เทพเจ้าล่าสังหาร – บทที่ 480 แสดงความสามารถที่โดดเด่น

บทที่ 480 แสดงความสามารถที่โดดเด่น

 

” เป็นความคิดที่ดีนิ ! “

เทพจันทรา โอหยางลู่ซวงก็ตะโกนออกมาเล็กน้อย แสงจันทร์บนร่างกายของนางก็หดรวมกันเป็นม่านแสงด้านหน้าของนาง

ในพริบตา ม่านนี้ก็กลายเป็นเกราะแสงจันรทร์ เกราะนี้เป็นเหมือนกับบ่อน้ำนิ้งใต้แสงจันทร์ รับการโจมตีจากมือกระดูกขาวของโปวชุนโดยตรง

ปัง !

ราวกับภูเขา จุดแสงสีดำและขาวนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกไป ในขณะที่ทั้งเกาะสุริยันสั่นสะท้าน

” มหาแสงสุริยันครอบคลุม ! “

เทพสุริยันถังหยวนหนาน ก็คำรามออกมา ความร้อนจากแสงอาทิตย์ที่แผดเผาก็กลายเป็นม่านเปลวเพลิงลุกโชนไปยังโปวชุน

” วิชาเด็กเล่น !” โปวชุนกระแอมออกมา .แสงสีเขียวเข้มเหมือนงูที่มีชีวิตก็พุ่งออกมจากแขนเสื้อของเขา งูตัวนั้นปลดปล่อยอากาศที่เย็นยะเยือกออกมาจากร่างกายของมัน มันเปิดปากและกัดลงที่แสงดวงอาทิตย์

คลื่นพลังที่มืดมนมากมายก็ละลายพลังที่ร้อนระอุ

ฉื่อหยานสวมใส่ใบหน้าที่เย็นชา เฝ้ามองเทพจันทราและเทพสุริยันลงมือ เขาไม่ได้เร่งรีบเขาทำเพียงมองไปยังโปวชุนอย่างเย็นชา

หนามกระดูกหนาก็พุ่งออกจากหลังโปวชุน หนามนับพันรวมกันเป็นบัลลังก์กระดูกสีขาว แล้วโปวชุนก็นั่งลง กะโหลกยักษ์โผล่ออกมาจากแขนของเขานับไม่ถ้วนภูตีลอยออกมาจากกระโหลก พวกมันแยกเขี้ยวเล็บ ปล่อยการโจมตีทางวิญญานที่ชั่วร้ายออกมา

กะโหลกลอยขึ้นในท้องฟ้า เปลี่ยนเป็นกระโหลกใหญ่เท่ากับภูเขา กะโหลกนี้มีสีขาวจั๊วะ สูงประมาณร้อยเมตร มันปล่อยภูติผีพุ่งไปยังฉื่อหยาน

การโจมตีนี้ออกมาจากดวงคาของกะโหลกตรงมุ่งไปยังห้วงจิตสำนึกของฉื่อหยาน

ฉื่อหยาน ก็สงบเขารู้ตัวว่าฝ่ายตรงข้ามกำลังโจมตีมาที่วิญญานของเขา เขายืนนิ่งรอให้วิญญานเหล่านั้นพุ่งเข้ามาในร่าง

คลื่นวิญญานเหมือนฟ้าแลบพุ่งเข้ามาในห้วงจิตสำนึกของเขา อย่างไรก็ตาม พวกมันก็ถูกปกคลุมด้วยเปลวไฟ และถูกเผาเป็นเถ้าถ่านก่อนที่พวกมันจะได้ทำอะไร

โปวชุนก็สั่นสะท้านประกายแสงในดวงตา เห็นได้ชัดว่า จิตสำนึกวิญญาณของเขาถูกทำร้าย

เปลวไฟกลืนกินเก้าวิญญาน เป็นเปลวไฟที่สามารถทำลายวิญญานหรือจิตสำนึกวิญญานได้ทุกประเภท ตราบใดที่มันยังซ่อนอยู่ในห้วงจิตสำนึกของฉื่อหยาน เขาไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับการโจมตีทางวิญญาน

แม้แต่โปวชุนก็ไม่เว้น

เมื่อจิตสำนึกวิญญานของโปวชุนถูกเผา ฉื่อหยานก็นึกถึงอี่เทียนโหมว และ สหายของเขาทันทีสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป

มีเพียงกลุ่มของอี้เทียนโหมวและตี่ฉานเท่านั้นที่รู้เกี่ยวกับการดำรงอยู่ของเปลวไฟกลืนกินเก้าวิญญานในร่างของเขา ถ้าโปวชุนรู้เรื่องเปลวไฟ เค้าคงไม่สะเพร่าโจมตีวิญญานของเขา

ดังนั้น เขาจึงรู้ว่าอี้เทียนโหมว และ ตี่ฉานยังไม่ได้เปิดเผยสถานการณ์ของเขากับโปวชุน

ตั้งแต่เผ่าของพวกเขาถูกข่มขู่โดยชิหยานและโปวชุน อี้เทียนโหมวและตี่ฉานก็ยอมจำนน ฉื่อหยานรู้สึกโกรธเป็นอย่างมากในเวลานั้น แต่ต่อมาเมื่อเขาคิดถึงความรู้สึกและปัญหาของพวกเขา เขาก็เข้าใจ หนึ่งปีที่ผ่านมาเมื่อเขาได้เข้าเกาะมังกรเหมัน กลุ่มของอี้เทียนโหมวทั้งสามคนก็สัมพัสได้ถึงเขา จากนั้นเขาก็บอกเขา ตี่ฉานและยู่โหลวว่าไม่ให้เขาเข้ามายังเกาะมังกรเหมัน เพราะโปวชุนได้ปรากฏตัวขึ้นที่นั่น

แล้วก็ต้องขอบคุณพวกเขา ด้วยฐานะของอี้เทียนโหมว และ ตี่ฉาน เหอซิงเหมินจึงออกมาได้อย่างปลอดภัย

รายละเอียดเล็ก ๆเหล่านี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ตี่ฉาน อี้เทียนโม , และคนอื่น ๆเข้าร่วมกับเผ่าอสูรเพราะถูกบังคับ แต่พวกเขายังคงจำได้ว่าเขาเป็นเจ้านายเก่าของพวกเขา พวกเขาไม่ได้หันหลังให้เขา หรือเปิดเผยความลับของเขา

เขาขมวดคิ้วขณะขบคิด ฉื่อหยาน รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย เมื่อเขารู้ว่า ตี่ฉาน อี้เทียนโหมวไม่ใช่คนคิดคดทรยศ ปมในใจของเขาถูกแก้ไขในที่สุด

” เจ้าสามารถทำลายจิตสำนึกวิญญานของข้าได้ยังไง ! “

ทันใดนั้น โปวชุนก็สแยะยิ้ม แหงนหน้าขึ้นฟ้าแล้วคำรามออกมา ” แม้แต่จักพรรดิหยางเทียนยังไม่อาจทำเช่นนี้ได้ ไในปีนั้น เจ้าก็เป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่งจากตระกูลหยาง แต่เจ้ากลับมีความสามารถที่แปลกประหลาด ดูเหมือนว่าวันนี้ข้าจะต้องฆ่าเจ้าให้ได้ ถ้าข้าไม่กำจัดเจ้าในวันนี้ เจ้าจะต้องกลายเป็นจักพรรดิหยางเทียนคนต่อไปแน่ เด็กน้อย , เจ้าภูมิใจเสียเถอะ !

ตอนนั้นเอง อสูรระฆังก็ลอยออกมาจากแชนเสื้อของโปวชุน มันถูกแกะสลักด้วยรูปสัตว์อสูรโบราณและคัมภีร์อยู่ กลิ่นอายที่หนาแน่นจากดินแดนอสูรก็ไหลทะลักออกมา ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ทำให้กลิ่นอายอสูรแปลกประหลาดไป

 

อสูรระฆังลอยสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า และกลิ่นอายอสูรที่อยู่เหนือเกาะสุริยันก็เริ่มแข็งแกร่งขึ้นอย่างรุนแรง , หลอมรวมกันอยู่เรื่อยๆ ด้วยการดูดซับกลิ่นอายอสูรเหล่านั้น ระฆังก็ค่อยๆใหญ่ขึ้น ในขณะที่รอยแกะสลักเล็กๆที่อยู่บนระฆังกลายเป็นชัดเขนขึ้น รูปสัตว์อสูรดูดุร้ายขึ้นเป็นอย่างมาก ราวกับพวกมันจะบินออกมาจากระฆัง

อสูรระฆังกดลงทับลงจากด้านบนหัวฉื่อหยานและคนอื่น ปลดปล่อยม่านแสงอสูรเจ็ดชั้น แต่ละชั้นมีกลิ่นอายวิญญานของสัตว์อสูรโบราณไหลทะลักออกมา กลิ่นอายที่ชั่วร้ายนี้เป็นคองสัตว์อสูรยุคโบราณดั้งเดิม

ม่านแสงอสูรเจ็กชั้นค่อยๆ กดทับลงมาเหมือนกับแผ่นกระดานขนาดใหญ่ เงาของสัตว์อสูรที่อยู่ในแสงก็ชัดเจนขึ้นมันแยกเขี้ยวเล็บและคำรามปลดปล่อยกลิ่นอายที่น่ากลัวออกมา

แรงกดดันที่หนักหน่วงเป็นอย่างมากก็ปกคลุมร่างของเขา ฉื่อหยานก็รู้สึกเหมือนถูกภูเขาทั้งลูกทับ ร่างกายของเขารู้สึกเฉื่อยชา ไม่สามารถกระตุ้นพลังได้

สามตัวตนแปลกประหลาด กระดูกยักษ์สีขาว , กะโหลกขนาดยักษ์ และอสูรระฆังถูกเรียกออกมาโดยราชาอสูรโปวชุน พวกมันปรากฏบนท้องฟ้าของเกาะสุริยัน พวกเขาทั้งหมดอันตรายเป็นอย่างมากและ โอหยางลู่ซวง ถังหยวนหนาน และฉื่อหยานก็ไม่สามารถช่วยได้ที่จะโคจรพลังของตนมาป้องกันร่าง

โอหยางลู่ซวงกระตุ้นเกราะแสงจันทร์ของตัวเองตลอดเวลาเพื่อรับมือกับมือกระดูกยักษ์สีขาว ขณะที่ ถังหยวนได้ใช้พลังทั้งหมดของเขาเพื่อเผชิญหน้ากับ กะโหลกยักษ์ อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนเขาได้ดิ้นรนจนพลังใกล้หมดสิ้นแล้ว ด้วยสถานการณ์นี้ กะโหลกอาจจะครอบงำเขาได้

เป็น โอหยางลู่ซวงเมื่อเห็นถังหยวนหนานไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป ในความว่างเปล่า นางก็ใช้แสงจันทร์หลอมรวมกันเป็นดาบแสงจันทร์ศักดิ์สิทธิ์ กระตุ้นจิตสำนึกควบคุมมันให้ไปช่วยถังหยวนหนาน นางทำได้แค่ป้องกันไม่กะโหลกนั่นฆ่าถังหยวนหนานได้เป็นเวลาสั้นๆเท่านั้น

มือกระดูกยักษ์สีขาวและหัวกระโหลกก็ประทะกับเทพจันทราและเทพสุริยัน กระตุ้นพลังทั้งหมดออกมาเพื่อตอบโต้

ไม่ว่าจะอย่างไร ราชาอสูรโปวชุนก็เป็นนักรบที่แข็งแกร่ง เขาอยู่ในนภาที่สามระดับพระเจ้า เป็นคนที่ปกครองดินแดนอสูรมานานนับหลายปี พลังของเขาสามารถแยกนภาและทำลายปฐพีได้ เขามีชื่อเสียงเรื่องความแข็งแกร่งและความโหดเหี้ยม แม้ว่าเทพจันทรา โอหยางลู่ซวงจะได้ดูดซับพลังแสงจันทร์ที่สะสมมาเป็นเวลาหลายปี แต่นางก็อยู่เพียงนภาแรกระดับพระเจ้าเท่านั้น เมื่อร่วมมือกับถังหยวนหนาน พวกเขาจึงามารถต้านทานพลังของโปวชุนได้เพียงครึ่งหนึ่ง

พวกเขาไม่สามารถสนใจอสูรระฆังได้

เมื่อม่านแสงอสูรเจ็ดชั้นกดลงมา แรงกดดันก็ท่วมร่างของฉื่อหยาน หากมไม่พลังของรูปแบบชีวิตทั้งสาม เขาเกรงว่าเข่าของเขาคงจะทรุดลงไปแล้ว บางที เขาอาจจะถูกกดทับจนหน้าทิ่มพื้นและไม่อาจยืนขึ้นได้”

“อสูรระฆังของข้านี้ มีคมเสี้ยวของปีศาจไม่มีสิ้นสุดจากดินแดนล่มสลายในมิติว่างเปล่ส เมื่อก่อนหน้านี้ไม่นาน ข้ายังไม่พบตัวตนที่แข็งแกร่งพอคู่ควรที่ข้าจะใช้มัน นับเป็นโชคดีของเจ้าแล้วที่ตกตายด้วยระฆังนี่ ” โปวชุนกก็สวมใบหน้าโอ้อวด เย่อหยิ่ง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้สนใจอะไรฉื่อหยานมากนัก

แสงอสูรจากอสูรระฆังก็ค่อยๆ กดทับลงมามากขึ้น ขณะที่แรงกดดันหนักหน่วงขึ้นเป็นเท่าตัว

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ฉื่อหยานยังคงสงบ ไม่เร่งรีบตอบโต้กลับในขณะที่เขาส่งพลังเข้าไปที่ดาบยักษ์มากขึ้นเรื่อยๆ

ดาบนี้ได้ทำลายดาบอสูรไร้เทียมทาน และสามารถแยกสมบัติลับระดับศักดิ์สิทธิ์เป็นสองส่วนได้ภายในดาบเดียว แน่นอนว่ามันต้องเป็นหนึ่งในสมบัติลับระดับพระเจ้าที่อยู่บนโลกนี้ แม้ว่าเขาแทบจะไม่ใช้พลังของดาบนี้ทั้งหมด เขาก็เชื่อว่ามันมีพลังที่จะรับมือกับอสูรระฆังของโปวชุน

แต่เขาก็ไม่ควรรีบ เขาต้องสะสมพลังให้เพียงพอเพื่อที่จะใช้พลังของดาบยักษ์ให้ดีที่สุด

แสงอสูรยังคงกดทับลงมา แต่ฉื่อหยานยังยืนนิ่ง แลถ่ายเทพลังเข้าไปในดาบยักษ์อย่างบ้าคลั่ง ดวงตาที่ปิดอยู่ก็ค่อยๆลืมขึ้นทีละดวง ดวงตาครึ่งหนึ่งบนดาบยักษ์ก็ลืมขึ้น จู่ๆ ฉื่อหยานก็รู้สึกเหนื่อยล้า

นี้เป็นเพราะมันได้ดูดกลืนพลังของเขามากเกินไป

” ตอนนี้แหละ ! ” เขาตะโกนออกมาควบคุมจิตสำนึกวิญญานของเขา ถ่ายทอดพลังปราณลึกลับเข้าไปในดาวยักษ์รวดเดียว กลิ่นอายที่อันตรายก็ทะลักออกมาจากดาบยักษ์ลึกลับ

ดาบยักษ์พุ่งตรงไปที่อสูรระฆังประทะเข้ากับม่านแสงอสูร

ดวงตาสีแดงบนดาบยักษ์ก็พระพริบ ในขณะที่กลิ่นอายทำลายล้างกระหายเลือดบ้าคลั่งทะลักออกมาจากดาบ มันหลอมรวมกันเป็นเส้นลำแสงยาวพุ่งตรงไปยังม่านแสงอสูร

ครืนครืนครืน !

เสียงเสียงสะท้อนก็ดังออกมาจากม่ายแสงอสูร ร่างเงาของสัตว์อสูรโบราณก็ถูกทำลายกลายเป็นจุดแสงนับไม่ถ้วนกระจายเหนือเกาะสุริยัน ม่านแสงอสูรห้าในเจ็ดชั้นที่ปลดปล่อยออกมาจากอสูรระฆังถูกฉีกกระฉากออกเป็นชิ้นๆ

 

ม่านแสงอสูรที่เหลืออักสองชั้น ก็กดทับลงมา ราวกับว่าพวกมันต้องการจะฆ่าฉื่อหยานโดยไม่ลังเล

พลังยังไม่เพียงพอ

ฉื่อหยานถอนหายใจอยู่ข้างใน

เขารู้ว่าถ้าเขาสามารถรวบรวมพลังได้มากพอดวงตาทั้งหมดบนดาบยักษ์ก็จะเปิดออกและพลังของมันก็จะมากกว่านี้เป็นสองเท่า ถ้าเขาทำอย่างนั้นได้ เขาเชื่อว่าเขาจะสามารถทำลายอสูรระฆังได้ในดาบเดียวแน่นอน

แต่น่าเสียดายที่แม้ว่าเขาจะได้ยืมพลังจากรูปแบบชีวิตทั้งสามแล้ว เขาก็ไม่สามารถควบคุมดาบยักษ์ได้ทั้งหมดและไม่สามารถดึงพลังสูงสุดของมันออกมาได้

เมื่อเห็นอีกสองม่านอสูรกดทับลงมา เขาก็ไม่สามารถช่วยได้ที่จะทำได้เพียงต้องมองพวกมัน เขานั้นได้กระตุ้นพลังมากเกินไป จึงไม่สามารถโคจรพลังได้ในตอนนี้

ในตอนนั้นเองเสียงก็ดังขึ้นมาจากใต้ทะเล

ณ จุดนั้น ผู้คนสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าตรีศูลจำนวนมากกำลังพุ่งผ่านทะเลไปยังอสูรระฆัง

สามง่ามก็โผล่ออกมาจากทะเล กลิ่นอายคมชัดครอบคลุมเกาะสุริยันทั้งหมดทันที

เสียงระเบิดก็ดังขึ้นเมื่อตรีศูลทิ่มไปที่อสูรระฆัง ภาพเงาของสัตว์อสูรนับไม่ถ้วยในระฆังก็เลือนลางทันที

นอกจากนี้ ม่านแสงอสูรสองชั้นที่กดลงไปที่ฉื่อหยานก็แตกกระจายไปเมื่อระฆังถูกตี เห็นเช่นนี้ ฉื่อหยาน ก็ตื่นตัว เขารู้ได้ทันทีว่า นักรบที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าทะเลได้มาถึงแล้ว

” เจ้าเป็นใคร ? “

โปวชุนสีหน้าก็มืดมน เขาจ้องมองอย่างหนักอึ่งไปที่ทะเล

” นู่หลาง “

” ประมุขของเผ่ามังกรสมุทรดำงั้นรึ ” โปวชุนก็ตกใจเขาตะโกนว่า ” เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า เผ่าทะเลเองก็ถูกมนุษย์กลั่นแกล้ง แล้วเหตุใดเจ้าถึงต้องการช่วยมนุษย์กัน ? “

” ข้าไม่ได้ช่วยพวกมนุษย์ ข้าแค่ช่วยฉื่อหยานเพียงคนเดียว” นู่หลางสีหน้าก็สงบ ขณะที่เขาพยักหน้าไปที่ฉื่อหยาน ” เผ่าอสูรอยู่ตรงหน้าแล้ว ข้อตกลงของเรายังเป็นเช่นเดิมอยู่ใช่หรือไม่ ?

ฉื่อหยานยิ้มและพยักหน้า ” แน่นอน ! “

________________________

ปล. ตอนนี้กลุ่มลับถึงกลุ่ม 30 แล้ว มีถึงตอนที่ 1401 แล้วจ้า ท่านใดสนใจ กดอ่านรายละเอียดที่นี่เลย > กดตรงนี้ <

เทพเจ้าล่าสังหาร

เทพเจ้าล่าสังหาร

เทพเจ้าล่าสังหาร
Status: Ongoing
อ่านนิยาย เทพเจ้าล่าสังหาร ฉื่อหยาน เป็นเด็กหนุ่มชื่นชอบกีฬาผาดโผน อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการผจญภัยในหลุมฟ้าบาฮามาส ฉื่อหยานบังเอิญเดินทางผ่านเวลาและพื้นที่ จนไปกลายเป็นนายน้อยของตระกูลที่มีชื่อเสียง มีชื่อว่า ฉื่อหยาน ตอนนั้นเองคุณชายน้อยฉื่อหยานได้เสียชีวิตลลงที่ข้างบ่อเลือดพอดี และในระหว่างการผจญภัยสุดยอดกีฬาผาดโผน วิญญาณของเขาได้ถูกโอนเข้ามาของร่ายกายนายน้อย ฉื่อหยาน และได้รับแหวนวิเศษที่ถูกเรียกว่า ' แหวนสายโลหิต ' แหวนที่มีพลังลึกลับซึ่งทำให้ฉื่อหยาน เป็นนักฆ่า ความต้องการฆ่าของเขานั้นไร้สิ้นสุด ทุกอย่างทำเพื่อเพิ่มพลังอำนาจของเขาอย่างรวดเร็ว แต่ทุกครั้งหลังการฆ่า ความต้องการทางเพศก็จะตามมา . . . . . . .

Comment

Options

not work with dark mode
Reset