บทที่ 279 ถอนราก
ในป่าอันกว้างใหญ่ ต้นไม้นับไม่ถ้วนปกคลุมท้องฟ้าและพื้นดิน แม้แต่แสงแดดตอนเที่ยงก็ไม่อาจแทงทะลุใบไม้เขียวชอุ่มหนาแน่นของต้นไม้เหล่านั้นได้
ผู้คนของเผ่าเสียงอสูรและเผ่าปีกทั้งหมดอยู่ภายใต้ร่มเงาของต้นไม้อย่างเป็นระเบียบพวกเขายกศีรษะของพวกเขาและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน .
สองผู้นำตี่ฉานและยู่โหลวได้ดึงตั่วมู่มายังใต้ร่มเงาต้นไม้ที่อยู่ข้างๆและกระซิบบางสิ่ง
ตั่วมู่ เห็นได้ชัดว่ากลัวเล็กน้อยเมื่ออยู่ต่อหน้า ตี่ฉาน และ ยู่โหลว เขามักจะบอกตามตรงและพยักหน้ารับคำสั่งจาก ตี่ฉาน และ ยู่โหลวโดยไม่กล้าขัดขืนมัน
คาป้า หยาเมิงก็ปิดตาลงเล็กน้อย ในขณะที่กำลังสื่อสารกับอี้เทียนโมที่อยู่อีกด้านหนึ่งของเกาะมังกรเหมันเพื่อขอความเห็นของฉื่อหยาน หลังจากนั้นไม่นาน คาป้า หยาเมิงก็ได้รับคำสั่งจากเขา จากนั้นก็โบกมือส่งสัญญาณให้กับนักรบเผ่าเสียงอสูรที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาเพื่อออกคำสั่ง
สามนักรบระดับสูงระดับนภาของเผ่าเสียงอสูรทันทีก็ก้าวไปข้างหน้าและล้อมรอบนักรบมนุษย์เจ็ดคน การไหลเวียนของวิญญานเป็นเหมือนกับเส้นไหมโจมตีไปยังนักรบมนุษย์ทั้ง 7 คนในพริบตา
ภายใต้คลื่นวิญญาน ที่พุ่งมานักรบทั้งเจ็ดคนก็เอามือจับหัวของพวกเขาและล้มลงกับพื้นและกรีดร้องออกมา แววตาของพวกเขาค่อยๆกลายเป็นมืดมน
” คุณหนู ! ” นักรบหัวล้านคนหนึ่งที่อยู่ในหมู่พวกเขาพูดขึ้น มีรอยสักลูกศรเล็ก ๆอยู่บนหัวของเขา เขาจ้องหน้ากู่หลินหลงที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นด้วยดวงตาสีแดงของเขาและตะโกนว่า ” พวกมันเป็นใคร ? “
กู่หลินหลงก็กลัวเล็กน้อยและถอนหายใจออกมา แล้วหันไปพูดกับนักรบระดับนภา ” ลุงฮั่วเมิง ท่านไม่ต้องช่วยพวกเราแล้ว อย่าได้เสี่ยงชีวิตเพื่อการต่อสู้ที่มันไม่มีประโยชน์เลย “
” ธิดาศักดิ์สิทธิ์ ? ” หญิงชราที่มีริ้วรอยมากมายบนใบหน้าของนางก็ถือไม้เท้าของนางพาดบนลำตัวและร่างของนางก็สั่นสะท้านเมื่อ นางมองไปที่ซูหยานซิงที่อยู่ไกลออกไป
เมื่อถูกมองโดยหญิงชราที่ซูหยานซิงส่ายหน้าอย่างหมดหนทาง ส่งสัญญาณให้นางห้ามลงมือใดๆ
ร่างกายของหญิงชราก็สั่นสะท้าน นางถอนหายใจออกมาอย่างย่อท้อ และเขื่อฟัง และหยุดขัดขืนอย่างไร้ประโยชน์
ในหมู่นักรบทั้งเจ็ดคน ยกเว้นฮั่วเมิงที่มรรอยสักลูกศรขนาดเล็กและหญิงชราจากดินแดนทะเลสาปเทวาศักดิ์สิทธิ์นักรบอีกห้าคนที่เหลือต่างก็อยู่ในระดับรู้แจ้ง พวกเขาทั้งหมดมาจากดินแดนทะเลสาปเทวาศักดิ์สิทธิ์และตระกูลกู่ ขณะที่พวกเขากำลังจะไปที่สาขาหลักของพรรคสามเทพเพื่อหารือเกี่ยวกับแผนการที่จะจัดการกับเผ่าอสูร .
พวกเขาก็ได้รับข้อมูลจากพรรคสามเทพ เมื่อพวกเขาอยู่ในระหว่างเดินทาง พวกเขาได้รับแจ้งว่าเกาะมังกรเหมันกำลังพบกับปัญหาบางอย่างที่ทำให้พวกเขาไม่สามารถเดินทางมาเกาะนี้ได้
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่พวกเขามาถึงเกาะ , หญิงชราก็ตระหนักว่าได้ในป่าหนานั้นผิดปกติ นางรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของนักรบระดับล่างของเผ่าปีก และตระกูลเสียงอสูร ดังนั้น พวกเขาทั้งเจ็ดคนจึงช่วยไม่ได้ ที่จะมาที่นี่เพื่อตรวจสอบ
หลังจากข้ามผ่านป่าที่หนาแน่นมา พวกเขาก็ได้พบกับคนเผ่าปีก และตระกูลเสียงอสูร และเกือบจะทันทีพวกเขาก็ได้เห็นกู่หลินหลงและซูหยานซิง กู่หลินหลงเป็นความหวังของตระกูลกู่ . ซูหยานซิงเป็นอันดับหนึ่งของดินแดนทะเลสาปเทวาศักดิ์สิทธิ์ พวกนางทั้งสองเป็นนักรบที่ยอดเยี่ยมของขุมพลังของพวกเขา
แม้ว่าฮั่วเมิงและ ฮวงหนาน จะมีระดับการบ่มเพาะที่ระดับนภา อีกทั้งยังมีนักรบระดับรู้แจ้งอีกห้าคน เมื่อต้องเผชิญหน้าพลังของเผ่าเสียงอสูรและเผ่าปีกพวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้
ตี่ฉาน และยู่โหลวไม่ได้ลงมือทำสิ่งใดพวกเขาเพียงชายตามองการกระทำของนักรบทั้งเจ็ดเท่านั้น และพวกเขาก็ยังคงพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวตัแหน่งหัวหน้าตระกูลปีกเทากับตั่วมู่ . จากนั้นพวกเขาก็โยนเรื่องของนักรบทั้งเจ็ดให้ คาป้าและหยาเมิง
เป็นคาป้า และหยาเมิงที่ไม่รู้ว่าคนเหล่านี้เป็นใคร พวกเขาทันทีก็ใช้วิญญาณของพวกเขาส่งข้อความไปหา อีเทียนโหมว เพื่อขอความคิดเห็นของฉื่อหยาน
หลังจากได้รับคำตอบ พวกเขาพยักหน้าหน้าและทันที ฮั่วเมิง และฮวงหนานก็กลายเป็นนักโทษของพวกเขา ด้วยความประหลาดในชั่วพริบตา
” ได้โปรดอย่าฆ่าพวกเขา !” กู่หลินหลงนางกัดฟันแน่นจ้องไปที่คาป้า และกล่าวว่า “ข้าได้บอกให้พวกเขาเลิกขัดขืนแล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องใช้วิญญานกักขังพวกเขา”
แม้ว่าพวกเขาทั้งเจ็ดจะได้ยอมจำนนแล้ว แต่นักรบระดับนภาของเผ่าเสียงอสูรยังไม่ได้รับคำสั่งจากคาป้าและหยาเมิงให้หยุดกระทำ ดังนั้นพวกเขาจึงกดขี่ข่มเหงอย่างรุนแรงต่อมนุษย์เหล่านั้น
ในช่วงประมาณสิบเมตรรอบๆนักรบทั้งเจ็กคน แรงดันวิญญานยังคงแพร่กระจายอยู่รอบๆ ขณะที่พวกเขากำลังติดอยู่ในแรงดันวิญญานนี้ ร่างกายของฮั่วเมิงและฮวงหนานก็สั่นสะท้าน ขณะที่นักรบอีกห้าคนกลายเป็นทรมานแล้วโลหิตก็พุ่งออกมาจากปากของพวกเขา
เผ่าเสียงอสูร ได้เรียนรู้เคล็ดวิชาวิญญานจากคัมภีร์ของเผ่าเสียงอสูร ด้านวิญญานพวกเขาล้ำหน้ากว่ามนุษย์เป็นอย่างมาก ทันทีที่ห้วงจิตสำนึกได้ขึ้นกับนักรบจากเผ่าเสียงอสูร พวกเขาก็เริ่มฝึกฝนเคล็ดวิชาวิญญานของเผ่าเสียงอสูร การโจมตีของพวกเขาที่ใช้กับศัตรู ส่วนใหญ่มุ่งไปที่ห้วงจิตสำนึกและวิญญาน การโจมตีประเภทนี้เป็นการโจมตีที่น่ากลัวที่สุด และสามารถทำลายวิญญาณของศัตรูได้
ห้านักรบระดับรู้แจ้ง ‘ สัมพัสได้อย่างชัดเจนว่าห้วงจิตสำนึกของพวกเขากำลังตกอยู่ในอันตราย ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ทั้งห้าคนจะต้องแตกสลายแน่นอน เมื่อการบ่มเพาะของพวกเขาสลาย และวิญญานหลักถูกทำลาย พวกเขาก็จะตายอย่างสมบูรณ์โดย ไม่มีใครช่วยพวกเขาได้
” ฟังคำสั่งข้า ! ” คาป้า ก็กระแอมออกมาอย่างเย็นชา แล้วพยักหน้าให้กับนักรบระดับนภา ” ตอนนี้ไว้ชีวิตพวกมันไปก่อน ถ้าใครขัดขืน ทำลายวิญญานหลักของมันทันที .
เมื่อคำเหล่านี้ถูกพูดออกมา ฮั่วเมิงและฮวงหนานใบหน้าก็ซีดด้วยความกลัว
พวกเขาต้องการที่จะทำลายร่างของฝ่ายตรงข้ามของพวกเขาอย่างสมบูรณ์ ในทะเลเคียร่านั่นจำเป็นต้องเปนนักรบที่มีระดับสูงกว่าจึงจะสามารถทำได้ ปกติแล้วพวกเขาจะไม่ถูกคู่ต่อสู้ของเขาโจมตีวิญญานเช่นนี้โจมตีการโจมตีวิญญาน . . . . . . . ช่างน่ากลัวนัก
นักรบระดับนภาปกติไม่เพียงแต่จะใช้จิตสำนึกวิญญานได้อย่างอิสระ แต่พวกเขาก็เลือกไม่ใช้มันหากไม่เกลียดชังใครจริงๆ เป็นเพราะเมื่อโจมตีวิญญานออกไปแล้ว มันก็ยากที่จะหยุดได้ ทั้งสองฝ่ายจะสามารถตกอยู่ในอันตรายและวิญญานของพวกเขาก็อาจถูกทำลายได้
ถ้าร่างกายได้รับบาดเจ็บ หรือแม้แต่ จะกลายเป็นชิ้นเล็กขิ้นน้อย ก็อาจจะมีหวังและสามารถฟื้นคืนได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อวิญญานหลักถูกทำลาย ชีวิตก็จะถูกลบออกไปอย่างสมบูรณ์และไม่สามารถฟื้นฟูได้
ดังนั้นการใช้จิตสำนึกวิญญานในการต่อสู้นั้นไม่ค่อยเกิดขึ้นที่ทะเลเคียร่านัก
อย่างไรก็ตาม ฮั่วเมิง และฮวงหนานกลับถูกกดดันด้วยแรงดันวิญญานและถูกโจมตีวิญญานทันทีเมื่อมาถึงเกาะแห่งนี้
ตั้งแต่ต้น ห้วงจิตสำนึกของพกวเขากำลังถูกครอบงำทีละร้อย จริงๆแล้วตระกูลเสียงอสูรไม่โจมตีร่างกายฝ่ายตรงข้ามโดยตรงเลย และเรื่องนี้ก็ทำให้ฮั่วเมิงและฮวงหม่านหัวเสียและหวาดกลัว พวกเขาคิดไม่ออกเลยว่าจะเป็นเช่นไรหากหลังจากนี้คนเผ่าเหล่านี้กระจายตัวกันออกไป
” อย่าแม้แต่จะคิดหนี ” หยาเมิงหัวเราะออกมาและ กล่าวว่า ” ด้วยการผนึกวิญญานของเจ้าทั้งเจ็ดคน ถ้าเจ้าคิดจะทำอะไร หรือคิดจะหนี เจ้าก็ไม่อาจหนีจากสัมผัสของข้าได้ ข้าขอเตือนเจ้า แม้ว่าเจ้าจะขยับเพียงเล็กน้อย ข้าก็จะทำลายวิญญานของเจ้าทันที พวกเจ้าเองก็คงรู้ หากวิญญานถูกทำลายก็เท่ากับตายอย่างสมบูรณ์’ . . . “
ฮั่วเมิงและ ฮวงหนาน ก็หวาดกลัว พวกเค้าไม่กล้าที่จะทำอะไรผลีผล่ามอีก พวกเขาเพียง แต่มองไปที่กู่หลินหลงและซูหยานซิงด้วยความประหลาดใจ และดูเหมือนอยากจะรู้เกี่ยวกับชนเผ่าเหล่านี้ .
” เห้อ , เราไม่สามารถบอกทุกอย่างได้ เราพูดได้บางเรื่องเท่านั้น” เพียงแค่คำพูดไม่กี่คำของกู่หลินหลงสีหน้าของนางก็กลายเป็นดูทุกข์และเต็มไปด้วยภาวะซึมเศร้าและเสียใจ .” ขณะที่เราเข้าไปยังหุบเหวสนามรบครั้งนี้ เราพบเจอแต่เหตุการณ์ร้ายๆ เราทุกคนเกือบจะตาย ” กู่หลินหลงบอกฮั่วเมิงและ ฮวงหนาน เกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาได้เผชิญมาเบาๆ
คาป้า หยาเมิงก็มองไปอย่างดูถูก พวกเขาไม่ได้ใส่ใจหรือระวังอะไรมากนัก แต่พวกเขายังคงติดต่อกับอี้เทียนโมที่อยู่อีกด้านหนึ่ง
ที่ตระกูลเคอเล่อ
ฉื่อหยาน และ อีเทียนโหมวนั่งอยู่กับที่โดยไม่ได้พูดอะไรกับอี๋เอิ่น หลังจากที่ได้รู้ว่านักรบระดับนภาจากตระกูลกู่ และดินแดนทะเลสาปเทวาศักดิ์สิทธิ์จะมาถึงเพื่อช่วยเหลือพวกเขา อี๋เอิ่นก็มีความสุขมากและวุ่นวายกับการจัดการเรื่องต่างๆ
3 วันผ่านมา
ทุกอย่างบรเกาะมังกรเหมันในที่สุดเตรียมเสร็จสิ้น เรือพร้อมแล่น ชาวบ้านธรรมดาบนเกาะรวมกันอยู่ที่ดาดฟ้าเรือ
ทุกอย่างพร้อมยกเว้นลมตะวันออก ( สำนวนภาษาจีน : ลมตะวันออก = เวลาที่เหมาะสม )
อี๋เอิ่นและอู๋เค่อก็รอนักรบจากตระกูลกู่ และดินแดนทะเลสาปเทวาศักดิ์สิทธิ์มาถึง พวกเขาได้ส่งคนของพวกเขาออกไปเพื่อค้นหานักรบเหล่านั้น พวกเขาต้องการออกไปจากเกาะนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
พวกเขาอยู่ในช่วงเวลาคับขัน
หลังจากที่ได้รับข้อความจากอีเทียนโหมว คาป้า หยาเมิง และคนอื่น ๆ ที่ซ่อนลึกอยู่ภายในป่า ก็ยังกระตุ้นจิตสำนึกวิญญานของพวกเขาเพื่อใช้เคล็ดวิชาวิญญาน ดังนั้น นักรบบนเกาะมังกรเหมันที่ได้ถูกส่งไปหานักรบของตระกูลกู่ และดินแดนทะเลสาปเทวาศักดิ์สิทธิ์ ก็ต้องกลับมามือเปล่า
อี๋เอิ่นและอู๋เค่อเริ่มเป็นกังวล และไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาส่งข้อความออกไปเพื่อถามพรรคสามเทพ แต่พรรคสามเทพเองก็มีข้อมูลเท่าที่พวกเขาที อี๋เอิ่นและอู๋เค่อจะยังคงรอ
แต่พวกเขานั้นมีเวลารอไม่มากนัก
ในที่สุด อี๋เอิ่นและอู๋เค่อ ก็ต้องหันกลับมาหาฉื่อหยาน และขอให้เขาส่งคนมาช่วยพวกเขา
” ไม่มีปัญหา ” ฉื่อหยานก็ตอบทันที ” มันต้องใช้เวลาประมาณสิบวัน ถึงจะออกเดินทางจากที่นี่ผ่านทะเลที่ปั่นป่วนได้ เมื่อท่านพร้อม ข้าก็จะส่งคนไปที่ท่าเรือเพื่อช่วยเหลือท่านข้ามทะเลที่ปั่นป่วนนี่อย่างปลอดภัย”
” ฉื่อหยาน ข้าขอบคุณเจ้ามาก ” ลินดา หัวเราะ มองฉื่อหยานด้วยความรัก
” ไม่มีปัญหา ” สีหน้าของฉื่อหยาน ก็สงบลง
” ท่านควรจะไปได้แล้ว เมื่อท่านไปถึงที่ท่าเรือ ท่านจะเห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่ อ่า ท่านแน่ใจนะว่าไม่มีใครเหลือบนเกาะนี้แล้ว”
” ไม่ ไม่มี ทุกคนออกจากเกาะมาหมดแล้ว ” อี๋เอิ่น พยักหน้าตลอดเวลา พร้อมกับนึกในใจ ” ใครจะกล้าอยู่ที่นี่ ? ! มีใครที่กล้าต่อสู้กับเผ่าอสูรอยู่ที่นี่ด้วยรึ ? ! “
” ลินดา เจ้าเองก็ควรไปเช่นกัน ข้าจะอยู่บนเกาะมังกรเหมันนี่ชั่วคราว แต่ไม่ต้องห่วง ที่พรรคสามเทพข้าจะไปพบกับเจ้าที่นั่น ” ฉื่อหยานปลอบ ลินดา
ลินดาพยักหน้าอย่างอ่อนโยนแล้วหันไปมองอี๋เอิ่น
รอจนกว่าอี่เอิ่นและ, อู๋เค่อและผู้คนของพวกเขาไปถึงท่าเรือ ฉื่อหยานจึงมองไปที่อีเทียนโหมว พยักหน้าและบอกว่า ” ไม่เป็นไรแล้ว เจ้าเรียกพวกเรามาที่นี่ จากนี้ไป , เกาะมังกรเหมันเป็นของเรา “
ครึ่งวันต่อมา
ตี่ฉาน ยู่โหลว และคนจากเผ่าเสียงอสูรและเผ่าปีกก็ออกมาจากป่าที่อยู่ใกล้ๆ เมืองและหมู่บ้านในที่แห่งนี้เป็นของตระกูลเคอเล่อ บ้านที่เคยเป็นของสามตระกูลใหญ่ ตอนนี้กลายเป็นที่พักพิงสำหรับประชาชนของเผ่าเสียงอสูรและเผ่าปีก
หลังจากออกจากดินแดนรกร้าง ในที่สุดพวกเขาก็ได้มีที่พักเป็นของตัวเอง
” พามานี่ ” ฉื่อหยาน ยืนอยู่บนชั้นสูงสุดของวัง เขาค่อยๆสั่ง อีเทียนโหมว ที่อยู่ด้านข้างเขา
หลังจากนั้นไม่นาน ฮั่วเมิง ฮวงหนาน และอีกห้านักรบของตระกูลกู่ และดินแดนทะเลสาปเทวาศักดิ์สิทธิ์ก็เดินเข้ามา
กลุ่มของฉาวจื่อหลาน ซูหยานซิง และ กู่หลินหลงก็เดินเข้ามา พวกเขาทั้งหมดมองฉื่อหยานด้วยความเกลียดชังและไม่ได้รู้ว่าตอนนี้เขาต้องการอะไรกันแน่
” ส่งข้อความไปยังผู้นำของพวกเจ้า บอกพวกเขาว่า ตระกูลหยางกลับมาแล้ว ! ” ฉื่อหยานมองฮั่วเมิงและ ฮวงหนานและพูดพร้อมกับยิ้มเยาะ เขาชี้ไปที่ ตี่ฉาน อีเทียนโหมว และพูดต่อว่า ” นี่เป็นพันธมิตรของตระกูลหยางจากหุบเหวสนามรบ บอกผู้นำของพวกเจ้าว่า หากพวกเขายังต้องการพวกเจ้า ก็ให้พวกเขามาที่เกามังกรเหมัน “
––––––––––––––––––––––––
ปล. ตอนนี้กลุ่มลับถึงกลุ่ม 21 แล้ว มีถึงตอนที่ 935 แล้วจ้า ท่านใดสนใจ กดอ่านรายละเอียดที่นี่เลย > กดตรงนี้ <