บทที่ 51 ตำหนักจิตวิญญาน
ตำหนักจิตวิญญานของตระกูลฉื่อนั้นมีด้วยกันทั้งหมดห้าชั้น
ทุกชั้นจะถูกตั้งชื่อ ตามแต่ระดับของวิชาต่อสู้
ในชั้นแรกและชั้นที่สองเป็นวิชาต่อสู้ในระดับเริ่มต้น โดยทั่วไปแล้ว นักรบระดับเริ่มต้นจะเลือกวิชาต่อสู้ในชั้นแรกแห่งนี้นี้
ในขณะที่นักรบระดับก่อตั้งจะเลือกวิชาในชั้นที่สอง
บนชั้น 3 และ 4 มีวิชาต่อสู้ระดับลึกซึ้งอยู่ ชั้นสามจะเหมาะสำหรับนักรบระดับมนุษย์และส่วนนักรบในระดับหายนะก็จะไปที่ชั้นสี่
ในชั้นที่ 5 ของตำหนักจิตวิญญานนั้น มีวิชาระดับวิญญานอยู่ และเป็นเพียงวิชาระดับวิญญาน วิชาเดียวที่ตระกูลฉื่อครอบครอง
แต่ชั้นนี้มีไว้สำหรับหัวหน้าตระกูล ฉื่อเจี้ยน เท่านั้น , ซึ่งบางครั้งก็มีผู้อื่นขึ้นมาบ้าง
วิชาต่อสู้ระดับวิญญาน เป็นวิชาที่พิเศษซึ่งแม้แต่ผู้อาวุโสหรือผู้คุมกฏก็ไม่มีวันได้เห็น แต่ จะมีลูกหลานจากตระกูลฉื่อที่บรรลุถึงระดับปฐพีเท่านั้นที่มีโอกาสจะได้เห็น
อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มลูกหลานตระกูลฉื่อมากสุดก็มีเพียงระดับแค่ นภาที่สามในระดับหายนะ เท่านั้น ซึ่งอีกหนึ่งก้าวก็จะบรรลุเข้าสู่ระดับปฐพี
. . . . . . .
ฉื่อเจี้ยนกำลังนำทางฉื่อหยานมาที่ตำหนักจิตวิญญานด้วยตัวเอง
ด้านหน้าของตำหนักจิตวิญญาน มีหญิงชราที่มีริ้วรอยบนใบหน้ายืนอยู่ นางคำนับเมื่อเห็นฉื่อเจี้ยนเดินมา , ” ท่านหัวหน้าตระกูล ” .
หญิงชราคนนี้มีชื่อว่า ยุนหลัว เป็นอาวุโสเก่าแก่ของตระกูลฉื่อ เหมือนกับฮันเฟิง นางอยู่ในนภาแรกของระดับรู้แจ้ง มันบ่งบอกได้เลยว่านางนั้นแก่หว่าฉื่อเจี้ยน. นางเป็นอาวุโสตั้งแต่ฉื่อเจี้ยนยังเด็ก
นางอยู่ในตระกูลฉื่อมานานหลายทศวรรษและนางเองก็ไว้วางใจฉื่อเจี้ยนเป็นอย่างมาก , นางได้รับมอบหมายให้เฝ้าตำหนักจิตวิญญานนี้ไว้
” ข้าจะนำฉื่อหยานไปเลือกวิชาต่อสู้ในตำหนักวิญญาน ” ฉื่อเจี้ยน พูดขึ้นเมื่อเดินมาถึงหน้าประตู และหันไปสั่งฮันเฟิงกับหยางไห่ ” เจ้าสองคนรออยู่ที่นี่ “
ฮันเฟิงหยางไห่พยักหน้าพร้อมกัน
ยุนหลัวเดินนำฉื่อเจี้ยนและฉื่อหยานเข้าไปในตำหนัก และทันทีที่พวกเขาเข้าไป นางก็กลับออกมายืนอยู่ที่หน้าประตู และพยักหน้าให้ฮันเฟิงด้วยสีหน้าแปลกๆ
ในช่วงไม่กี่วัน ฉื่อหยานได้ถูกฉื่อเจี้ยนฝึกฝนอย่างหนักอยู่ในห้องแรงโน้มถ่วงทั้งวันทั้งคืน
ไม่ต้องพูดถึงยุนหลัว แม้แต่คนอื่นๆต่างก็ไม่ทราบเรื่องปัจจุบันของฉื่อหยาน
แต่ตอนนี้ฉื่อเจี้ยน ผู้ไม่เคยพาผู้ใดมาเลือกวิชาในตำหนักวิญญานมาก่อน กลับพาฉื่อหยานมา ซึ่งนั่นย่อมหมายความว่า ฉื่อหยาน ได้เป็นนักรบแล้วอย่างแน่นอน !
ยุนหลัวรู้เรื่องของฉื่อหยานดีนางรู้ว่าคุณชายคนนี้ไม่ได้ครอบครองจิตวิญญานต่อสู้ และไม่ได้ฝึกฝนวิชาต่อสู้ตั้งแต่เด็ก ตอนนี้เองเขาก็อายุสิบเจ็ดปีแล้ว แต่กลับพึ่งเป็นนักรบ นี่มันผิดปกตินัก !
ดังนั้น ยุนหลัวจึงสับสน
นางไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น ยุนหลัวมองไปที่ฮันเฟิงด้วยความสงสัย แต่ฮันเฟิงกลับส่ายหัวให้ และบอกว่า เขาเองก็ไม่สามารถอธิบายได้
ยุนหลัวยิ่งสับสนมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้ถามออกไป นางยืนอยู่ที่ประตูและเริ่มคิด
ถ้าเป็นวันปกติ นางจะปิดประตูเหล็กลงและติดตามผู้ที่เข้าไปด้านในของตำหนัก เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาขึ้นไปชั้นที่ไม่เหมาะสม
แต่ตอนนี้ฉื่อเจี้ยนเป็นคนนำมาเอง ดังนั้นนางจึงไม่ต้องระมัดระวังมากนัก
. . . . . . .
” มีวิชาระดับมนุษย์สิบแปดวิชาในชั้นที่หนึ่งและสอง แปดวิชาระดับมนุษย์ในชั้นที่สาม และสี่วิชาระดับลึกซึ้งในชั้นที่สี่ ตอนนี้เจ้าอยู่นภาที่สามในระกับก่อตั้ง , เจ้าเหมาที่จะขึ้นไปที่ชั้นสองเท่านั้น “
ฉื่อเจี้ยนอธิบายสั้นๆให้ฉื่อหยานฟัง และพาเขาขึ้นไปยังชั้น 2
บนผนังของทุกชั้นในตำหนักจิตวิญญาน จะมีร่องหินหลายช่อง ในแต่ละร่องเหล่านี้ มีหนังสือวิชาต่อสู้อยู่
ร่องแต่ละร่องถูกปกคลุมด้วยคริสตัลสีเขียวและมีรูกุญแจขนาดเล็กอยู่ที่จุดศูนย์กลาง และมีชิ้นส่วนกระดาษที่เขียนเกี่ยวกับคำแนะนำในวิชานั้นๆติดอยู่ข้างๆ
หลังจากเดินไปรอบๆชั้นที่สอง ฉื่อหยาน ก็พบว่า10ใน18ของวิชาในชั้นที่หนึ่งและสองล้วนเป็นวิชาธรรมดา และถูกฝึกโดยทหารและนักรบมากมาย เช่น วิชาที่คินโม่ใช้ ‘ หมัดดารา ‘
ส่วนอีกแปดวิชาล้วนไม่สามารถพบให้ได้ง่ายที่ภายนอกนัก และพลังของพวกมันและกระบวนการฝึกฝนดูเหมือนค่อนข้างที่จะง่ายสำหรับฉื่อหยาน
ลึกลงไป ฉื่อหยาน เป็นคนที่รักในความท้าทาย รักที่จะแก้ปัญหาที่ยากลำบาก
ดังนั้น หลังจากที่เดินไปรอบ ๆบนชั้นสอง ฉื่อหยานก็ส่ายหัว ” ท่านปู่ วิชาต่อสู้ในสองชั้นนี้น่าเบื่อเกินไป ไปข้างบนกันเถอะ “
ถ้ามันคือเมื่อหนึ่งปีก่อนฉื่อหยานคง ไม่ได้พูดคำนี้กับ ฉื่อเจี้ยนแน่นอน
แต่ตั้งแต่ตอนที่ฉื่อหยานได้แสดงให้เห็นถึงจิตวิญญานอมตะของเขา เขาสามารถใช้สิทธิในการทำสิ่งใดก็ได้ตามที่ต้องการ
เขาเท่านั้นที่รู้เรื่องเกี่ยวกับจิตวิญญานเร้นลับอีกอย่างที่อยู่ในร่างเขา เขาจะไม่พูดเรื่องนี้กับใครเด็ดขาด
แต่เรื่องของจิตวิญญาณอมตะเขาไม่ต้องการที่จะเก็บมันความลับ เขาต้องการที่ให้คนอื่นรับรู้ เพราะว่าเขาต้องการที่จะได้รับสิทธิพิเศษในตระกูลฉื่อและได้รับการฝึกฝนโดยตรงจากฉื่อเจี้ยน .
เมื่อได้รับรู้ว่าเขานั้นครอบครองจิตวิญญานแฝด , ฉื่อเจี้ยนจะสามารถที่จะทนได้อีกงั้นหรือ
ตามที่คาดไว้ , ฉื่อเจี้ยน ไม่ได้ขัดขวางเขาหรือลังเลแม้แต่เล็กน้อย เขาถอนหายใจออกมาและพูดว่า ” เจ้าเป็นนักรบในระดับก่อตั้งเท่านั้น มันไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก ที่เจ้าจะไปฝึกฝนวิชาต่อสู้ระดับลึกซึ้ง . “
” ข้าไม่เหมาะสมเช่นนั้นรึ ? เห็นหรือไม่ ข้าได้บรรลุถึงนภาที่สองในระดับก่อตั้งเพียงใช้เวลาแค่ครึ่งปี อีกทั้งข้ายังสามารถฟื้นฟูร่างกายของตัวเองได้อย่างรวดเร็วซึ่งคนอื่นไม่สามารถทำได้ คนทั่วไปอาจจะใช่ที่ไม่เหมาะจะฝึกวิชาพวกนั้น แต่สำหรับข้ามันเป็นไปได้ ! .
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉื่อเจี้ยนก็ประหลาดใจ และเขาก็พยักหน้า ” ดี เจ้ามีจุดมุ่งหมายที่แน่วแน่ เช่นนั้นตามข้ามา “
หลังจากนั้น ถ้าฉื่อหยานสนใจวิชาใดเขาก็จะหยิบมันขึ้นมาจากร่อง ,และฉื่อเจี้ยน ก็จะอธิบายคุณสมบัติและความสามารถรวมถึงวิธีการฝึกฝนของมันให้แก่เขา
” ดี ! วิชาในชั้นที่สามนี้เจ้ายังไม่สนอีก ! ” ฉื่อเจี้ยนเก็บหัวของเขาพยักหน้า เขาสามารถรู้ได้อย่างชัดเจนเลยว่าฉื่นหยานนั้นไม่ได้สนใจในวิชาชั้นที่สามเลย หลังจากนั้นเขาก็กล่าวว่า ” งั้นตอนนี้เราก็ไปชั้นที่สี่กัน “
” ตกลง เช่นนั้นท่านก็ช่วยอธิบายวิชาต่างๆในชั้นที่สี่แก่ข้าด้วย ข้าไม่รู้่เรื่องวิชาพวกนี้เลย ”
ฉื่อเจี้ยนพาฉี่หยานไปที่ชั้นสี่
เมื่อพวกเขามาถึงชั้นที่สี่ , ฉื่อเจี้ยนก็เดินตรงไปที่ร่องที่มีวิชาวางอยู่ ” นี้คือ ‘ ตาข่ายดารา ‘ ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงพลันปราณลึกลับให้พันกันเป็น ‘ ตาข่ายดารา ‘ได้ ตาข่ายดารานี้สามารถหยุดยั้งพลังปราณลึกลับของศัตรูได้ทั้งหมดเมื่อมันได้ห้อมล้อมไปที่ศัตรู “
” โอ้ น่าทึ่งนัก ! “
” ถูกต้อง แต่มันก็อยู่สูงกว่าความสามารถของเจ้านัก วิชานี้จะต้องมีพลังปราณลึกลับที่หนาแน่นและเจ้าต้องควบคุมพลังปราณลึกลับได้อย่างสมบูณร์เสียก่อน ซึ่งตอนนี้มันยังห่างไกลจากเจ้านัก “
ฉื่อเจี้ยน เข้มงวดมากเป็นอย่างมาก เขาถอนหายใจออกมาและเดินไปที่วิชาอื่น ” นี่คือ ‘ ทะเลทรายผันแปล ‘ ซึ่งเจ้าสามารถซัดฝ่ามือนับพันออกไปห้อมล้อมได้ทุกทิศทาง และขัดขวางการเคลื่อนไหวของศัตรู , ผลักดันพวกมันให้เข้ามาต่อสู้กับเจ้าโดยตรง ตระกูลฉื่อของเรามีจิตวิญญานากายาแข็งที่พิเศษ และเมื่อใช้ร่วมกับ ‘ ทะเลทรายผันแปล ‘ ก็จะสามารถสำแดงพลังของจิตวิญญานกายาแข็งออกมาได้อย่างเต็มที่ ซึ่งวิชานี้เป็นวิชาต่อสู้ที่่เหมาะสมกับตระกูลฉื่อยิ่งนัก ! “
” นี่ก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน “
” อืม แต่มันก็เกินความสามารถของเจ้าอยู่ดี เจ้าไม่สามารถฝึกฝนมันได้ก่อนบรรลุถึงระดับหายนะ เพราะถ้าหากเจ้าไม่มีพลังปราณเพียงพอที่จะปลดปล่อยฝ่ามือ แล้วมันจะไปห้อมล้อมศัตรูได้อย่างไรหละ เจ้าเองก็คงรู้ดีสินะ ? “
” แล้ววิชาต่อไปหละ ? “
” มันคือ ‘ เงาจันทราทมิฬ ‘ เมื่อฝึกไปถึงระดับสูง ร่างกายจะเปลี่ยนไปเป็นเงาและไม่สามารถแตะต้องได้ วิชานี้ก็ไม่ง่ายเช่นกัน เจ้าจะต้องมีระดับที่สูงและต้องมีระดับมากกว่าระดับหายนะ ดังนั้นจงอย่าได้คิดถึงมันอีก . “
” นี่เป็นร่องสุดท้าย”
ฉื่อเจี้ยน อุทานออกมา เขาดูเหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง ตาของเขาสว่างแล้วและเขาก็หยุด ” นี่คือวิชา ดัชนีย์ เมื่อเจ้าฝึกฝนสำเร็จ นิ้วมือของเจ้าจะแหลมคมเหมือนกับมีด และสามารถแทงทะลุร่างของศัตรูได้อย่างง่ายดาย มันง่ายมากที่จะเอาชนะและทำลายศัตรูของเจ้าได้อย่างสมบูรณ์ หากเจ้าฝึกฝนวิชาต่อสู้นี้ ร่วมกับจิตวิญญานกายาแข็ง มันจะทรงพลังขึ้นเป็นอย่างมาก “
” วิชานี้น่าสนใจยิ่งนัก ! ” ฉื่อหยานก็แปลกใจ ” มันต้องการเงื้อนไขใดหรือไม่ “
” ก็มีอยู่ แต่ดูเหมือนมันจะเหมาะสมกับเจ้าพอดี . ” ฉื่อเจี้ยน กล่าวหลังจากที่ลังเล ” การฝึกฝนดรรชนีย์ทะลวงในขั้นแรก จะต้องมีจิตวิญญานกายาแข็งในขั้นที่สอง และจะต้องมีแสงสีดำปกคลุม เพราะว่านิ้วมือของเจ้าจะได้ไม่หักในระหว่างที่ฝึกฝน อืม , วิชานี้เจ้าสามารถฝึกมันได้ ” .
” งั้นข้าเลือกวิชานี้ ! ” ฉื่อหยานกล่าวเด็ดขาด
ฉื่อเจี้ยน จ้องมองฉื่อหยาน อย่างแปลกใจ และจมอยู่ในความคิดที่ลึกซึ้ง
” มีอะไรงั้นรึ ? ท่านอยากจะพูดอะไรกันแน่ ? ” ฉื่อหยาน รู้สึกกังวลเล็กน้อย
” เจ้าต้องการที่จะฝึกฝนดรรชนีย์ทะลวงนี่จริงๆใช่ไหม ” ฉื่อเจี้ยนสูดเอาลมหายใจเข้าๆลึก
” ทำไมรึ ? “
” เจ้าสามารถที่จะฝึกฝนมันได้อย่างรวดเร็วด้วยจิตวิญญาณอมตะ เจ้าจะสามารถฝึกฝันมันได้อย่างเต็มที่แน่นอน ” ฉื่อเจี้ยนหยุดแล้วพูดต่อ ” แต่ขั้นตอนในการฝึกดรรชนีย์ทะลวงนั้นสาหัสยิ่งนัก ! มันสาหัสยิ่งกว่าการให้กระบองแรงโน้มถ่วงฟาดเจ้าเสียอีก มันเป็นการทรมานอย่างแท้จริง ! เจ้ายังอยากจะฝึกมันอีกหรือไม่ ? มันไม่ได้เป็นเพียงแค่วิชาเริ่มต้นนะ ? “
” ข้าจะฝึกมัน ! “
” ตกลง งั้นข้าจะบอกขั้นตอนวิธีการฝึกฝนให้ เมื่อเจ้าฝึกสำเร็จ นิ้วมือของเจ้าจะแหลมคมอย่างมาก แต่อย่าง่า เจ้าจะต้องผ่านการทรมานที่สาหัสไปให้ได้ก่อนละนะ . . . . . . . “
. . . . . . .
วันต่อมาในห้องแรงโน้มถ่วง
เสาแรงโน้มถ่วงหกในเจ็ดถูกสวมคลุมด้วยผิวหนังของสัตว์อสูรระดับห้า , อสรพิษเงิน ผิวของมันสามารถเพิ่มแรงโน้มถ่วงได้ ดังนั้นแรงโน้มถ่วงจึงเป็น2เท่าจากปกติ
ข้างๆต้นเสา
นิ้วชี้ที่บอบบางกำลังชี้ไปที่ผืนและขาของเขาก็ชี้ขึ้นฟ้า เขากำลังรองรับน้ำหนักของร่างกายทั้งหมดซึ่งเพิ่มเป็นสองเท่าจากการเพิ่มขึ้นของแรงโน้มถ่วง
นิ้วชี้ของเขาสั่นเล็กน้อย และดูเหมือนมันจะหักได้ทุกเวลา
หน้าของฉื่อหยาน แดงเหมือนกุ้งสุก กล้ามเนื้อบนแขนซ้ายของเขาสั่นและเส้นเลือดของเขาเองก็สั่นเหมือนงูตัวเล็กที่พยายามจะออกมาจากผิวหนังออกเขาเช่นกัน
อาการปวดที่รุนแรงกระจายเต็มไปทั่วนิ้วของเขา
มันรู้สึกเหมือนมีเข็มจำนวนมาทิ่มแทงเข้ามาที่นิ้วของเขา อาการปวดของเขาเหมือนกับเสาไม้ที่กำลังถูกคลื่นยักษ์ซัดใส่ และมันกำลังจะพังลง
เขาต้องอดทนไว้
ฉื่อหยานขบฟันแน่น เลือดของเขาไหลออกมาจากฟันและหยดลงจากใบหน้า ขณะที่เขาคว่ำหน้าลง เลือดของเขาไหลลงเข้าไปในหัวของเขาเป็นจำนวนมาก ซึ่งมันมากเกินไป
ผ่านไปห้านาที
ฉื่อหยานก็เหมือนกำลังจะแตกสลายเมื่อผ่านไปได้เพียงห้านาที
ความเจ็บปวดที่นิ้วของเขาทำให้เขารู้สึกอยากที่จะยอมแพ้ มันจะต้องหักแน่นอน หากเขาไม่มีจิตวิญญานกายาแข็ง
เขาต้องอดทนต่อไป !
6 นาที ! 7 นาที !
เมื่อมันมาถึงนาทีที่แปด ฉื่อหยาน ก็ถึงจุดสูงสุดของความอดทนและสติของเขาเริ่มเลือนราง . . .
หลังจากนั้น
ทุกประเภทของอารมณ์เชิงลบก็ปะทุขึ้นมาในเส้นชีพรส่วนหัวของเขาทั้งหมดในครั้งเดียว
อารมณ์เชิงลบทั้งหมดทะลักเข้าไปในจิตใจของเขาอย่างบ้าคลั่ง
และ ‘ บ้าคลั่ง ‘ ก็ได้ถูกกระตุ้นขึ้นมา
––––––––––––––––––––––––
ปล. โบนัสจ้า ลงอีกที วันที่ 2/4/2560 จ้า… ตอนนี้ในกลุ่มลับของเราลงถึงตอนที่ 122 แล้วนะครับ แล้วก็มีกลุ่ม 3 แล้วด้วย เริ่มลงตอนที่ 121 แล้วนะครับ หากสนใจอยากเข้าร่วมกลุ่มลับ สามารถอ่านเงือนไขได้ที่โพสปักหมุดของเพจเลยจ้า กลุ่มเรารับคนตลอดน๊า….
ติดตามข่าวสารต่าง ๆ ได้ที่เพจของเรา กดตรงนี้ >>GOS เทพเจ้าล่าสังหาร << ฝากกดไลท์กดแชร์เพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้แปลด้วยครับ