามด้วยความรำคาญ จากนั้นเขาก็ถลึงตามองนักรบระดับรู้แจ้ง และกล่าวว่า ” ตระกูลเคอเล่อ ช่างหละหลวมจริงๆ ในขณะที่เราคุยกัน ทำไมเจ้าเด็กน้อยประหลาดนี่จึงบุกเข้ามาได้ ? “
อี๋เอิ่นเป็นประมุขของตระกูลเคอเล่อ เขาคือพ่อของลินดา . หลังจากได้ยินคำพูดที่น่ารำคาญเหล่านั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขามองไปที่ฉื่อหยานอย่างประหลาด และถามลินดา ,” ลินดา เขาคือใคร สหายของเจ้ารึ ? ทำไม จู่ๆเขาถึงเข้ามาที่นี่ได้ ? ”
” ใช่ เขาเป็นสหายข้าเอง . ” ลินดาก็พูดด้วยความตกใจ นางรีบหันไปรอบ ๆและอธิบายให้นักรบคนอื่น ๆฟัง ” นี่คือสหายของข้าที่ไม่ได้เจอกันมานาน ข้าขอโทษ ท่านลุง ข้าจะพาเขาออกไปเอง”
หลังจากพูดจบ ลินดาทันที ก็ขยิบตาให้ฉื่อหยาน , เพื่อส่งสัญญานให้ เขารีบไปกับนาง
” เดี๋ยว . . ” นักรบที่เพิ่งพูดคำที่น่ารำคาญออกมาก็ โบกมือ หยุดพวกเขาด้วยใบหน้าที่ไม่พอใจ เขา มองฉื่อหยาน และถามอย่างกวนประสาท ” เจ้าเด็กน้อย เจ้าได้ยินเรื่องที่เราคุยกันก่อนหน้านี้แล้วใช่หรือไม่ ? ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าเป็นใครกัน ? เจ้ามาที่นี่ทำไม ? “
หลังจากถามฉื่อหยาน เขาก็ย้ายสายตาของเขามองไปที่อี๋เอิ่น และกระแอมออกมาจากนั้นก็กล่าวว่า ” แม้กระทั่งตอนที่เราคุยกัน คนในตระกูลเคอเล่อของเจ้าปล่อยเขาเข้ามาได้อย่างไร ข้าอยากรู้ว่า ตระกูลเคอเล่อ ของเจ้าจะทำอย่างไรกับสิ่งเกิดขึ้น ! อี๋เอิ่น เจ้าไม่คิดว่าเจ้าทำผิดต่อเราหลอกรึ ? “
หน้าอี๋เอิ่นก็การเปลี่ยนแปลงไป เขาจ้องไปที่ลินดาด้วยสายตาติติงและถามว่า ” ลินดา เขาคือใคร ทำไมเขาถึงมาปรากฏตัวต่อหน้าพวกเราได้ ? ทำไมเจ้าถึงพาเขามาที่นี่ ? ทำไมข้าถึงไม่เคยเห็นเขามาก่อน ?
ลินดาไม่ได้พูดอะไรออกไป
” นี้เป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของเรา แต่เด็กน้อยจากที่ไหนก็ไม่รู้ ดันโผล่พรวดเข้ามา หึ เขาคงไม่ได้มีเจตนาที่ดีแน่ เราควรจะจับเค้า และสอบปากคำเขา” คนหัวหงอกก็ตะโกนขึ้นอย่างเย็นชา
ลินดาก็ตกใจ นางพยายามอธิบายว่า “เขาเป็นสหายของข้า เขาอาจจะทำเรื่องเสียมารยาทไปบ้าง แต่ข้ามั่นใจว่าเขาไม่ได้มีเจตนาร้าย . ลุงอู๋เค่อ โปรดอย่าเข้มงวดกับเขามากเกินไป ข้าให้สัญญาว่าเขาจะไม่ทำอีก เมตตาด้วยท่านลุง !
” หึ ! ” ใบหน้าของอู๋เค่อก็แสดงออกอย่างไม่พอใจ . เขามองอี๋เอิ่นและกล่าวว่า ” เจ้ารู้ใช่ไหมต้องทำเช่นไร?
อี๋เอิ่น อย่างไม่เต็มใจ เขาก็ยิ้มขึ้นและพูดออกมา ” เราควรรอให้สถานการณ์กระจ่างก่อน แล้วค่อยตัดสินใจว่าควรทำเช่นไร”
พอพูดจบ อี๋เอิ่นก็ขึ้นเสียงเรียกทหารยาม
หลังจากนั้นไม่นานทหารยามของตระกูลเคอเล่อ ก็รีบวิ่งมาจากนอกห้องโถงใหญ่ และพูดด้วยความเคารพว่า ” นายท่าน มีอะไรให้ข้ารับใช้รึ ? “
” พวกเขาเข้ามาได้อย่างไร ? ทำไมเจ้าถึงปล่อยให้เขาสองคนเข้ามาที่นี่ ?” อี๋เอิ่น ชี้ไปที่อีเทียนโหมวและฉื่อหยาน
ทหารยามก็อุทานออกมา . เขามองไปที่ฉื่อหยานและอีเทียนโหมวอย่างแปลกๆ แล้วส่ายหน้าด้วยความกังวล” เราไม่ได้ปล่อยพวกเขาเข้ามาขอรับ เราไม่เคยเห็นพวกเขาเดินเข้ามาที่นี่ด้วยซ้ำ ?
สีหน้าของคนระดับสูงก็เปลี่ยนไป พวกเขาทั้งหมดยืนขึ้นและมองฉื่อหยานอย่างระวัง
” เจ้าเป็นใครกันแน่ ? ” อู๋เค่อก็ตะโกนออกมาเสียงดัง จากนั้นเขาก็ออกคำสั่ง ” จับมัน ! “
ใบหน้าที่สวยงามของลินดาก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก นางดูกังวล และเหมือนต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง
ทหารมากมายจากนอกห้องโถงจู่ๆก็เข้ามาและปิดล้อมฉื่อหยานและอีเทียนโหมวไว้ พวกเขามองไปที่อี๋เอิ่นและ รอคำสั่ง
” ลินดา อย่าได้เข้ามายุ่ง ” อี๋เอิ่น ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ แล้วสั่ง ” จับเขาแล้ว สอบปากคำ !
” นายท่าน . . . . . . . ” อีเทียนโหมวที่ยืนอยู่ข้างหลังฉื่อหยานเงียบๆก็พูดรอรับคำสั่งจากเขา
ฉื่อหยานพยักหน้าอย่างไม่แยแส
กลุ่มของทหาร ที่ถูกเข้ามาหาฉื่อหยานและ อีเทียนโหมว เหมือนกับว่าโดนอะไรบางอย่าง พวกเขาทั้งหมดกลายเป็นหยุดนิ่งขณะก้าวเดินแววตาของพวกเขาก็เปลี่ยนไป
ทุกคนทั้อยู่ในห้องโถงก็กลายเป็นตกใจ พวกเขามองไปที่ฉื่อหยานและ อีเทียนโหมวด้วยความตกตะลึง ตอนนี้พวกเขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไร
อู๋เค่อ ปฏิกิริยาแรกที่เขาแสดงออกคือ เขาตะโกนและก็บิดร่างของเขาให้เป็นเหมือนงูในขณะเดียวกันกระดูกของเขาก็เกิดเสียง ‘แกร๊ก ‘ แปลกๆ จากนั้นเขาก็พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วมาที่ฉื่อหยาน
อีเทียนโหมวก็ตกใจ ดวงตาสีขาวเทาของเขาส่องประกายประหลาดออกมา พลังวิญญานทะลักไหลออกมาและเข้าไปในร่างของอู๋เค่อ
อู๋เค่อก็เอามือจับไปที่หัวของตัวเองและช่วยไม่ได้ที่จะร้องตะโกนออกมาเสียงดัง จมูกของเขามีเลือดไหลออกมา ในขณะที่ร่างกายของเขายังคงเกิดเสียงแตกร้าวขึ้น ตอนนี้ มันรู้สึกเหมือนกับว่า เขาถูกตรึงอยู่กับที่และไม่สามารถขยับได้อีกต่อไป
อี๋เอิ่นและคนอื่น ๆในห้องโถงก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกัน พวกเขารู้สึกได้ถึงพลังที่สั่นสะท้านปกคลุมไปทั่วห้องโถง ห้วงจิตสำนึกของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง และร่างกายของพวกเขาก็เริ่มกลายเป็นปั่นป่วน
แรงดันวิญญาน !
มีเพียงนักรบที่มีระดับสูงกว่าหนึ่งขั้นเท่านั้นทีสามารถส่งแรงดันวิญญานออกมากดดันได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้พลังปราณลึกลับใดๆ , ความแข็งแกร่งของเขาก็สามารถกดดันฝ่ายตรงข้ามได้โดยพึ่งพลังวิญญานที่แข็งแกร่งเท่านั้น
อีเทียนโหมวนั้นเหนือกว่าคนเหล่านี้อย่างชัดเจน โดยใช้เคล็ดวิชาวิญญานของคัมภีร์เผ่าเสียงอสูร ทำให้นักรบระรู้แจ้งกลายเป็นเชื่อฟังและเป็นเหมือนกับไก่ที่อยู่บนเขียง
ถ้าไม่ใช่เพราะฉื่อหยานไม่อยากฆ่าคนบุ่มบ่าม อีเทียนโหมวคงจะฆ่าทุกคนที่อยู่ในห้องโถงไปแล้วด้วยเคล็ดวิชาวิญญานที่โหดร้ายของเขา
ร่างของ อีเทียนโหมวอาจจะไม่แข็งแกร่งเทียบเท่ากับนักรบระดับพระเจ้าทั่วไป แต่ความสามารถทางวิญญาณของเขานั้นอยุ่เหนือกว่านักรบระดับพระเจ้าในทะเลไม่มีสิ้นสุดมาก
นักรบทุกคนที่อยู่ในห้องโถงก็ลุกขึเนยืน สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างน่าเศร้าหลังจากสัมผัสได้ถึงพลังอันน่ากลัวของผู้ที่มีระดับสูงกว่า พวกเขาก็ไม่กล้ามุทะลุ และมองไปที่ฉื่อหยานด้วยความหวาดกลัว
” ลินดา ท่านผู้นี้คือใครรึ ? ” อี๋เอิ่นถามออกไปด้วยความกลัว
” ข้าเองก็ไม่แน่ใจเช่นกัน . . . . . . . ” ลินดา ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองฉื่อหยาน และถามออกไป ” ฉื่อหยาน ท่านผู้นี้เป็นใครรึ ?
––––––––––––––––––––––––
ปล. ตอนนี้กลุ่มลับถึงกลุ่ม 21 แล้ว มีถึงตอนที่ 926 แล้วจ้า ท่านใดสนใจ กดอ่านรายละเอียดที่นี่เลย > กดตรงนี้ <