บทที่ 64 ราชาสมุนไพร มู่ชุน
ในด้านของการประลอง
มีนักรบในระดับต่างๆนับสิบกำลังประลองกันอย่างจริงจัง ปรากฏคลื่นพลังส่องแสงระเบิดออกมาจากสนามแห่งหนึ่ง ลักษณะคล้ายกับอสรพิษ มันระเบิดขึ้นมาเหนือสนามประลอง
ผู้เข้าร่วมประลองแต่ละคนต่างก็แสดงวิชาหายากที่ตนมีออกมา และสามารถทำให้บางคนในตระกูลใหญ่ทั้งห้าตกใจได้
ในอาคารสูงของตระกูลฉื่อ
ที่ยืนอยู่ข้างฉื่อเจี้ยน ,คือ ฉื่อหยาน สายตาของเขาส่องประกายเมื่อมองไปที่ผู้เข้าประลองคนหนึ่ง
ในฐานะที่เป็นหัวหน้าตระกูล ฉื่อเจี้ยนจึงยืนอยู่ข้างๆเขาและอธิบายเรื่องต่างๆให้เขาฟัง
เมื่อใดที่ ฉื่อหยาน แสดงความสนใจบางอย่างในสนามประลอง ฉื่อเจี้ยน ก็จะบอกถึงความแข็งของทั้งสองฝ่าย ทั้งระดับการบ่มเพาะรวมถึงวิชาที่พวกเขาใช้อีกทั้งยังสอนเขาเกี่ยวกับกลยุทธ์ต่างๆและวิธีที่ดีที่สุดที่จะชนะการประลอง
ในหอคอยหิน ฉื่อเตี่ย ก็อธิบายสถานการณ์ต่างๆบนสนามประลองทั้งวิชาและ ข้อดีข้อเสียของทั้งสองฝ่าย จุดอ่อนของฝ่ายตรงข้าม และวิธีที่จะเอาชนะพวกเขา
ในฐานะผู้นำของตระกูลฉื่อ ฉื่อเจี้ยนและฉื่อเตี่ย ในวันปกติพวกเขาจะไม่อธิบายเช่นนี้ให้กลับใคร แต่ในวันนี้พวกเขากลับพูดไม่หยุด
ฉื่อหยางและฉื่อเทียนเซียว ยังคงยืนอยู่ในที่มุมของหอคอย คอยมองดูฉื่อหยานที่กำลังชี้ไปที่นักรบในสนาม ฉื่อหยางพยักหน้าด้วยความเอนดู
ผู้รับใช้ในตระกูลบางคนกลับมายังที่แห่งนี้หลังจากไปทำงานในแคว้นอื่นมา รวมไปถึงยอดฝีมือจากตระกูลสาขาพวกเขาต่างก็นั่งอยู่ในหอคอยหิน ขณะที่พวกมองไปที่ฉื่อเจี้ยนที่กำลังอธิบายเรื่องต่างๆให้ฉื่อหยานฟังอย่างมีความสุข พวกเขาเห็นเช่นนั้นก็แปลกใจ
“ผู้อาวุโสเฟิง เด็กคนนั้นเป็นใครรึ ทำไมท่านหัวหน้าตระกูลถึงดูแลเขาเป็นพิเศษเช่นนี้ ? ” ที่ยืนอยู่ข้างๆฮันเฟิง คือกู่หลง เขาสังเกตไปที่ฉื่อหยานสักพัก และในที่สุดก็ช่วยไม่ได้ที่จะถามออกไป เกี่ยวกับเรื่องของฉื่อหยาน
กู่หลงคือหนึ่งในข้ารับใช้ของตระกูลฉืออยู่ในนภาแรกของระดับรู้แจ้ง ตั้งแต่ที่เขาไปเป็นทหารประจำการอยู่ที่แคว้นอื่น เขาจึงไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับฉื่อหยาน เมื่อเห็นว่าฉื่อเจี้ยนตั้งใจเป็นอย่างมากในการอธิบายให้ฉื่อหยานฟัง เขาก็สงสัยขึ้นมาทันที
” นั่นคือคุณชายหยาน ” ฮันเฟิงดูไม่แยแส เขาชายตามองกู่หลง และกล่าวว่า ” เขาคือเจ้าเด็กที่ชอบหายออกไปจากตระกูลบ่อยๆและมักจะสนใจศึกษาเรื่องซากโบราณเก่าแก่ เป็นบุตรชายของ หยางไห่ กับ ฉื่อชิง ”
” เป็นไปไม่ได้ ! ! ! ! “
กู่หลงแทบตกใจ เขาถามอย่างประหลาดใจ เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าคุณชายคนนั้นจะหันมาฝึกฝนวิชาต่อสู้ ” เท่าที่ข้ารู้มา มิใช่ว่าเขาสนใจในเรื่องแปลกๆและไม่เคยฝึกฝนวิชาต่อสู้ไม่ใช่รึ ทำไมท่านหัวหน้าตระกูลถึงให้ความสนใจกับเขานัก “
” นายน้อยหยานในตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว “
ฮันเฟิงคอดตาของเขา และพูดเรียบๆ ” เจ้าจงพยายามให้ดีที่สุดสะเมื่อคุณชายหยานขอให้เจ้าช่วยทำบางอย่างให้ แล้วเขาก็จะดีกับเจ้าเป็นที่สุด” ฮันเฟิงรู้เรื่องนี้ดี เขาเพียงบอกออกไปเล็กน้อยเท่านั้น ถ้ากู่หลงไม่ใช่สหายที่ดีของเขา เขาคงไม่บอกเช่นนี้
กู่หลงนั้นรู้จักนิสัยใจคอของฮันเฟิงดี เขาตกใจมากเมื่อเห็นฮันเฟิงพูดเช่นนั้น และหลังจากที่คิดอย่างเงียบๆสักพัก เขาพยักหน้าเบาๆ
เขายังคงสับสนอยู่ แต่ก็รู้แล้วว่า ฉื่อหยานในตอนนี้ได้กลายเป็น คนโปรดของหัวหน้าตระกูลไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะลองสนิทกับฉื่อหยานดู
นอกจากกู่หลงแล้ว ยังมีข้ารับใช้คนอื่นๆอีกมากมายหรือคนจากตระกูลสาขาต่างก็ยังคงแอบพูดถึงเรื่องของฉื่อหยาน พวกเขาทั้งหมดสับสนเป็นอย่างมาก เหตุใดท่านหัวหน้าตระกูลจึงสนใจในตัวเด็กคนนั้น
ไม่นานชื่อของฉื่อหยานก็กลายเป็นที่รู้จักของทุกคน เขาเป็นเด็กหนุ่มอายุ 17 ปีที่ได้รับการดูแลดีที่สุดในตระกูลฉื่อตอนนี้
” ท่านปู่ เสี่ยวหยานคนนั้นเป็นนักรบจริงๆรึ ? อีกทั้งเขายังอยู่ในนภาที่สามของระดับก่อตั้งอีก นี่เป็นเรื่องจริงหรือไม่ ? ” เมื่อเห็นฉื่อเจี้ยนให้ความสนใจฉื่อหยานเป็นพิเศษ ฉื่อเทียนเค้อที่ยืนอยู่ข้างๆฉื่อเตี่ย ก็ทนไม่ไหวและถามออกไป
ฉื่อเตี่ยเหลือบมองที่พวกเขาและพยักหน้าให้กับฉื่อเทียนเค้อ ” มันเป็นเรื่องที่ดีและน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก ฉื่อหยานได้บรรลุนภาที่สามของระดับก่อตั้งแล้ว เขาอาจจะเข้าร่วมงานประลองในปีนี้ก็ได้ “
ฉื่อเตี่ยจ้องไปที่หลานชายทั้งสามของเขา และหันกลับมาดั่งเดิม เขาไม่ได้สนใจฉื่อหยานนัก เขาเพียงรู้ว่า ฉื่อหยาน นั้นได้รับการสืบทอดจิตวิญญานต่อสู้ของตระกูลและฝึกฝนวิชาต่อสู้ และอยู่ในนภาที่สามของระดับก่อตั้งเท่านั้น .
แต่เขานั้นไม่รู้ว่า ฉื่อหยานได้รับสืบทอดจิตวิญญานอมตะ มาด้วย เขาจึงคิดว่า ฉื่อเจี้ยนนั้นให้ความสนใจในตัวฉื่อหยานมากเกินไป
จากนั้นเขาไม่ได้คิดอะไรอีก เรื่องทั้งหมดก็คงเป็นเพราะ ฉื่อหยานนั้นเป็นหลานโดยตรงของพี่ชายเขา และ ในตอนนี้ฉื่อเทียนเซียวนั้นนับได้ว่าไร้ประโยชน์ไปแล้ว เพราะตอนนี้ฉื่อหยานได้อยู่ในนภาที่สามของระดับก่อตั้งซึ่งระดับสูงกว่าเทียนเซียวไปแล้ว เขาคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติที่ฉื่อเจี้ยนจะดีใจเช่นนั้น
แต่เขานั้นกลับไม่ได้รู้เลยว่า ฉื่อหยานนั้นได้รับสืบทอดจิตวิญญานแฝดอีกทั้งกายาแข็งของเขาเองก็ยังอยู่ในระดับที่สองแล้วด้วย
” เทียนหยุน , ในปีนี้เจ้าจะต้องประลองกับโม่ซาน ในครั้งที่ผ่านมาเทียนเค้อได้พ่ายแพ้ให้กับมัน ดังนั้น การประลองของเจ้าจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากในตอนนี้ อย่าให้คนอื่่นพูดได้ว่า ลูกหลานรุ่นที่สามของตระกูลฉื่อไร้น้ำยา ” ฉื่อเตี่ย จับไปที่ไหลของฉื่อเทียนหยุนที่ยื่นอยู่ข้างๆ
” ได้เลย ข้าจะเป็นคนสั่งสอนเจ้าโม่ซานเอง ” ฉื่อเทียนหยุน กล่าวด้วยความมั่นใจ
ฉื่อเทียนหยุนนั้นมีอายุเพียงแค่ 19 ปี และเขาได้อยู่ในนภาที่สามของระดับก่อตั้ง . เขาเหมือนกับลูกวัวแรกเกิดที่ไม่รู้จักและเกรงกลัวเสือ
ก่อนที่ฉื่อหยานจะกลับมา เขานั้นคือความภาคภูมิใจของตระกูลฉื่อ และฉื่อเจี้ยนเองก็จะคอยแนะนำเขาอยู่บ่อยๆ แต่ว่า ตั้งแต่ที่ฉื่อหยานกลับมา ฉื่อเจี้ยนก็ไม่ได้มาเยี่ยมเขาอีกเลย
ฉื่อหยานนั้นใช้เวลาสิบเจ็ดปีการศึกษาภาษาโบราณ และไม่ค่อยได้กลับมาที่ตระกูล เขาเองไม่ได้ฝึกวิชาต่อสู้ด้วย ดังนั้นเขาจึงไม่เคยขัดแย้งกับใคร และนั่นก็เป็นเหตุที่ทำให้ฉื่อเทียนหยุนไม่เคยสนใจเขาเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ที่ฉื่อหยานกลับมาครั้งนี้ ทัศนคติของฉื่อเจี้ยนก็เปลี่ยนไปอย่างมาก นั่นทำให้ฉื่อเทียนหยุนอึดอัดเล็กน้อย
แต่เพราะตระกูลฉื่อนั้นมีศัตรูอยู่ที่ภายนอกมากมายยกตัวอย่าง เช่น ตระกูลโม่ และ ตระกูลหลิง ด้วยเหตุนั้นสมาชิกทุกคนในตระกูล รวมทั้ง ฉื่อเจี้ยนและฉื่อเตี่ย ต่างก็ต้องสามัคคีและร่วมมือกันอย่างดี พวกเขาต่างก็ร่วมมือกันรับมือกับตระกูลโม่มายาวนานถึงสองรุ่น และฉื่อเทียนหยุน และฉื่อเทียนเซียวก็ต้องทำตามด้วยเช่นกัน
ดังนั้น ถึงแม้ว่าฉื่อเทียนหยุนจะรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง แต่เขาไม่ได้แสดงปฏิกิริยาก้าวร้าวอย่างใดออกมา เขาตัดสินใจที่จะไปแสดงฝีมือบนสนามประลองแทน เพื่อที่รักษาตำแหน่งของเขาในฐานะความหวังของตระกูลฉื่อ
” เอ๋ ? ” ฉื่อเจี้ยนอุทานออกมา ขณะที่เขากำลังคุยกับฉื่อหยาน และตาของเขาก็สว่างขึ้นและหันไปมองใครบางคนอย่างรวดเร็ว ในตอนนั้น ก็มีบางอย่างก็เกิดขึ้นที่ข้างสนามประลองทันที
” เป็นผู้ใดรึ ? ” ฉื่อหยาน ขมวดคิ้วเข้าหากัน เดินไปอยู่ข้างๆฉื่อเจี้ยนและมองไปในทิศทางเดียวกัน .
ปรากฏเป็นกองกำลังเจ็ดคนกำลังเดินอย่างช้าๆอยู่ภายนอกศิลาพระเจ้า ชายคนหนึ่งสวมชุดเหล็กอายุประมาณห้าสิบปี จมูกเหมือนเหยี่ยว ใบหน้ามืดมน สวมหมวกเหล็กที่ละเอียดอ่อน และพร้อมกับชุดเกราะสีเงิน บนไหล่ซ้ายของเขาถูกปักด้วยรูปสมุนไพรห้าต้น
” นักกลั่นสกัดระดับวิญญาน ขั้นที่ 5 ! ” ฉื่อหยานรู้ได้อย่างรวดเร็วเมื่อมองไป
เช่นเดียวกับวิชาต่อสู้ นักกลั่นสกัดก็แบ่งเป็นห้าระดับเช่นกัน : มนุษย์ , ลึกซึ้ง , วิญญาณ , ศักดิ์สิทธิ์และพระเจ้า
การูที่ถูกฉื่อหยานฆ่าตายในป่าทมิฬ ก็เป็นถึงนักกลั่นสกัดในระดับมนุษย์แต่มันนั้นกลับได้ถูกล่อลวงด้วยสมบัตของตระกูลโม่ และในตอนนี้ ก็ได้มีนักกลั่นสกัดในระดับวิญญานปรากฏตัวขึ้น เขานับได้ว่าเป็นผู้มีอิทธิพลคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ !
” นี่อาจารย์ของการู , ราชันสมุนไพร มู่ชุน ” ซือเจี้ยนมองไปฉื่อหยาน ” เขาเป็นกลั่นสกัดในระดับวิญญาน อีกทั้งเขายังเป็นนักรบในนภาที่สองของระดับรู้แจ้ง ดินแดนสมุนไพรและหุบเขายานั้นเป็นสถานที่ที่พิเศษอย่างมาก แม้ว่าจะไม่ได้มีส่วนร่วมในการต่อสู้ระหว่างฝ่ายต่าง ๆ แต่พวกเขากลับใกล้ชิดกับทุกๆตระกูล . “
ความจริงที่ว่า ฉื่อหยานนั้นเป็นคนฆ่าการู รู้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น และตอนนี้ ฉื่อหยานได้แปลงโฉมของเขาแล้วด้วย นั่นจึงมีโอกาสน้อยมากที่จะมีใครรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขา ฉื่อเจี้ยนนั้นไม่กังวลเลยว่ามู่ชุนจะรู้จักฉื่อหยาน ดังนั้นเขาจึงแสยะยิ้ม และมองออกไปอย่างพึงพอใจ ” ข้าคิดว่ามู่ชุนมาที่นี่เพื่อตามหาแผนที่อีกส่วนหนึ่ง และในตอนนั้นการูก็ได้ร่วมเดินทางไปกับคนตระกูลโม่ในป่าทมิฬ ดังนั้นมู่ชุนจะต้องถามเรื่องต่างๆกับโม่ตั่วแน่นอน ฮ่า ฮ่า นี้ช่างน่าสนใจนัก ! “
” ราชาสมุนไพร มู่ชุน ! “
นักรบในทุกคนในสนามแข่งขันนั้นรู้จักเขาเป็นอย่างดี เมื่อพวกเขาสังเกตุเห็นเขาร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ และเดินหลบทางให้คนเหล่านั้นทันที
นักรบหลายๆคน บีบทางของพวกเขาไปข้างๆและตะโกนอย่างบ้าคลั่ง ” ท่านราชาสมุนไพร ข้าได้สะสมสมุนไพรมากมาย โปรช่วยกลั่นสกัดยาให้ข้าที ! ได้โปรด ! “
ทันทีที่ฝูงได้ยินเช่นนั้นพวกเขาก็ละความสนใจจากสนามประลองและหันไปตะโกนร้องขอให้มู่ชุนปรุงยาให้ทันที
ความสนใจจากผู้คนถูกดึงดูดไปที่มูซุนในเพียงผู้เดียวและไม่มีใครเลยดูมองไปที่สนามประลอง
ที่บนหอคอยหินของตระกูล เป่ยหมิง ซั่ว หลิง โม่ เมื่อพวกเขาสังเกตุเห็นมู่ชุน พวกเขาก็กลายเป็นร้อนรนทันที ผู้เชี่ยวชาญมากมายในตระกูลต่างก็ขออนุญาติผู้นำตระกูลเพื่อลงไปเชิญมู่ชุนขึ้นมาชมการประลองในหอคอยของตน
และฉื่อเจี้ยนก็อนุญาติให้ฉื่อเตี่ยลงไปเชิญเขามาเช่นกัน
ทันใดนั้น ราชาสมุนไพรต่างก็ถูกห้อมล้อมไปด้วยคนจากตระกูลใหญ่ทั้งห้าที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม โดยหวังว่ามู่ชุนจะยอมไปตามคำเชิญของเขา
” หากมู่ชุนไปที่ตระกูลโม่หละก็ หิหิ จะต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแน่นอน ” ฉื่อเจี้ยนพูดอย่างพึงพอใจ .
อย่างที่คิดไว้
มู่ชุนไม่สนใจโม่ช่าวเกอที่เดินลงมาเชิญเขาเลย เขาเพียงแต่มุ่งหน้าไปยังตระกูลโม่อย่างเงียบๆ ด้วยใบหน้าที่แข็งกร้าน
โม่ช่าวเกอไม่แสดงความโกรธออกมาและยิ้มพร้อมกับโค้งให้