บทที่ 79 ผนึกแห่งความเป็นความตาย
ในอาคารหิน
สีหน้าของฉื่อหยานเต็มไปด้วยความประหลาดใจ , และเขาก็โคจรพลังปราณลึกลับของเขาทั้งหมดเข้าไปในแหวนสายโลหิต อย่างไรก็ตาม เพียงแค่เวลาสั้นๆ เขาก็ต้องพบกับอุปสรรค์ครั้งใหม่ที่แหวนวงนั้น
มันมีม่านพลังเป็นสองชั้น และในที่สุดเขาก็สรุปได้ว่าแหวนวงนี้ต้องเป็นสมบัติลึกลับแน่นอน ภายในจะมีชั้นม่านพลังเพิ่มขึ้นทุกครั้งหลังจากทำรายม่านก่อนหน้านี้สำเร็จ
ครั้งแรกที่เขาทะลวงเข้าไปในแหวน , เขาได้รับวิธีการฝึกฝน ( บ้าคลั่งท่ ) และในครั้งนี้เขาได้ [ ผนึกแห่งความเป็นความตาย ] แหวนสายโลหิตนี่เป็นเหมือนผู้ชี้แนะวิชาต่างๆ ซึ่งจะมันจะแสดงผลออกมาก็ต่อเมื่อสามารถทำลายม่านพลังนั้นได้ เมื่อทะลวงม่านพลังนั้นได้ ก็จะพบกับวิชาลึกลับ
วิธีการฝึก [ ผนึกแห่งความเป็นความตาย ] ได้ชัดเจนและตราตรึงขึ้นลึกในจิตใจของเขา เช่นเดียวกับวิชา [ บ้าคลั่ง ] เมื่อเขาตั้งสมาธิไปที่ [ ผนึกแห่งความเป็นความตาย ] , วิธีการฝึกต่างๆก็จะปรากฏขึ้นในใจของเขา
ฉื่อหยานไม่ได้เข้าใจขั้นตอนการฝึก [ ผนึกแห่งความเป็นความตาย ] เหล่านั้นในทันที เขาเข้าใจเพียงแค่ภาพรวมของมันเท่านั้น เขาเข้าใจว่า [ ผนึกแห่งความเป็นความตาย ] มันเป็นวิชาพิเสษที่สามารถใช้ร่วมกับจิตวิญญานต่อสู้ลึกลับของเขาได้ !
เมื่อเขาใช้ [ ผนึกแห่งความเป็นความตาย ] , เขาจะสามารถกระตุ้นพลังงานด้านลบในเส้นชีพจรของเขาทุกเส้นได้ และพลังงานเชิงลบเหล่านั้นก็จะไหลต่อไปที่แขนซ้ายของเขาในรูปแบบพิเศษ , และมันก็จะสร้างเป็น [ ผนึกแห่งความตาย ] ที่เต็มไปด้วยพลังงานเชิงลบจำนวนมาก .
[ ผนึกแห่งความเป็นความตาย ] ยังมีวิธีลับที่สามารถกระตุ้นพลังปราณลึกลับในร่างกายเขาให้มันไหลเข้าไปในแขนด้านขวา และสร้างพลังอีกรูปแบบขึ้นมา ชื่อว่า [ ผนึกแห่งชีวิต ]
มือซ้ายเป็น [ ผนึกแห่งความตาย ] และมือขวาคือ [ ผนึกแห่งชีวิต ] เมื่อใช้ทักษะนี้ในการต่อสู้ พลังสองประเภทนี้ก็จะผสานกันเป็นหนึ่งและก่อเกิดเป็น [ ผนึกแห่งความเป็นความตาย ]
ความแข็งแกร่งของ [ ผนึกแห่งความเป็นความตาย ] ขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของพลังงานเชิงลบในร่างกายที่สัมพันธ์กับพลังปราณลึกลับ พลังที่แข็งแกร่งจะถูกปลดปล่อยออกมาเมื่อสร้าง ตราผนึกได้ถึง 49 ตรา
ในขั้นแรกจะมีตราผนึกทั้งหมด 7 ตรา มันจะช่วยเพิ่มระดับการบ่มเพราะและความแข็งแกร่งของวิชาให้ก้าวหน้าขึ้น จำนวนของตราประทับจะเพิ่มขึ้นเมื่อใช้ [ ผนึกแห่งความเป็นความตาย ] เท่านั้น
เมื่อระดับขั้นของมันเพิ่มขึ้นจำนวนตราผนึกที่สามารถสร้างได้ก็จะคูณขึ้นอีก 1 เท่า
ตามวิธีการฝึก [ ผนึกแห่งความเป็นความตาย ] เมื่อสามารถบรรลุได้ถึงขั้นที่ 7 ก็จะสามารถสร้างตราผนึกได้ทั้งหมด 49 ตรา และมันก็จปลดปล่อยพลังที่สามารถสะเทือนทั้งแผ่นดินออกมา .
และถ้าถ้าหากนำตราผนึกทั้ง 49 ตรา มาหลอมรวมกัน มันก็จะปลดปล่อยพลังมหาศาลที่ไม่มีสิ้นสุดออกมา มันสามารถบดทลายภูเขาสูงได้อย่างง่ายดาย !
อย่างไรก็ตาม วิธีการฝึกฝนของ [ ตราประทับของชีวิต ] ค่อนข้างยากที่จะเข้าใจนักและจะต้องใช้เวลาเป็นอย่างมากเพื่อที่จะฝึกฝนมัน
ก่อนที่เขาจะเข้าใจความหมายของคำโบราณเหล่านี้อย่างลึกซึ้ง ฉื่อหยานจึงไม่กล้าบุ่มบ่ามฝึกฝน [ ผนึกแห่งความเป็นความตาย ] นัก
เขาได้เรียนรู้จากเมื่อตอนที่ฝึกฝน [บ้าคลั่ง] แล้ว ว่าวิชาที่อยู่ในแหวนสายโลหิตนั้นไม่สมควรรีบร้อนฝึกและจะต้องรอบคอบอย่างมากหากต้องการจะฝึกมัน .
หลังจากคิดสักพัก ฉื่อหยานก็ตัดสินใจที่จะใช้เวลาของเขาเพื่อที่จะพยายามเข้าใจ วิธีการฝึกฝนผนึกเหล่านั้น
ฉื่อหยาน ค่อยๆลุกขึ้นยืน และเดินไปที่หน้าต่างพร้อมกับคื้วที่ขมวด และจ้องมองออกไปที่ทะเลสาบเทียมของตระกูลฉื่อ
ตอนนั้นเอง เขาก็เห็นร่างที่งดงามปรากฏขึ้นในสายตา
แววตาของฉื่อหยานประกายแสงประหลาดออกมา เขารู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก เขาพึมพำออกมาเบาๆ ” นางมาที่ตระกูลฉื่อทำไมกัน ? “
ห่างออกไป ที่ทะเลสาบเทียม เซี่ยซินหยานสวมผ้าคลุมปิดใบหน้านางอยู่ ทุกสัดส่วนของนางช่างดูงดงาม . เป็นฮันเฟิงที่เดินนำนางเข้าไปที่ประตูด้านหลังของห้องลับตระกูลฉื่อ
ฉื่อหยานประทับใจในตัวของเซี่ยซินหยานเป็นอย่างมาก เขาสามารถเห็นหญิงลึกลับผู้นี้ได้โดยมองจากที่ไกลๆ เขามั่นใจว่าใช่นางแน่นอน แต่เขาก็ต้องแปลกใจกับสิ่งที่เห็น
ฮันเฟิงเดินนำ เซี่ยซินหยางเข้าไปที่สวนด้านหลังอย่างเร่งรีบจากนั้นก็หายตัวเข้าไปที่ห้องลับ
จากนั้นก็มี ชิเสี่ยงและซั่วชูก้าวเดินตามเข้าไปอย่างเงียบๆ และหายไปในบานประตูเดียวกัน พวกเขาเข้าไปที่ห้องลับของตระกูลฉื่อ
หลังจากนั้น ฉื่อเจี้ยนก็เดินออกมาจากห้องหิน สายตาของเขาก็กวาดไปอาหารหินของฉื่อหยานและทันทีก็เริ่มก้าวเดินเข้ามา
ฉื่อหยานหัวใจของเขาตระตุก . เขาปิดหน้าต่างลงอย่างเงียบๆ และค่อยๆนั่งที่พื้นบนชั้นสามของหอคอยหิน เช่น เหมือนกับว่าเขากำลังฝึกฝนอยู่
” เป็นเพราะเจ้าเด็กนี่งั้นรึ ? ” ซือเจี้ยนอย่างรวดเร็วก็ขึ้นมาที่ชั้นสามของอาคารหิน ทันทีที่เขาขึ้นมา เขาก็ถลึงตามองไปที่ฉื่อหยานแล้วถามออกไป
” สิ่งนั้นคืออะไร สิ่งนั้นคืออะไร ? ” ฉื่อเจี้ยนดวงตาเปิดกว้างและถามออกไป
” ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว มีพลังแปลกๆบางอย่างออกมาจากอาคารแห่งนี้ มันเป็นฝีมือของเจ้าใช่หรือไม่ ? เจ้าเด็กน้อยอธิบายมาให้ข้าฟังเดี๋ยวนี้ ! “
” ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ข้าเพียงแค่นั่งทำสมาธิเช่นนี้อยู๋ นี่แล้วท่านหละรู้หรือยัง ข้าบรรลุถึงระดับมนุษย์แล้วนะ และข้ายังสามารถสัมพัสได้ถึงการไหลเวียนของพลังงานธรรมชาติอีกด้วย บางครั้งข้าก็บังเอิญสามารถควบคุบพลังธรรมชาตินั่นและทำให้เกิดเสียงสะท้อนขึ้นได้ ” ฉื่อหยานยิ้มออกไปพร้อมกับเปลี่ยนเรื่องคุย
ฉื่อเจี้ยนขมวดคิ้วและเขาก็จ้องไปที่ ฉื่อหยาน สักครู่ในที่สุดก็แสยะยิ้มออกมา ” เจ้าเด็กบ้า เจ้าคิดจะมีความลับกับข้างั้นรึ หึ ! เช่นนั้นก็แล้วไป ! แต่อย่าได้ทำอะไรมุทะลุจนมากเกินไปหละ และก็อย่าฝืนตัวเองให้มากนัก “
ในฐานะที่เป็นหัวหน้าตระกูล ฉื่อเจี้ยนรู้ได้ทันทีว่าฉื่อหยานไม่ได้พูดความจริงออกมา แต่เขาไม่อยากจะแทรกแซงเรื่องของฉื่อหยานนักน เมื่อเห็นว่าฉื่อหยาน สบายดี ฉื่อเจี้ยนก็ไม่คิดจะสืบสาวอะไรอีก
หลังจากครุ่นคิดสักครู่ ,ฉื่อเจี้ยนก็ บอกเขาเกี่ยวกับเรื่องที่คุบกับ เซี่ยซินหยาน ซั่วชู และ ชิเสี่ยว หลังจากที่อธิบานเสร็จ เขาก็กล่าวว่า “เมื่อถึงตอนนั้น ข้าจะให้ฮันเฟิงและกู่หลงไปกับเจ้าด้วย ครั้งนี้ เราไปเพื่อตรวจสอบจุดที่ประตูสวรรค์จะปรากฏเท่านั้น เพื่อจะได้เข้าใจสถานการณ์ เจ้าตะต้องศึกษามันให้ดีเพื่อที่จะรู้อะไรบางอย่าง จำไว้ อย่ารีบร้อนจรเกินไป ! ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นให้ชิเสี่ยว และแม่นางเซี่ยจัดการสะ ทั้งสองคนล้วนเป็นนักรบในระดับนภา พวกเขาแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แต่ว่าพวกเขานั้นไม่ต้องการที่จะประมือกับอสรพิษเก้าหัวตรงๆ พวกเขาจะหลบหนีทันทีหากเห็นว่าพวกเจ้าปลอดภัย ! “
ฉื่อหยาน ก็แปลกใจ เขาไม่คิดว่าเซี่ยซินหยาน จะเป็นคนใจกว้างเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ไม่ถือโทษโกรธชิเสี่ยวเรื่องที่ลอบโจมตี แต่นางยังไปตบตีตระกูลโม่เพื่อเรียกความสนใจผู้คนอีก ในตอนท้าย นางยังให้อภัยกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั่น และยังคิดที่จะร่วมมือกับเราอีกรึ
นางต้องมีอะไรบางอย่างแน่ๆ !
ฉื่อหยานตาเป็นประกาย เขาแอบแปลกใจ และเขาขมวดคิ้ว เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า ” อย่าได้กังวงเลย ข้าจะดูแลชีวิตของข้าเป็นอย่างดี เพราะข้ายังไม่อยากเสียมันไปตอนนี้ ข้าจะทำเพียงแค่สำรวจประตูสวรรค์เท่านั้น และไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับเจ้างูนั่นเด็ดขาด . “
“ดี ! เตรียมตัวให้พร้อม คืนนี้ตอนเที่ยงคืน เจ้าจะต้องออกเดินทาง เจ้า ฮันเฟิง และหู่หลงจะต้องแอบออกไป และไปพบกับซั่วฉื่อที่ ทางเข้าเมืองทางตอนเหนือของเมืองเทียนหยุน จำไว้ว่า เจ้าจะต้องระวังตัวให้มาก และ การสำรวจประตูสวรรค์เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด และเจ้าเองก็สำคัญกับตระกูลฉื่อเป็นอย่างมาก ฉะนั้นเจ้าจงกลับมาอย่างปลอดภัยสะ “
” ข้าเข้าใจแล้ว “
. . . . .
ที่ตระกูลเป่ยหมิง
เป่ยหมิงชางกำลังนั่งอยู่ในชั้นที่ 7 ของศาลาเหมันต์ ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยพลังงานความเย็น มีชั้นของน้ำแข็งปกคลุมร่างกายของเขาอยู่ เป่ยหมิงชางตอนนี้ดูเหมือนรูปั้นน้ำแข็งเป็นอย่างมาก พร้อมกับใบหน้าของเขาที่เปลี่ยนไปมา
เป็น เป่ยหมิงเช้อ , หยินกุย และจิ่วฉานยืนอยู่พวกมันยืนอยู่ข้าง ๆ ด้วยสีหน้าจริงจัง
นอกจากพวกมันแล้ว ยังมี เป่ยหมิงเชีย ,ผู้เป็นบิดาของเป่ยหมิงเช้ออยู่ด้วย .
เป่ยหมิงเชีย ในนภาที่สามของระดับปฐพี มันมักจะดูแลกิจการที่อยู่นอกเมืองเทียนหยุน แต่หลังจากได้ยินเกี่ยวกับความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในเมือง เทียนหยุน มันก็รีบมาจากเมื่องเป่ยหลั่วเมื่อคืนทันที
หลังจากที่เป่ยหมิงชางได้ประมือกับเซี่ยซินหยาน มันก็เก็บตัวอยู่ในศาลาเหมันต์ตลอด และไม่ได้ออกมาเลยนับตั้งแต่นั้น
ยอดฝีมือในตระกูลเป่ยหมิงต่างก็กังวลเรื่องของเป่ยหมิงชางเป็นอย่างมาก พวกมันเฝ้าอยู่นอกศาลาเหมันต์ทั้งวันทั้งคืน เพราะว่ากลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สำคัญนี้
หลังจากที่ผ่านไปเป็นเวลานาน , น้ำแข็งที่ปกคลุมอยู่บนร่างของเป่ยหมิงชางก็ค่อนๆล่วงหล่น
” ท่านพ่อ ! ! ! “
” ท่านปู่ ! “
เป็น เป้ยหมิงเชีย และเป่ยหมิงเช้อที่ตะโกนออกมา
เป่ยหมิงชางค่อยๆลืมตาขึ้นและหายใจออกมาเป็นเกล็ดน้ำแข็งสีขาว จากนั้นมันก็กล่าวว่า ” หญิงสาวนางนั้นช่างมีจิตวิญญานต่อสู้ที่แปลกประหลาดนัก นางใช้พลังชีวิตของนางแปลเปลี่ยนเป็นพลังปราณ และทันทีระดับของนางก็จะบรรลุถึงระดับนภา ทะเลไม่มีที่สิ้นสุดช่างเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง คงจะมีนักรบหลายพันที่อาศัยอยู่ที่นั่นและมีจิตวิญญานต่อสู้เช่นนี้อยู่”
” ท่านพ่อ อาการของท่านเป็นเช่นไรบ้าง ? ” เป่ยหมิงเชียถามออกไปด้วยความกังวล .
เป่ยหมิงชางส่ายหัวและกล่าวว่า ” เจ้าหานางพบหรือยัง ? “
” นางหายตัวไปอย่างลึกลับเมื่อคืน เราได้ออกตามหากันทั้งคืนแล้ว แต่ก็ไม่พบร่องรอยของนางเลย “
เป่ยหมิงเชีย เป็นกังวลเล็กน้อย มันลังเลสักพักแล้วจึงบอกว่า ” และเมื่อเช้า นางก็พึ่งกลับไปที่ศาลาหมอก สายลับของเราบอกว่านางอยู่ในศาลาหมอกเพียงครู่เดียวเท่านั้น จากนั้นนางก็จากไปด้วยตัวคนเดียว ซึ่งเราเอวก็ไม่รู้ว่านางจะไปที่ใด . “
” เมื่อคืนนางนั้นได้รับบาดเจ็บรุนแรงยิ่งกว่าของข้านัก แต่เราไม่สามารถหานางเมื่อคืนได้ และตอนนี้เราได้พลาดโอกาสที่ดีที่สุดไปแล้ว . ” เป่ยหมิงชางถอนหายใจออกมา แล้วกล่าวว่า ” หากนางกล้าปรากฏตัวขึ้นเมื่อตอนเช้าอย่างที่เจ้าบอกหละก็ นั่นก็หมายความว่าอาการบาดเจ็บของนางคงใกล้จะหายแล้วสินะ เช่นนั้นเราไม่มีทางที่จะลงมือกับนางอีก ส่งคำสั่งของข้าออกไป อย่าได้ไปยุ่งกับศาลาหมอกเด็ดขาด”
” ข้าเข้าใจแล้ว “เป่ยหมิงเชียพยักหน้า แต่เขายังรู้สึกเสียใจเล็กน้อย ” ในเมืองเทียนหยุนแห่งนี้เต็มไปด้วยสายลับของตระกูลเรา ข้าสงสัยจริงๆว่านางนั้นไปซ่อนอยู่ที่ใดเมื่อคืน หากเราหานางพบหละก็ ก็คงสามารถสังหารนางได้ไปแล้ว ” .
” เราพลาดโอกาสนั้นไปแล้ว ดังนั้นเราจึงไม่สามารถทำอะไรกับมันได้อีก เราเพียงแค่ทำเรื่องของเราต่อไป. ” เป่ยหมิงชางคิดบางอย่างได้ เขาครุ่นคิดแล้วพูดว่า ” จับตาดูประตูเมืองทั้ง 4 ทิศไว้ ! ปล่อยอินทรีเมฆาในตระกูลทั้งหมดออกไป หากมีใครสักคนในตระกูลใหญ่ทั้งสี่กำลังจะออกจากเมือง ให้มาแจ้งข้าทันที “
” ท่านพ่อ ท่านกำลังจะทำสิ่งใดรึ ? “
” ติงหยานจะต้องตายแล้วอย่างแน่นอน และบางคนต้องได้แผนที่อีกส่วนไปแล้วแน่ , ไม่งั้น จะมีเหตุผลอะไร ที่จะมีคนไปช่วงชิงแผนที่อีกส่วนจากศาลาหมอกกัน”
เป่ยหมิงชางแสยะยิ้ม และกล่าวว่า ” ตระกูลโม่เสียหายเป็นอย่างมากกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ โม่ตั่วได้ไปยั่วโมหนักรบในระดับนภา นางคงไม่ปล่อยเขาไว้แน่ เราเพียงแต่ต้องรออีก 2 วัน ถ้าตระกูลโม่ยังไม่ทำสิ่งใดในสองวันนี้ เป็นไปได้ว่าพวกมันจะถูกำจัดทันที”
” ใครจะเป็นคนลงมืองั้นรึ ? “
“หลายๆตระกูลที่ไม่อาจจะทนกับตระกูลโม่ได้ และต้องการจะให้ตระกูลโม่ล่มสลายหนะสิ ”
เป่ยหมิงชาง หน้าบึ้ง และกล่าวว่า ” เด็กสาวนั้นออกไปจากศาลาหมอกเมื่อเช้านี่ แปลว่านางต้องรู้อะไรบางอย่างแน่ บางทีตอนนี้แผนที่ทั้งสองอาจจะอยู่ที่เดียวกันก็ได้ จับตาดูศาลาหมอกไว้เช่นกัน เราต้องมองข้ามเรื่องระหว่างตระกูลโม่และตระกูลฉื่อไปก่อน กระจายสายลับทั้งหมดของเราออกไป ใน 3 วันนี้ ถ้ามีคนจากตระกูลใหญ่ทั้ง 4 ออกเมืองไปเมื่อใด ให้มารายงานข้าทันที “
” ขอรับ ! ! ! “