บทที่ 63 การประลองฝีมือ
ณ เมื่องเทียนหยุน จะมีพื้นที่สี่เหลี่ยมอยู่เรียกว่า ศิลาพระเจ้า
ในพื้นที่ตรงนั้นจะมีผลึกดาวตกขนาดเท่ากับภูเขาเล็กๆ จมลึกลงไปลงไปในพื้นดินอยู่และปรากฏส่วนที่มองเห็นได้สูงหลายร้อยเมตร นั่นทำให้มันดูงดงามเป็นอย่างมาก
ตำนานบอกว่านี้คือชิ้นส่วนของอุกกาบาตที่ตกลงมาจากท้องฟ้า เมื่อหลายพันปีก่อน มันได้ตกลงมา ซึ่งในตอนนั้นเองก็ยังไม่มีเมืองเทียนหยุนแห่งนี้เลย มีเพียงแค่ผลึกดาวตกที่จมอยู่ในพื้นดินเท่านั้น
ว่ากันว่า หลังจากที่อุกกาบาตตกลงมาจากท้องฟ้า ในตอนแรก ทุกๆคืนภายใต้ประกายแสงจันทร์ อุกกาบาตจะเปล่งแสงสีเงินสว่างออกมา . ต่อมา แสงสีเงินนี้ก็เริ่มมัวหมองลง ไปทุกๆวัน และในที่สุดก็ผ่านไปสิบปี , อุกกาบาตก็ไม่ส่องแสงออกมาอีกเลย มันกลายเป็นเหมือนก้อนหินธรรมดา
คนในสมาคมการค้านั้นถือได้ว่าอุกกาบาตก้อนนี้เป็นศิลาพระเจ้า และได้สร้างเมืองเทียนหยุนขึ้นรอบๆมัน( เทียนหยุน แปลว่า ดาวที่ตกลงมาจากบนท้องฟ้า )
ผ่านช่วงเวลามาหลายปี และตอนนี้ก็กลายเป็นเมืองเทียนหยุนที่กว้างใหญ่และเป็นศูนย์กลางของสมาคมการค้า
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าอุกกาบาตนั้นจะหยุดส่องแสงประกายสีเงินไปแล้วก็ตาม แต่สำหรับนักรบในสมาคมการค้า พวกเขาก็ยังคงเชื่อว่าอุกาบาตก้อนนี้เป็นพรของพระเจ้า ดังนั้นเหล่านักรบจึงปกป้องมันอย่างดีและได้ตั้งชื่อมันว่า ศิลาพระเจ้า
และพื้นที่สี่เหลี่ยมที่เรียกว่า ศิลาพระเจ้านั้น ก็สร้างขึ้นมาจากผลึกดาวตกนี้นั่นเอง
ในสมาคมการค้า คู่รักหลายคู่มักจะมาที่ศิลาพระเจ้าแห่งนี้เพื่อขอพรให้คู่ของตน และให้คำสัตย์สาบานกับศิลาพระเจ้าเพื่อเป็นพยานในความรักของพวกเขา
ทุกครั้งทีมี่งานประลองฝีมือในสมาคมการค้า พวกมันก็จะถูกจัดขึ้นที่พื้นที่ศิลาพระเจ้าแห่งนี้
วันนี้ในศิลาพระเจ้านั้นเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย มีกระแสของฝูงชนไม่รู้จบหลั่งไหลเข้ามา ซึ่งส่วนมากนั้นจะเป็นนักรบหรือพ่อค้าที่มาค้าขายเป็นส่วนใหญ่ และแต่ละคนนั้นล้วนแต่เป็นผู้ฝึกวิชาต่อสู้ทั้งสิ้น
ในศิลาพระเจ้าสี่เหลี่ยม
ที่ด้านหน้าของหินอุกาบาตขนาดใหญ่ ก็มีสนามประลองด้วยกันทั้งหมด 16 สนาม แต่ละสนามนั้นกว้างประมาณ 100 ตารางเมตร และทำมาจากเหล็กกล้าสีเขียวทึบ แม้แต่นักรบในระดับมนุษย์ก็ไม่สามารถที่จะทำลายมันได้ถึงจะใช้พลังทั้งหมดของตนก็ตาม
รอบๆสนามทั้งสิบหกแห่งมีหอคอยหินสูงตั้งอยู่ด้วยกัน 5 หอคอย
มีหอคอยหลังหนึ่งสูงถึงห้าสิบเมตร ส่วนหอคอยที่เหลือนั้นสูงสี่สิบเมตร หอคอยทั้งห้าเหล่านี้มีพื้นที่กว้างประมาณหนึ่งร้อยเมตร ในพื้นที่กว้างขวางเหล่านั้น จะเป็นพื้นที่สำหรับตระกูลใหญ่ทั้ง5 เพื่อที่จะสามารถดูการประลองทั้งสิบหกสนามได้อย่างสะดวก
ณ หนึ่งในหอคอยหิน , ฉื่อหยานกำลังยืนอยู่ข้างๆ ฉื่อเจี้ยน , กำลังก้มมองดูไปที่ผู้มาเข้าร่วมงานประลองในครั้งนี้
หอคอยหินแห่งนี้เป็นของตระกูลฉื่อซึ่งเป็นคอหอยที่สูงสี่สิบเมตรส่วนหอคอยอื่นๆอีก 4 แห่งนั้นเป็นของตระกูล เป่ยหมิง ซั่ว โม่ หลิง
หอคอยหินของตระกูล หลิง ซั่ว และ โม่ นั้นก็สูงเพียงสี่สิบเมตรเช่นเดียวกับตระกูลฉื่อ อย่างไรก็ตาม มีเพียง หอคอยของตระกูลเป่ยหมิงเท่านั้นที่สูงถึงห้าสิบเมตร ซึ่งมันสูงกว่าหอคอยของตระกูลอื่น
เมื่อดูจากความสูงของหอคอยหินแล้ว สามารถบอกได้เลยว่า ตระกูลเป่ยหมิงนั้นเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสมาคมการค้า !
นี้เป็นวันแรกของงานประลองฝีมือ
ลูกหลานโดยตรงจากตระกูลฉื่อ ฉื่อเจี้ยน , ฉื่อเตี่ย ;และฉื่อตั้ง ทุกคนต่างก็อยู่ในหอคอยหินแห่งนี้
พี่น้องตระกูลฮัน ฮันเฟิงและฮันจง ก็อยู่ในหอคอยหินแห่งนี้ด้วยเช่นกัน และยังมีคนอื่นๆที่ฉื่อหยานไม่คุ้นเคยอยู่ด้วย ซึ่งฮันจงได้แนะนำฉื่อหยานว่าพวกเขานั้นต่างก็เป็นข้ารับใช้ที่ซื่อสัตว์ต่อตระกูลฉื่อ พวกเขามักจะทำงานอยู่ในเมือง และจะถูกเรียกตัวมาที่นี่เพราะงานประลองเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม หยางไห่ นั้นไม่ได้อยู่ในหอคอยหินแห่งนี้ นั่นก็เป็นเพราะว่า หยางไห่นั้นไม่ได้สนใจในวิชาต่อสู้มากนัก และเนื่องจากมีนักรบยอดฝีมือมากมายถูกเชิญมาที่แห่งนี้ หยางไห่ก็รับหน้าที่เป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้แทน เผื่อในกรณีที่เกิดปัญหาใด ขึ้นระหว่างการประลอง
การประลองที่จัดขึ้นทุกปีจะถูกแบ่งออกเป็น 5 ระดับ คือ ระดับประเริ่มต้น ก่อตั้ง , มนุษย์ , หายนะ , และปฐพี อย่างไรก็ตาม ในแต่ละระดับนั้นก็จะมีเพียงผู้เดียวที่อยู่ในจุดสูงสุดเท่านั้น .
และก็เป็นเรื่องปกติ ที่เหล่านักรบในระดับปฐพีจะไม่เข้างานประลองเพื่อดึงดูดความสนใจของตระกูลทั้งห้า เพราะพวกเขานั้นต่างก็ได้รับโอกาสมากมายเมื่อพวกเขาบรรลุถึงระดับปฐพี มันไม่จำเป็นเลยที่เขาจะต้องการเข้าร่วมกับ 5 ตระกูลใหญ่
นักรบในระดับปฐพี ไม่ว่าจะในสมาคมการค้า จักวรรดิ์อัคคี หรือ จักวรรดิ์พรพระเจ้า คนเหล่านี้ ถือได้ว่าเป็นผู้ที่อยู่ในระดับ อาจารย์
นักรบเหล่านี้ไม่ต้องการที่จะไปประลองกับใครเพื่อวัสดุที่ช่วยในการบ่มเพาะเลย เพราะว่า จะมีเหล่านักรบมากมายนำสิ่งของเหล่ามาให้เขาเองเพื่อเอาใจหรือต้องการความช่วบเหลือจากเขา
ถึงแม้นักรบระดับปฐพีเหล่านี้จะปฏิเสธที่จะเข้าร่วมกับขุมอำนาจ แต่พวกเขาบางคนก็ยังต้องการที่จะมีคนคอยช่วยเหลือ และหวังไว้ว่าจะมีผู้ติดตาม
ด้วยเหตุนี้ จึงมีนักรบในระดับปฐพีเข้าร่วมอยู่บ้าง แต่จำนวนนักรบที่มาเข้าร่วมนั้นกลับน้อยนิดเป็นอย่างมาก
แม้แต่กับนักรบในระดับหายนะเอง ก็มีจำนวนผู้เข้าประลองน้อยลงทุกปี จะมีเพียงนักรบไม่กี่คนเท่านั้นที่ต้องการจะแสดงพลังของตนออกมา
คนที่มาเข้าร่วมการประลองฝีมือส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับ เริ่มต้น ก่อตั้ง หรือระดับมนุษย์
เหล่านักรบที่อยู่ในระดับทั้งสามนี้ถือได้ว่ายังเป็นผู้ที่มีพลังในระดับที่ต่ำอยู่ และส่วนใหญ่พวกเขามักจะหาโอกาสให้กับตนเองเพื่อที่จะได้รับความประทับใจจากตระกูลใหญ่ๆและทำให้ตระกูลเหล่านั้นช่วยเหลือการบ่มเพราะ ดังนั้นพวกเขาจึงหวังเป็นอย่างมากเพื่อที่จะชนะในการประลองครั้งไม่ว่าจะเพื่ออุปกรณ์ที่ช่วยในการบ่มเพราะหรือว่าจะเพื่อให้ได้ตำแหน่งดีๆในตระกูลใหญ่ทั้งห้าก็ตาม
งานประลองในครั้งนี้จะกินเวลทั้งสิ้น 5 วัน
สี่วันแรกเป็นของนักรบทั่วไปที่เข้าร่วมการประลองเพื่อรางวัล คนเหล่านี้จะถูกเฝ้าดู โดยตระกูลทั้งห้าตลอดการประลองทั้งสี่วัน เมื่อตระกูลใดเลือกนับรบที่ถูกใจได้แล้ว เขาจึงจะจากไป
ในวันสุดท้ายนั้นจะเป็นวันที่สำคัญที่สุด
ในวันนี้ ตระกูลทั้งห้าจะส่งลูกหลานที่แข็งที่สุดของตนมาและประลองกันเอง ซึ่งเป็นเครื่องมือในการตัดสินว่า ตระกูลใดจะแข็งแกร่งที่สุด !
และในวันนี้เอง ก็เป็นวันที่ตระกูลทั้งห้าจะแสดงให้คนทั่วไปได้เห็นว่าตระกูลของตนแข็งแกร่งเพียงใด !
ขณะเดียวกัน การประลองเหล่านั้นก็นำมาซึ่งผลประโยชน์ต่างๆ ไม่ว่าจะ พนัน หรือการเดิมพัน มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง
การนำ เหมือง , เส้นทาง , พื้นที่ในแคว้น และการนำวิชาที่ลึกล้ำ มาเดิมพันกันถือได้ว่าเป็นสิ่งตระกูลทั้งห้าทำกันเป็นเรื่องปกติ !
ด้วยการเดิมพันเช่นนี้จะทำให้ทุกๆการะประลองนั้น สามารถพิสูจได้ว่าตระกูลใดมั่งคั่งและร่ำรวยที่สุด และถึงแม้จะสูญเสียไป ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อพวกเขา
ในวันสุดท้ายของการประลองจะกลายเป็นหัวข้อที่ผู้คนจะพูดคุยกันตลอดทั้งปี
ในวันนี้เอง จะเป็นวันที่รุ่นเยาว์ของตระกูลต่างๆจะออกมาแสดงพลังของตนเอง และแสดงให้เห็นถึงจิตวิญญานต่อสู้ที่หายาก นอกจากจะได้เห็นการประลองที่รุนแรงแล้ว , ก็ยังโอกาสที่จะได้ชมสมบัติลับของตระกูลต่างๆด้วยเช่นกัน
นักรบทั่วไปที่ชนะการประลองสามารถเข้าร่วมในวันสุดท้ายได้
เพื่อที่พวกเขาจะได้รู้ถึงความแตกต่างระหว่างพวกเขาและเหล่านักรบจากตระกูลทั้งห้าจากการประลองในวันสุดท้าย และ เพื่อที่พวกเขาจะสามารถหาข้อบกพร่องของตนเองได้ และหาวิธีที่จะปรับปรุงมาตรฐานและความแข็งแกร่งของพวกเขาเอง .
พวกเขาเองก็ยังสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของตนเองผ่านการประลองได้เช่นกัน
นี่คือเหตุผลที่งานประลองฝีมือนั้นได้ดึงดูดผู้คนมากมาย
ฉื่อหยานยืนอยู่บนหอคอยหินอย่างสงบ จ้องลงมาที่สนามประลอง มองไปที่นักรบมากมายที่มาร่วมงาน
หอคอยตระกูลเป่ยหมิงที่อยู่ห่างออกไปสองร้อยยเมตร ปรากฏหญิงงามสองคนกำลังเดินตาม เป่นหมิงเช้อขึ้นไปบนหอคอยสูง
บนหอคอยสูงนั้นเป็น มู่หยู่เตี๋ย และ ตี่ย่าหลาน ที่ยืนอยู่ข้างเป่ยหมิงเช้อ พวกเขาต่างได้รับความสนใจจากคนทั้งหมดที่อยู่ในสนาม
มู่หยู่เตี๋ยใส่ชุดสีขาว เส้นผมของนางลอยไปตามลม บนหอสูงท่าทางที่สวยงามของนาง ทำให้นางดูเหมือนกับนางฟ้าบนแผ่นดินใหญ่
ตี่ย่าหลาน ยังคงสวมเกราะสีแดงเข้ม ร่างกายที่เร่าร้อนของนางสามารถมองเห็นได้ภายใต้การปกปิดของเกราะ นั่นทำให้รูปร่างของนางดูมีเสน่ห์มากขึ้น มีเพียงสายตาของนางเท่านั้นที่ดูเหมือนว่ากำลังกังวลบางอย่างอยู่
ห่างออกไปสองร้อยเมตร , ฉื่อหยาน ยกศีรษะของเขาขึ้นเล็กน้อยและเหลือบมองไปที่หญิงสาวทั้งสอง และแอบยิ้มในใจอย่างเจ้าเล่ห์
” เจ้าเด็กน้อยในสี่วันนี้เจ้าจงระวังตัวและรอบคอบให้มาก เจ้านั้นยังขาดประสบการณ์อยู่มากมาย เจ้าจงสนใจไปที่การประลองสะ อย่าได้คิดฟุ้งซ่าน ” เป็นฉื่อเจี้ยนที่จับไปที่ไหล่ฉื่อหยานที่กำลังจ้องไปที่หญิงสาวทั้งสองที่กำลังยืนอยู่บนหอคอยของตระกูลเป่ยหมิ่ง เขาสูดลมหายใจเข้า” หญิงงามนั้นมีอยู่ทุกที่ และด้วยสิ่งที่เจ้ามี ในอนาคตจะมีหญิงงามใดเล่าที่จะไม่สนใจเจ้า ตอนนี้เจ้าอย่าวอกแวก และจงทำตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้นสะ “
” ขอรับ ข้ารู้ว่าว่าควรทำเช่นไร ” ฉื่อหยานพยักหน้า
” พี่ใหญ่ โค จากศาลาหมอกต้องการจะพบท่าน ” ฉื่อเตี่ย ที่ยืนอยู่ใกล้กับบันไดทางเข้าของหอคอยหินก็ตะโกนออกมา
” โค ? ” ปรากฏความแปลกใจแวบผ่านใบหน้าของ ฉื่อเจี้ยน . เขาจมลงไปในความทรงจำชั่วขณะ แต่แล้วพยักหน้า ” เชิญเขาเข้ามา “
” ท่านปู่ หรือว่านี่จะเกี่ยวข้องกับแผนของเราที่ศาลาหมอก ? ” ฉื่อหยานกระซิบถามไป ฉื่อเจี้ยนพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวว่า ” เจ้าอย่าได้สนใจเรื่องนี้นัก และอย่าได้พูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ อีกเข้าใจมั้ย “
” ก็ได้ ” ฉื่อหยานเข้าใจทันทีเมื่อมองไปที่ใบหน้าของฉื่อเจี้ยน มีเพียงเขากับซั่วชูเท่านั้นที่รู้ถึงแผนการทั้งหมด แต่ฮันเฟิงและนักรบทุกคนที่อยู่บนหอคอยแห่งนี้ต่างก็ไม่รู้เรื่อง ฉื่อนั้นหยานสงสัยว่า ใครกันที่ตระกูลฉื่อส่งไปช่วย ชิเสี่ยว ที่ศาลาหมอก
โค เดินมาพร้อมกับรอยยิ้ม เขาค่อยๆ เดินไปทาง ฉื่อเจี้ยน , และกล่าวว่า , ” ท่านหัวหน้าตระกูลฉื่อ ข้ามาเพื่อขอความช่วยเหลือจากท่าน ที่ศาลาหมอกกำลังหาตัวคนที่ ชื่อหยางไห่ อยู่ และบุตรชายท่านก็เป็นหนึ่งในนั้น ข้าอยากจะเชิญเขาไปที่ศาลาหมอกสักครู่ จะเป็นอะไรหรือไม่ ? “
” หยางไห่ ? ” สีหน้าของฉื่อเจี้ยนมืดมนลงเขาสูดลมหายใจเข้าและถามออกไปด้วยความสับสน ” ศาลาหมอกกำลังตามหาคนที่ชื่อหยางไห่ เพราะอะไรรึ ? “
” สหายของข้าได้มาจากมหาสมุทรไร้สิ้น และเขาก็มีญาติสูงอายุคนหนึ่งซึ่งเขาคนนั้นได้สูญเสียหลานชายไปเมื่อนานมาแล้ว ตั้งแต่ยังเป็นทารก และเขาก็เรียกทารกนั่นว่า หยาง ไห่ ดังนั้น พวกเขาจึงมาขอให้ข้าตามหาเขา เช่นนั้นข้าหวังว่าท่านจะให้ความร่วมมือ “
หัวใจของ ฉื่อเจี้ยน เต้นอย่างรวดเร็ว ตาของเขาส่องประกายแปลกๆออกมา เขาไม่รู้จะตอบเช่นไร หลังจากคิดอยู่สักพักเขาก็ส่ายหัวและตอบว่า ” หยาง ไห่ ตอนนี้ไม่ได้ในเมืองเทียนหยุน เพราะข้านั้นได้เชิญนักรบหลายคนมาเข้าร่วมงานประลอง และได้ให้หยางไห่ไปเป็นผู้ส่งสารและผู้ดูแลพวกเขา ตอนนี้เขาอยู่ที่เมืองอื่น . . . . . . เราค่อยคุยเรื่องนี้อีกกันที่หลังดีกว่า . “
” ตกลง ท่านอย่าได้ลืมหละท่านฉือ ” โคพูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจ และยิ้ม ” เขากลับมาเมื่้อใดท่านโปรดบอกเขาให้มาพบเราที่ศาลาหมอกด้วย ท่านฉื่อ หึหึ ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่ปล่อยให้เขารอดสายตาแน่นอน “
” ตกลง ” ฉื่อเจี้ยน พยักหน้าอย่างไม่สนใจ
” งั้น ข้าขอตัว ” โคนั้นอยู่เพียงไม่นาน เมื่อพูดคุยเสร็จเขาก็จากไปทันที
. . . . .
มีเสียงบรรเลงที่ไพเราะดังออกมาจากหอคอยของตระกูลเป่ยหมิง
เป็นเสียงที่อบอุ่นหัวใจ ดังทั่วทุกมุมของศิลาพระเจ้า เป็นมู่หยู่เตี๋ยที่กำลังนั่งขัดสมาธอบู่บนหอคอยหินของตระกูลเป่ยหมิง และกำลังตั้งหน้าตั้งตาบรรเลงพิณ .
นักรบมากมายที่มาเข้าร่วมการประลอง ต่างก็หลงไหลกับเสน่ห์ของเสียงบรรเลงนี้ และการแสดงออกของพวกเขาเต็มไปด้วยความลึกซึ้งเมื่อพวกเขามองไปที่ หอคอยหินของตระกูลเป่ยหมิง
ข้างๆมู่หยู่เตี๋ยเป็นเป่ยหมิงเช้อที่ยืนอยู่ , เขาแสดงถึงความภาคภูมิใจ มุมปากของเขาปรากฏรอยที่เหยียดหยาม เขายืนอยู่ตรงนั้นให้เพื่อผู้อื่นรู้สึกอิจฉา
เสียงบรรเลงของมู่หยู่เตี๋ยเป็นเหมือนกับกระแสลมที่ผัดผ่านภูเขา ไหลผ่านเข้าไปสู่หัวใจของนักรบเหล่านี้ ชำระจิตใจของพวกมันให้สงบ
เพียงบรรเลงแค่หนึ่งทำนอง ก็สามารถสะกดนักรบทุกคนได้
ในตอนนั้นเอง
เป่ยหมิงชางก็ลอยตัวลงมาจากหอคอยสูงอย่างงดงาม มันลอยอยู่บนท้องฟ้าอยู่เหนือศิลาพระเจ้า มันคงคิดว่าตนเป็นพระเจ้าของที่แห่งนี้ เพราะใบหน้าของมันเต็มไปด้วยความดูถูก และเขาตะโกนออกมา ” งานประลองจะเริ่มต้นนับบัดนี้ ! “
” นั่นมันนับรบระดับนภาหนิ ! เขากำลังเดินอยู่บนอากาศจริงด้วย ! “
นักรบหลายคนร้องออกมา พวกเขาทั้งรู้สึกหวาดหวันและตกใจ เมื่อมองไปที่เป่ยหมิงชาง