บทที่ 41 นภาที่ สาม ในระดับก่อตั้ง
ภายนอกถ้ำรอบๆภูเขาที่เงียบสงบ
สัตว์อสูรได้จากไปนานแล้ว
ณ ตอนกลางวัน แสงแดดได้ส่องผ่านเข้ามาในถ้ำผ่านพุ่มไม้หนา
พวกเขาทั้งสามคนกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นเพื่อฝึกตน ด้วยลมหายใจที่สม่ำเสมอ
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่ ฉื่อหยานตื่นจากความสงบ และเขาก็ลุกขึ้นยืน หมุนคอคอของเขาไปมาและพยายามที่จะขยับร่างกายของเขา
นภาที่ สาม ในระดับ ก่อตั้ง !
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ฉื่อหยานรู้สึกสดชื่นเป็นอย่างมาก ความเหนื่อยล้าของเขาทั้งหมดได้หายแล้ว และประสาทสัมพัสของเขายังเฉียบคมขึ้นอีกด้วย
ด้วยความช่วยเหลือของพลังอัศจรรย์ ความเร็วในการทะลวงเข้านถาที่สามของระดับก่อตั้ง นั้นรวดเร็วเหมือนลูกศรที่พุ่งทะลวงไปบนท้องฟ้า
เขายืนอยู่ที่ปากทางถ้ำ และ สามารถสัมพัสได้ถึงกลิ่นของจิตวิญญาณระหว่างท้องฟ้าและผืนดิน
ก่อนหน้านี้เขาไม่สามารถสัมพัสได้ถึงกลิ่นของจิตวิญญานท้องฟ้าและผืนดิน แต่ตอนนี้ เขาสัมพัสมันได้อย่างชัดเจนและง่ายดาย
การรับรู้ได้ถึงกลิ่นของจิตวิญญานในอากาศ สามารถทำได้เพียงนักรบในนภาที่สามของระดับก่อตั้งเท่านั้น เมื่อเขารับรู้ได้ถึงกลิ่นของจิตวิญญาณ มันก็จะช่วยเหลือเขาให้สามารถฝึกฝนวิชาต่อสู้ได้เร็วขึ้น
ทันทีที่เขาต้องการจะใช้กายาแข็ง ร่างกายของเขาจะเปลี่ยนเป็นเหล็กที่แข็งแกร่งทันที และผิวของเขาก็จะเป็นสีน้ำตาลเข้ม และถูกปกคลุมด้วยแสงสีดำที่คลุมเคลือคล้ายกับสภาพตอนที่เขาเปิดใช้งาน [โล่แสงมืด]
” อ๊ะ ? “
ฉื่อหยาน แปลกใจนิดหน่อย หลังจากการตรวจสอบอย่างระวัง เขาก็มั่นใจว่าเขานั้นไม่ได้เปิดใช้งาน [โล่แสงมืด] จากพลังปราณลึกลับเลย
นี้หรือว่า แสงสีดำที่ครอบคลุมผิวของเขาอยู่เป็นผลข้างเคียงเมื่อเขาบรรลุถึงขั้นที่สองของจิตวิญญานกายาแข็งกัน .
เขายิ้มอย่างปิติและเริ่มตรวจสอบเพิ่มเติม แล้วก็ได้รู้ว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นสีผิวของเขา จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับจิตวิญญานการต่อสู้เป็นแน่
ตอนนี้ภายในถ้ำนั้นค่อนข้างที่จะสว่าง ดวงตาสีดำของฉื่อหยานกระพริบตาและเริ่มเดินไปทาง มู่หยู่เตี๋ย และ ตี่ย่าหลาน ที่ยังคงนั่งนิ่งเหมือนกับรูปปั้น
มู่หยู่เตี๋ย และ ตี่ย่าหลาน ยังคงนั่งขัดสมาธอยู่บนพื้นและปิดตาสนิท มีแสงที่คลุมเครือกำลังเคลื่อนไหวไปรอบ ๆร่างกายของพวกนาง นั่นย่อมเป็นเป็นพลังปราณลึกลับของพวกนางที่กำลังโคจรอยู่ในร่างกายของแน่นอน
เขานั้นได้ถ่ายทอดพลังอัศจรรย์ส่วนหนึ่งเข้าไปในร่างกายของ มู่หยู่เตี๋ย เพราะเขาอยากจะรู้ว่าพลังอัศจรรย์นี้จะสามารถส่งผ่านไปยังผู้อื่นโดยไม่มีการร่วมเพศได้หรือไม่
และเขาเองก็ต้องการช่วยเหลือจากนางเช่นกัน เขาไม่สามารถรู้่ได้ว่าเขาจะต้องเจอกับศัตรูอีกมากมายเท่าไหร่ในการเดินทางครั้งนี้ มันอาจจะส่งผลกระทบต่อการเดินทางของพวกเขาได้ หากพวกเขายังคงปกป้องมู่หยู่เตี๋ยอยู่
เป็น ตี่ย่าหลาน ที่บอกว่า มู่หยู่เตี๋ยก่อนหน้านี้เองก็เป็นนักรบ แต่เพราะเส้นเลือดและกล้ามเนื้อของนางฉีกขาดปัจจุบันนางจึงไม่สามารถต่อสู้ได้ ถ้ามู่หยู่เตี๋ยสามารถกลับมาต่อสู้ได้อีกครั้ง นั่นก็จะเป็นประโยชน์ต่อการเดินทางเป็นอย่างมาก
เพราะคิดเช่นนั้น เขาจึงถ่ายทอดพลังอัศจรรย์ส่วนหนึ่งไปให้นาง
ฉื่อหยานกลั้นลมหายใจและมุ่งเน้นความสนใจของเขาไปที่มู่หยู่เตี๋ย ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกได้ถึงพลังปราณลึกลับที่แข็งแกร่งกำลังหมุนเวียนในร่างกายของนาง
เขาตกใจเล็กน้อย ช่วยไม่ได้ที่เขาจะใช้สายตาจ้องไปที่นางอยู่นาน หลังจากนั้นเค้าก็คิดบางอย่าง เมื่อเขายิงคิดก็ยิ่งสับสน . . . . . . .
ด้วยความประหลาดใจของเขา มู่หยู่เตี๋ยนั้นมีพลังปราณลึกลับมากมายกว่าตี่ย่าหลานนัก ซึ่งนั่นย่อมหมายความว่า . . . . . . . มู่หยู่เตี๋ยอยู่ในระดับที่สูงกว่า ตี่ย่าหลาน !
ฉื่อหยาน ตกใจมากจริงๆ เขารู้ว่า มู่หยู่เตี๋ยเองก็เป็นนักรบเช่นกัน แต่เขาคิดว่านางคงมีพลังไม่ถึงระดับก่อตั้งเท่านั้น .
เพราะว่า มู่หยู่เตี๋ยนั้นอายุน้อยกว่า ตี่ย่าหลาน อยู่มาก จึงไม่มีทางที่นางจะมีระดับของนักรบที่มากเกินกว่าตี่ย่าหลานแน่นอน .
แต่มันกลับกลายเป็นตรงกันข้าม ตอนนี้ฉื่อหยานได้รู้แล้วว่ามู่หยู่เตี๋ยนั้นเป็นนักรบในระดับมนุษย์ แถมอายุยังน้อยตางหาก อีกทั้งยังอยู่ในระดับที่สูงกว่า ตี่ย่าหลานด้วย !
ขณะที่เขายืนตะลึง เขาก็รู้สึกได้ว่าพลังปราณลึกลับของมู่หยู๋เตี๋ยกำลังค่อยๆสงบลง
และเขาก็รู้ว่า มู่หยู่เตี๋ยนั้นกำลังจะตื่นขึ้นมา . . . . . . .
อย่างที่คาดไว้ ไม่นานนัก , ขนตาของมู่หยู่เตี๋ยก็สั่นพรือและนางก็ลืมตาขึ้นช้าๆ
ดวงตาที่สดใสทั้งสองข้างก็ลืมขึ้นมาและมองไปรอบๆถ้ำ ใบหน้าที่อ่อนโยนของมู่หยู่เตี๋ยดูสดใสขึ้น นางดูเป็นหญิงสาวที่งดงาม และมีเสน่ห์ขึ้นกว่าเดิม เหมือนกัยนางฟ้าเทพธิดาที่อยู่ในป่าเขา
ฉื่อหยาน ตกตะลึงจนพูดไม่ออก เขาจ้องมองไปความงดงามของนาง เขาไม่แม้แต่จะสามารถหยุดมองไปที่นางได้เลย
” จ้องข้าพอรึยัง ? ” มู่หยู่เตี๋ยดูไม่แยแส นางลุกขึ้นยืนช้าๆ หลังจากยืดตัวเสร็จ นางก็หัวเราะออกมา ” จากนี้ไปข้าจะไม่เป็นภาระให้เจ้าอีกต่อไปแล้ว ”
กระแสบางเบาสีขาวลอยออกมาจากแขนของนางขณะที่นางกำลังเหยียดร่างกายของนาง มันส่องแสงออกมาแล้วก็หายไปในอากาศ . . . . . . .
ขณะที่ มู่หยู่เตี๋ยเคลื่อนไหวนิ้วมือของนางอย่างช้าๆในอากาศ แสงนั่นก็โผล่มาอีกครั้งทีละนิดๆ และเริ่มไล่ไปตามระหว่างนิ้วมือที่ราบเรียบของนาง
” ข้าไม่ได้บรรเลงพิณเสียนาน ข้าต้องซ้อมเสียหน่อย ” มู่หยู่เตี๋ยยิ้มขึ้น รอยยิ้มนั่นช่างเป็นรอยยิ้มที่สะอาดบริสุทธิ์ เหมือนกับลำธารในหุบเขาที่เงียบสงบ มันดูว่างเปล่าและไร้ซึ่งมลทิน
” เจ้างดงามขึ้นกว่าแต่ก่อนนะ . “ฉื่อหยานจ้องมองนางอยู่นาน และพูดขึ้นมา .
ด้วยเส้นชีพจรที่มีพลังปราณลึกลับในระดับมนุษย์ไหลเวียนอยู่ภายใน ผิวของนางจึงกลายเป็นกระจ่างใส และใบหน้าของนางกลายเป็นอมสีชมพู พร้อมกับดวงตาของนางส่องประกายออกมา เมื่อมองดูมู่หยู่เตี๋ยแล้วก็บอกได้เลยว่า ไม่มีสิ่งใดที่สามารถเปรียบเทียบกับนางได้เลย
ด้วยพลังที่กลับคืนมาของนาง มู่หยู่เตี๋ย ดูเหมือนจะกลายเป็นอีกคนหนึ่ง นางดูงดงามและน่าสนใจขึ้นกว่าแต่ก่อนนัก
ณ เวลานี้ , ในตาของฉื่อหยาน มู่หยู่เตี๋ยนั้นงดงามเหนือกว่าตี่ย่าหลาน และโม่หยานหยู่นัก . อีกทั้งระดับยังสูงกว่านางทั้งสองด้วย
” ขอบใจ ” มู่หยู่เตี๋ยยิ้มเขิน ” นี่ผ่านมานานแค่ไหนแล้ว ? “
” ข้าเดาว่า สองวัน ” ฉื่อหยานลังเลก่อนจะพูด ” ข้าเองก็ไม่แน่ใจเช่นกัน ข้าเพียงแค่รู้สึกว่าพวกเราอยู่ในถ้ำแห่งนี้มาเกินหนึ่งวันเท่านั้น เจ้าหายเป็นปกติเลยรึ ? “
” ถูกต้อง ” มู่หยู่เตี๋ยพยักหน้าอย่างมั่นใจ ” เมื่อพี่สาวหลานตื่น เราจะออกจากถ้ำและจากไปทันที “
” ตกลง ” ฉื่อหยานตอบอย่างเป็นกันเอง และรู้สึกขมขื่นเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้ มู่หยู่เตี๋ย นางนั้นจะดูไร้เดียงสา และ ดูใจดี นางในตอนนั้นช่างดูน่ารักน่าชมเป็นอย่างมาก เหมือนกับสาวน้อยที่น่ารัก
แต่ว่า มู่หยู่เตี๋ยในตอนนี้ ได้กลายเป็นดูน่าสนใจมากขึ้นหลังจากที่นางฟื้นฟูพลังของนาง ความน่ารักของนางได้หายไป และกลับกัน นางกลับทำให้ฉื่อหยานรู้สึกว่านางเป็นหญิงสาวที่น่าศรัทธา ซึ่งนั่น ทำให้ฉื่อหยาน ผิดหวังนิดหน่อย
ฉื่อหยาน ไม่คิดจะพูดอะไรออกไป เขากลับเดินออกจากถ้ำไปแทน และเริ่มที่จะเดินไปรอบๆในหุบเขา
จากนั้นเขาก็หยิบหนังสือ ” หลุมแรงโน้มถ่วง ” วิชาระดับวิญญานออกมาจากกระเป๋าของเขา และเขาเปิดหน้าแบบสุ่มๆ เขาเอามันออกมาอย่างไม่ระวัง เขาวางหนังสือลงบนถุงผ้าและเริ่มอ่านตัวอักษรทีละตัว
วิชาระดับวิญญาณ สามารถฝึกได้โดยนักรบในระดับปฐพีเป็นอย่างน้อย แต่เขาในตอนนี้เป็นเพียงนักรบในระดับก่อตั้งเท่านั้น ซึ่งนั่นค่อนข้างจะห่างไกลจากระดับปฐพียิ่งนัก มันจะไม่ก้าวหน้าอย่างใดหากนักรบในระดับต่ำพยายามที่จะฝึกฝนวิชาระดับวิญญาน มันจะเป็นการเสียเวลาเปล่า .
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเก็บมันเข้ากระเป๋าทันทีหลังจากที่เขาตรวจสอบมันแล้วว่าเป็นของแท้
ครึ่งวันต่อมาตี่ย่าหลาน และมู่หยู่เตี๋ย เดินออกมาจากถ้ำด้วยกัน พวกนางแต่งตัวสะอาดสะอ้านและดูมีชีวิตชีวาขึ้น และพร้อมที่จะออกเดินทางทุกเมื่อ
” เจ้าเด็กน้อย ขอบคุณเจ้ามากนะ ตอนนี้ระดับของข้าได้มั่นคงแล้ว ” ตี่ย่าหลาน พูดเสียงดังหลังจากนางที่นางเดินออกมา
มันค่อนข้างอันตรายเป็นอย่างมาก เมื่อบรรลุถึงระดับใหม่โดยใช้เวลาเพียงสั้นๆ นักรบล้วนต้องการเสริมสร้างพลังปราณลึกลับของเขาให้มั่นคงเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ มิเช่นนั้นเขาอาจจะได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้และการฝึกฝนวิชาได้ หากพลังของเขายังไม่มั่นคง
เป็นเพราะพลังอัศจรรย์ของฉื่อหยานที่ถ่ายทอดไปให้มู่หยู่เตี๋ย ทำให้ระดับพลังของนางนั้นมั่นคงอย่างรวด และทำให้นางสามารถต่อสู้โดยปราศจากผลกระทบใดๆได้ .
” ดีละ งั้นเราออกเดินทางกันเถอะ ” ฉื่อหยานไม่อยากพูดโอ้อวด เขาจึงยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ และแนะนำให้พวกเขาออกไปจากหุบเขา
. . . . . . .
เจ็ดวันต่อมา
พวกเขาทั้งสามคนก็เดินออกมาจากป่าทมิฬที่กว้างขวาง
มองไปที่ต้นไม้ใหญ่เก่าแก่อยู่เบื้องหลังพวกเขา พวกเขารู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่รอดชีวิตจากภัยพิบัติครั้งนี้มาได้
ในเจ็ดวันมานี้ พวกเขาไม่ได้พบเจออันตรายใดๆเลย
นักรบและทหารรับจ้างที่่อยู่ในป่าทมิฬต่างก็ล้มตายหรือบาดเจ็บ เช่นนั้น พวกมันจึงไม่กล้าที่จะอยู่ในพื้นที่อันตรายเช่นนี่เป็นเวลานาน อีกทั้งสัตว์อสูรที่ถูกนำโดยหมาป่าอัศนีขนเงินเองก็สงบลงเช่นกันและไม่โผล่มาอีกเลย
เนื่องจากสัตว์อสูรและทหารรับจ้างต่างเงียบหายไป ทำให้การเดินทางของพวกเขาเป็นไปอย่างอย่างราบรื่น โดยไม่พบอุปสรรคใด ๆพวกเขาได้ผ่านพ้นพื้นที่อันตรายที่สุดมาได้ และก้าวออกมาจากป่าทมิฬโดยปลอดภัย
พวกเขาต้องผ่านเมืองเงียบสงัดก่อน ถ้าพวกเขาต้องการที่จะไปยังสมาคมการค้า และพวกเขาต้องข้าม ป่าศิลา และ ผ่านป่าเงียบสงัด ที่กว้างใหญ่
ก้อนหินในป่าศิลานั้นมีรูปร่างพิษดาร ซึ่งมีทั้ง ใหญ่เท่าภูเขา หรือ เล็กเท่ามนุษย์ นอกจากนี้ยังมีถ้ำหินจำนวนมาก ซึ่งสามารถเป็นที่หลบภัยตามธรรมชาติได้
และยังมีนักรบที่โหดร้ายมากมายคอยดักซุ่มอยู่ที่ป่าศิลาเสมอ , พวกมันจะดักฆ่าและปล้น
ผู้ที่เดินทางออกมาจากป่าทมิฬมักจะเป็นพ่อค้า และ นักรบหรือทหารรับจ้างผู้รักการผจญภัย
พ่อค้าจากต่างแดนจะขนสินค้าที่มีค่าผ่านไป ในขณะที่นักรบและทหารรับจ้าง ที่รอดออกมาจากป่าทมิฬจะต้องมียาล้ำค่าและชิ้นส่วนของสัตว์อสูร
คนเหล่านี้ทั้งหมดล้วนมีสมบัติที่ทุกคนต้องการ . . . . . . .
ดังนั้นจึงมักมีคนซ่อนตัวอยู่ในป่าศิลา มันจะปรากฏตัวขึ้นทันทีหลังจากที่มันแน่ใจแล้วว่าเหยื่อของมันอ่อนแอ และมันจะปล้นสินค้าหรือของที่มีค่าต่างๆไป จากนั้นมันก็จะฆ่าทิ้ง
ดังนั้น ในบางครั้งป่าศิลาก็มักจะอันตรายกว่าป่าทมิฬ เมื่อใครที่เป็นนักรบก้าวเข้าไป และพวกมันเป็นนักรบที่อยู่ในระดับต่ำกว่าระดับหายนะพวกมันจะพบเจอปัญหาแน่นนอน
” ป่าศิลานั้นอันตรายเป็นอย่างมาก เจ้าพวกคนที่มาจากโลกมืดอาจซุ่มซ่อนอยู่ที่นั่นก็ได้ . . . . . . . ” ตี่ย่าหลาน คิดสักพักและเตือนมู่หยู่เตี๋ย
” จะมีคนมาช่วยเหลือเราเมื่อเราถึงป่าศิลา ไม่ต้องกังวล ” มู่หยู่เตี๋ยยิ้มและมองกลับไปที่ฉื่อหยาน , ” เจ้าจะไปป่าศิลาหรือไม่ ? “
” ใช่ ข้าต้องการจะไปที่สมาคมการค้า แน่นอนว่าข้าจะต้องผ่านที่นั่นไป ” ฉื่อหยาน ตอบ
” ดี งั้นเราไปด้วยกันเถอะ เจ้าจะปลอดภัยเมืออยู่กับเราตอนที่เข้าไปในป่าศิลา ” มู่หยู่เตี๋ยดูมั่นใจ และก่อนที่ฉื่อหยานตอบ นางกล่าวเสริมว่า ” แค่เพียงเราเข้าไปในป่าศิลาได้ ก็ไม่ต้องกังวล พวกเราจะปลอดภัยแน่นอน “
” อืม ” ฉื่อหยานตอบ แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้พักผ่อน แต่พวกเขาก็เลือกที่ตะก้าวไปที่ป่าศิลาทันที เขาจึงต้องระวังตัวตลอดเวลา
จากความทรงจำของฉื่อหยาน เขารู้ว่าป่าศิลานั้นโหดร้ายเพียงใด ทุกฝ่ายหรือขุมกำลังที่มีอำนาจมักจะมีส่วนร่วมกับสิ่งที่เกิดขึ้นในป่าศิลาบ่อยๆ รวมถึงตระกูลใหญ่จากสมาคมการค้าก็เช่นกัน
เขาไม่รู้ว่าสิ่งใดที่ทำให้มู่หยู่เตี๋ยมั่นใจเพียงนั้น แต่เขารู้ดีว่าเขาจะถูกฆ่าทันที หากพวกเขาไม่ระมัดระวังตัวไว้
ฉื่อหยานทำจิตใจให้สงบและเขาก็มองไปรอบๆ ทุกๆห้าก้าว เขาจะหันไปรอบๆและตรวจสอบอย่างระมัดระวัง
––––––––––––––––––––––––
ปล. ลงอีกทีวันที่ 14/3/2560 ตอนนี้ในกลุ่มลับของเราลงถึงตอนที่ 108 แล้วนะครับ หากสนใจอยากเข้าร่วมกลุ่มลับ สามารถอ่านเงือนไขได้ที่โพสปักหมุดของเพจเลยจ้า
ติดตามข่าวสารต่าง ๆ ได้ที่เพจของเรา กดตรงนี้ >>GOS เทพเจ้าล่าสังหาร << ฝากกดไลท์กดแชร์เพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้แปลด้วยครับ