บทที่ 83 การพบกันซึ่งๆหน้า
ในระหว่างการเดินทางอย่างต่อเนื่อง
ฉื่อหยานได้เสียรถม้าของเขาไป ดังนั้นเขาจึงนำม้ามาขี่แทน . แต่เขาก็ยังพบวิธีที่จะฝึก [ ผนึกแห่งความเป็นความตาย ]
ทุกคืน ทุกครั้งที่เขามีเวลาว่าง เขาจะฝึนมัน และตลอดทั้งเช้าเขาก็จะทำความเข้าใจขั้นตอนการฝึก
อย่างไรก็ตาม ทุกครั้งที่เขาพยายามที่จะเข้าใจ [ ผนึกแห่งชีวิต ] กับ [ ผนึกแห่งความตาย ] ผลที่ได้คือมักจะล้มเหลว
การผสานรวมกันเป็น [ ผนึกแห่งความเป็นความตาย ] นั้นทำได้ยากมาก ทุกครั้งที่เขาพยายามหลอมรวม [ ผนึกแห่งชีวิต ] และ [ ผนึกแห่งความตาย ] เขาไม่สามารถแม้แต่จะสร้างโครางร่างของมันได้เลย
เหมือนกับก่อนที่ [ ผนึกแห่งชีวิต ] และ [ ผนึกแห่งความตาย ] จะได้หลอมรวมกัน มันก็จะแยกออกจากกันทันที
หากต้องการที่จะฝึก [ ผนึกแห่งความเป็นความตาย ] , ขั้นแรกให้สำเร็จ อย่างแรกคือจะต้องหลอมรวมผนึกทั้งสองให้ได้เสียก่อน
ทุกครั้งที่่เขาพยายามจะหลอมรวมพวกมันเป็น [ ผนึกแห่งความเป็นความตาย ]
เขาจะไม่สามารถควบคุมมันได้อย่างที่คิด ประมาณว่า หากเขาพยายามจะควบแน่นพลังปราณลึกลับของเขา เข้ากับพลังทางลบ พวกมันจะหักล้างกันและสลายไป !
ฉื่อหยาน รู้เรื่องนี้ดี อย่างไรก็ตาม ทุกครั้งที่เขาพยายามจะทำตามความคิดของเขา เขาก็จะพบว่ากระบวนนี้เป็นเรื่องยากมากและทุกครั้ง ความพยายามของเขาก็จะล้มเหลวทุกครั้ง
เมื่อสังเกตได้ว่าพวกเขากำลังใกล้เข้าบึงมรณะ ฉื่อหยานก็หยุดฝึกฝนทันที เพราะขณะที่เขาฝึกมัน ,เขาจะต้องสูญเสียพลังปราณลึกลับและพลังงานเชิงลบไปอย่างมหาศาล
ทุกครั้งที่เขาฝึกฝน ร่างกายของเขาก็จะอ่อนแอลงช่วงเวลาหนึ่ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสร้าง [ ผนึกแห่งความตาย ] ขึ้นมา
มันจะต้องใช้ [ บ้าคลั่ง ] ก่อน และเขาก็จะได้รับผลกระทบจากมันเสมอ . เพื่อให้อยู่ในสภาพที่พร้อมที่สุดก่อนจะถึงบึงมรณะ ฉื่อหยานจำเป็นจะต้องหยุดการฝึกฝนไว้อย่างไม่เต็มใจ
สักพัก เขาไม่ได้วิตกอีกต่อไป ฉื่อหยานก็ผ่อนคลายมากขึ้น เขาไม่ใช้เวลาของเขาในในการเตรียมความพร้อมสำหรับการเดินทางที่จะเกิดขึ้นเลย เขาใช้เวลาเหลือเฟือไปกับการโต้ตอบกับสองสาวซั่วฉื่อ และ หวู่หยุนเหลียน
ในขณะที่เดินทางด้วยกันมาสักพัก ฉื่อหยานได้เข้าใจบางอย่างมากขึ้นเกี่ยวกับ หวู่หยุนเหลียน และ ซั่วฉื่อ พวกนางไม่ใช่พวกที่พูดจาดีนัก , แต่พวกนางก็ไม่ได้สร้างปัญหาแต่อย่างใด
. . . . .
ในวันนี้เอง
ฉื่อหยาน ก็ขี่ม้าของเขาควบคู่ไปกับรถม้าของตระกูลซั่ว เขาทำสีหน้าสงบนิ่ง แต่เขาก็ยังคงคิดมากเรื่องของ [ ผนึกแห่งความเป็นความตาย ]
” นายน้อย ตรงนั้น ” ฮันเฟิงชี้ไปข้างหน้า และพูดเบา ๆ ” ผู้คนจากศาลาหมอกกำลังรอเราอยู่ “
ฉื่อหยานจ้องมองแไกลออกไปและเห็นเป็นจุดดำๆสามจุด
หวู่หยุนเหลียน ก็ยื่นหัวของนางออกมา และมองไกลออกไป แล้วนางก็พูดว่า ” ทุกคนระวังตัวด้วย ศาลาหมอกเป็นคนนอก อีกทั้งยังมี นักรบในระดับนภาอยู่ด้วย ระวังตัวไว้ “
เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนก็พยักหน้า
ฉื่อหยาน ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่รู้เลยว่าเซี่ยซินหยานจะตอบสนองอย่างไรเมื่อเห็นเขา
ในวันนั้น ก่อนที่เซี่ยซินหยาน จะเป็นลมไป นางได้เห็นเขา เซี่ยซินหยานจะต้องรู้แน่ว่าใครที่พานางไปยัง หอเมฆาพิรุณ
ในการพบกันครั้งนี้ ใครจะไปรู้ว่าเซี่ยซินหยานจะสอบปากคำเขาหรือไม่
แต่ฉื่อหยานก็ไม่ได้กังวลมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง . เมื่อตอนอยู่ที่หอเมฆาพิรุณ และเขาได้ละเมิดเซี่ยซินหยาน ตอนนั้นนางยังหมดสติอยู่
เซี่ยซินหยานไม่รู้แน่นอนว่าเขาได้ทำสิ่งใดไป
. . . . .
เซี่ยซินหยานจ้องไปที่ฉื่อหยานอย่างไม่วางตา ถึงแม้นางจะมอบแผนที่อีกส่วนให้อย่างหน้าตาเฉย แต่นางนั้นได้จดจำแผนที่ไว้ในใจแล้ว และนางยังคงระมัดระวังของพวกเขาอยู่ตลอดเวลาด้วย นางจับตามองตระกูลฉื่อและตระซั่วอยู่ตลอดเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาทำอะไรลับๆโดยไม่ให้นางรู้
วันนั้น เมื่อฉื่อหยานได้วิจารณ์นาง นางก็ได้ยินมันอย่างชัดเจน นางย่อมปั่นป่วนจากข้างในแน่นอน
แต่เมื่อนางเห็นฉื่อหยาน นางก็แน่ใจทันที เป็นเขาแน่ๆที่พานางไปที่หอนางโลม นี้ทำให้นางโกรธเป็นอย่างมาก .
สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นนางจำมันได้อย่างลึกซึ้งตราตรึงในความทรงจำ
หลายๆคืนเมื่อคิดถึงเรื่องในวันนั้น เซี่ยซินหยานก็จะตื่นขึ้นมา และนางจะรู้สึกว่าตัวเองนอนอยู่ในหอพิรุณเมฆาทุกครั้ง
และเมื่อใดก็ตามที่นางคิดเกี่ยวกับมัน นางก็จะจินตนาการว่า ขณะที่นางนอนหมดสติอยู่ที่พื้น เขากลับไปมีอะไรกับโสเภณีทั้งสองแทน
นางรู้สึกโกรธมาก อย่างไม่มีเหตุผล
ในที่สุด ฉื่อหยานก็อยู่ตรงหน้านาง
เซี่ยซินหยานเพียงชายตามองไปที่ฉื่อหยานอีกครั้ง แล้วนางก็ชี้ไปที่เขาและพูดอย่างเย็นชา ” เจ้าตามข้ามา ข้ามีบางอย่างจะคุยกับเจ้า “
หวู่หยุนเหลียน ซั่วฉื่อ , ฮันเฟิงและทุกคนต่างก็ตกใจ พวกเขามองไปที่เซี่ยซินหยาน และก็ไม่เข้าใจว่าทำไมนางจะต้องการพูดคุยกับฉื่อหยาน เพียงลำะีง แทนที่จะถามว่าชิเสี่ยวอยู่ที่ไหน
ฉื่อหยานคิดไว้แล้วว่านางต้องทำเช่นนั้นแน่ เขาพยักหน้าและกล่าวอย่างใจเย็น ” ไม่เป็นไร “
ทัศนคติของฉื่อหยานทำให้หวู่หยุนเหลียน และคนอื่นๆก็ยิ่งสับสน
ฮันเฟิงก็สับสรและเป็นกังวลเล็กน้อย ” คุณชาย . . . . . . . “
” ไม่เป็นไร ” ฉื่อหยาน โบกมือ และจากไปพร้อมกับเซี่ยซินหยาน
ไม่นานนัก ทั้งสองเดินก็ทางมาถึงใต้ต้นไม้เก่าแก่ต้นหนึ่ง
” ในวันนั้น เป็นเจ้าใช่หรือไม่ ? ” เซี่ยซินหยานดวงตาสว่างจ้า สายตาของนางมองตรงไปที่เขา แล้วถามออกไปอย่างเรียบเฉย
” อืมม . . . . . “
” วันนั้นเจ้าเป็นคนพาข้าไป ในขณะที่ข้ากำลังหมดสติ และเจ้าก็ . . . . . . . กับพวกนาง ? ” เซี่ยซินหยานขบฟันของนางแน่น
” อืมม . . . . . “
” เจ้าโรคจิต ! “
ฉื่อหยาน อดที่จะหัวเราะไม่ได้ เขาพยักหน้าและกล่าวอย่างใจเย็น ” ข้าก็เป็นชานคนหนึ่ง นี่คือธรรมชาติของข้า ไม่มีอะไรที่ต้องอับอาย แต่ข้าจำไม่ได้ว่าข้าทำอะไรท่านนะ ? ในความเป็นจริง ข้าได้ช่วยชีวิตท่านไว้ คืนนั้นถ้าท่านไมได้อยู่ที่หอนางโลมนั่นหละก็ , ตระกูลเป่ยหมิงจะต้องพบท่านแน่ เมื่อทราบเช่นนั้นแล้ว ท่านควรจะขอบใจข้านะ “
เซี่ยซินหยาน ก็ค่อนข้างสับสน มันดูเหมือนว่านางไม่ได้คาดหวังว่าฉื่อหยาน จะพูดออกมาตรงๆเมื่ออยู่ต่อหน้านาง
เซี่ยซินหยาน รู้สึกขัดใจ และการแสดงออกของนาง ก็เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง นางอยากจะด่าฉื่อหยานเป็นอย่างมาก แต่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี
ด่าเขาว่า เจ้าโรคจิต ? เขายอมรับมันอยู่ดี เขานี่มันหน้าด้านจริงๆ เขากลับยอมรับคำด่าของข้าเสียนี่
เซี่ยซินหยานรู้สึกไม่สบายใจอย่างไม่มีเหตุผล หลังจากที่คิดสักพักนางก็ส่ายหน้าช้าๆแล้วบอกว่า ” เรื่องที่เจ้าช่วยข้า ข้าขอขอบใจเจ้ามาก เรื่องคืนนั้น ข้าไม่ต้องการให้ใครรู้ เจ้่าเข้าใจหรือไม่ ? “
ดวงตาคู่ส่วยของเซี่ยซืนหยานกลายเป็นเยือกเย็นและส่งเจตนาคุกคามออกไปอย่างชัดเจน
” ไม่ต้องกังวล ข้าไม่ได้โง่ขนาดนั้นนะ ” สีหน้าของฉื่อหยาน ดูไม่แยแส
” ว่าแต่ คืนนั้น เจ้า . . . เจ้าไม่ได้ทำอะไรกับข้าจริงๆใช่ไหม ? ” เซี่ยซินหยานถลึงตา ตกใจเล็กน้อย
” ทำอะไรรึ ? ” ฉื่อหยาน ตะลึง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสับสน ” ข้าจะทำอะไร ? “
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซี่ยซินหยาน ก็คิดคำบางคำอยู่ในใจของนางซ้ำไปซ้ำมา ‘ สงบไว้ ๆ ‘ นางคิดอยู่ภายในจิตใจของนาง นางหายใจเข้าลึกๆ และในที่สุดก็กล่าวออกมาอย่างเย็นชา ” ข้าถามว่าเจ้าไม่ได้ทำอะไรมิดีมิร้ายกับข้าใช่หรืทอไม่ ? “
” ข้าทำแน่นอน ! ” ฉื่อหยานกระซิบอยู่ในใจของเขา แต่ใบหน้าของเขาดูจริงจังและเขาก็ส่ายหัว ” ไม่ ข้าไม่ใช่คนเลวร้ายนะ “
” เจ้าแน่ใจนะว่าไม่ได้ทำอะไร ? ! “
เซี่ยซินหยาน ที่กำลังจ้องไปยังฉื่อหยาน จู่ๆ นางตระหนักได้ถึงบางอย่าง นางกลายเป็นคนขี้โมโหได้ง่ายๆเลยเมื่ออยู่ใกล้กับเขา นางกัดฟันของนางและแสยะยิ้มออกมา จากนั้นก็กล่าวอีกว่า ” โรคจิตที่คิดแสวงหาความสุขในหอนางโลม ในขณะที่ตระกูลของเขากำลังต่อสู้กับศัตรูอยู่ เจ้ายังจะบอกอีกรึว่าเจ้าไม่ใช่คนเลวร้ายหนะ ? นี้ช่างเป็นเรื่องที่น่าขันนัก ! “
” ก็ความต้องการของข้ามันเกิดขึ้นเองหนิ ” ฉื่อหยานพูดออกไปอย่างไม่แยแส
เซี่ยซินหยานเริ่มคิดบางอย่างเกี่ยวกับเขาไม่มีสิ้นสุด สายตาของนางมองไปที่เขาซ้ำไปซ้ำมาด้วยความโกรธและรังเกียจ
เซี่ยซินหยานแกว่งมือของนางเล็กน้อย และนางก็ไม่พูดอะไรอีก สุดท้าย นางก็กล่าวว่า ” ข้าต้องการให้เจ้าลืมทุกอย่างที่เกิดขึ้นในคืนนั้น แต่เรื่องที่เจ้าช่วยชีวิตข้า ข้าจะจดจำไว้ ในระหว่างที่สำรวจประตูสวรรค์ , จะมั่นใจแน่นอนว่า จะไม่ให้มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับเจ้า และหลังจากนั้น เราก็หายกัน “
เซี่ยซินหยาน ไม่อาจทนอยู่ต่อไปได้ นางหันไปด้านซ้าย ๆและเดินตรงกลับไปตามเส้นทางที่นางมา นางยังคงเต็มไปด้วยความโกรธ แต่ก็ไม่มีที่ให้ปลดปล่อยมันออกมา
” แล้วข้าจะตอบแทนท่านในอนาคต ” ฉื่อหยานตะโกนเสียงดัง มองไปยังนางที่กำลังห่างออกไป ด้วยรอยยิ้มที่ยังปรากฏอยู่บนปากของเขา เขาไม่มีความคิดที่ว่ารำคาญเซี่ยซินหยานเลย . . .
. . . . .
ในมวลเมฆดำบนท้องฟ้า
สูงขึ้นไปสิบเมตร ปรากฏเป็น อินทรีวายุ สัตว์อสูรระดับ 5 ลอยอยู่ในหมู่เมฆ เป็นเป่ยหมิงชาง เป่ยหมิงเช้อ , หยินกุย , จิ่วฉาน มู่หยู่เตี๋ย และ ตี่ย่าหลาน มรานั่งด้วยกันบนอินทรีวายุ
เป่ยหมิงชาง นั่งอยู่บนหัวของอินทรีวายุ มันยื่นหัวของมันออกมเพื่อมองไปที่ฉื่อหยาน และคนอื่นๆที่อยู่ห่างไกลจนมีขนาดเล็กเท่ามด แล้วพูดออกมา ” พวกมันต้องไปที่ บึงมรณะแน่”
” ท่านปู่ เราควรแสดงตัวหรือไม่ ? “
” รอจนกว่าพวกมันจะไปถึงปลายทางก่อน . ” เป่ยหมิงชางขมวคิ้วและกล่าวว่า ” ชิเสี่ยวจะปรากฏในไม่ช้า ชิเสี่ยวเป็นนักรบในระดับนภา มันอาจจะพบเราได้ ไปกันเถอะ เราต้องล่วงหน้าไปกันก่อน “
มู่หยู่เตี๋ยกำหมัดแน่นและดวงตาที่สดใสของนางก็เต็มไปด้วยความหวัง
อินทรีวายุก็บินผ่านไปอย่างรวดเร็วและกลายเป็นจุดดำๆลอยไปทางบึงมรณะ โดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆไว้