บทที่ 86 พื้นที่พลังหยิน
พื้นที่พลังหยินอยู่เป็นจุดศูนย์กลางของบึงมรณะ
บึงมรณะถูกล้อมรอบไปด้วยบึงนับไม่ถ้วน ; สามารถเห็นบ่อโคลนได้ทุกที่ มีเพียงบางจุดเท่านั้นที่เป็นผืนดินแห้ง
อย่างไรก็ตามพื้นที่พลังหยินที่อยู่กลางบึงมรณะนั้นเป็นข้อยกเว้น
ที่นี่ ไม่มีหนองน้ำ และพื้นที่มีน้ำขังเลย. พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นผืนดิน และถึงแม้ว่ามันจะไม่แห้งสนิท แต่มันไม่ก็เปียกแฉะเหมือนกับพื้นที่ด้านนอก
พื้นที่พลังหยินเป็นสถานที่พิเศษ อากาศในพื้นที่ถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกสีดำหนาทั่วปี ซึ่งแม้แต่ดวงอาทิตย์ดวงจันทร์และดวงดาวก็ไม่สามารถเห็นได้
บางทีนั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่เมื่อเข้ามายังพื้นที่พลังหยินก็จะรู้สึกหนึกอึ้งและรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก
ในพื้นที่แห่งนี้ปรากฏอุณภูมิที่หนาวเย็นเลย แต่เป็นหยินพลังงานที่อยู๋รอบตัวทำให้พวกเขาหนาวไปจนถึงกระดูก เหมือนกับว่าพวกเขาได้เข้ามาสู่โลกอีกใบ ที่ล้อมรอบด้วยวิญญาณชั่วร้าย ที่น่าขนลุก
เมื่อฉื่อหยานเริ่มก้าวเข้าไปยังพื้นที่พลังหยิน เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ และสัมพัสได้ถึงความอึดอัดที่ซึมเข้าไปในกระดูก ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้รู้สึกหนาวมากนัก แต่มันก็ยังทำให้อึดอัด
เขายืนอยู่ในโลกที่เย็นยะเยือกแห้งนี้ จ้องมองไปรอบ ๆและพบพืชประหลาดบางอย่างเติบโตอยู่
พืชเหล่านี้ไม่สูงมากนัก สูงเพียงห้าถึงหกเมตร แต่พวกมันทั้งหมดเติบโตในรูปแบบที่แปลกประหลาดที่สุด มีพืชและดอกไม้จำนวนมาก ที่กลายเป็นสีซีดโดยปราศจากสีใดๆ
โดยเฉพาะกับพืชบางชนิด ดอกของพวกมันดูซูบและซีด ให้ความรู้สึกที่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
แค่ยืนอยู่ท่ามกลางพืชที่แปลกประหลาดเหล่านี้ก็ทำให้ฉื่อหยานรู้สึกอึดอัดแล้ว เมื่อเขามองดูพืชเหล่านั้น เขามักจะรู้สึกเหมือนกับว่าหากเขาก้ามข้ามพวกมันไป พวกมันจะแว้งกัดมาที่เขา
” พลังปราณหยินที่นี่หนาแน่นเป็นอย่างมาก ทำให้พืชที่เติบโตดูแปลกไป พืชบางชนิดจะดูดซับพลังปราณหยินจากศพ . และมันจะโจมตีทันทีเมื่อพวกมันได้กลิ่นลมหายใจของมนุษย์ และมันจะไล่ล่ามนุษย์คนนั้นจนกว่าจะตาย “
ซัวฉีหน้าบึ้งเมื่อมองไปที่พืชประหลาดเหล่านั้นที่อยู่ในพื้นที่พลังหยินและเขาก็กล่าวว่า ” นอกจากพืชพวกนี้แล้ว พวกเจ้าต้องระวังสัตว์อสูรด้วย สัตว์อสูรที่นี่จะรังเกลีดคนแปลกหน้าเป็นอย่างยิ่ง ถ้ามันเห็นใครมาหละก็ มันจู่โจมจนกว่าพวกเจ้าจะตาย โดยปกติ เมื่อนักรบต้องการที่จะผ่านบึงมรณะ พวกเขาจะโดนผ่านเพียงรอบนอกเท่านั้น . “
” ซืด ซืด ซืด ! “
เป็นอสรพิษสีขาวโผล่ออกมาจากพื้นที่ด้านใน
อสรพิษตัวนี้มีความยาวประมาณ 3 เมตร หัวมีรูปทรงกรวย และหางของพวกมันขดเป็นวงกลมอยู่บนพื้นดิน ดวงตาของมันขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลืองซึ่งเต็มไปด้วยความเย็นชา
อสรพิษหลายสิบตัวมองมายังพวกเขาผ่านพืช พวกมันกระจายกันออกไปและลุมล้อมเข้ามาจากทุกทิศทาง ของฉื่อหยาน
” สัตว์อสูรระดับสอง อสรพิษกินศพ ” ซัวฉี แสยะยิ้ม และก็กระทืบไปที่พื้น
เกิดเป็นพลังประหลาดกระจายออกจากฝ่าเท้าของเขา ! โดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง มันเป็นระลอกวงกลมคล้ายแหวนกระจายออกไปทุกทิศทาง
” ปัป ปัป ปัป ปัป ปัป ปัป ! “
สัตว์อสูร ระดับ 2 อสรพิษกินศพ นับสิบก็ระเบิดออกมาทันที , พื้นดินสีน้ำตาลกลายเป็นนองเลือด
” ข้าเกลียดอสรพิษเป็นที่สุด ! ” ซัวฉีแสยะยิ้ม ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความขยะแขยง . เขาหันกลับไป ยังชิ เสี่ยว และกล่าวว่า ” ก่อนที่เราจะเจอกับอสรพิษเก้าหัว ข้าจะจัดการอุปสรรคระหว่างทางเอง ผมจะให้เรื่องนี้เป็นข้อต่อรองในการตอบแทนสำหรับการมีส่วนร่วมในประตูสวรรค์ “
ชิเสี่ยวพยักหน้าและตอบว่า ” เจ้าคุ้นเคยกับสถานที่นี้ดี ดังนั้น เจ้าก็นำไปเถอะ.”
ซัวฉีไม่ได้ปฏิเสธและเดินตรงไปยังด้านหน้าของกลุ่ม พร้อมกับปรากฏร่องรอยประหลาดสีเขียวเป็นหมอกพิษค่อยๆกระจายออกไปในอากาศ
เมื่อพืชที่อยู่ในพื้นที่พลังหยินสัมพัมกับหมอกพิษนั่น พวกมันทั้งหมดก็ส่งสัญญาเหมือนกับว่าพวกมันกำลังหวาดกลัวออกมา
เหล่าพืชที่ก่อนหน้านี้สูง 3 เมตร ได้หดลงเหลือ 1 เมตร ทันทีเมื่อซัวฉีเดินผ่าน ซึ่งนั่นสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน
ฉื่อหยาน ก็ประหลาดใจ เขามองดูด้วยแววตาที่สับสน เมื่อใดก็ตามที่เขาเดินผ่านพืชเหล่านั้นตามซัวฉีไป เขาจะจับตาดูพวกมันเอาไว้ และเขาก็ตระหนักว่า ไม่ว่าซัวฉีจะไปที่ไหน พืชพรรณเหล่านั้นก็จะอ้อมน้อมลง
แต่เมื่อเขาลองไม่ตาม ซัวฉีไป และเลือกที่จะเดินห่างออกไปไม่กี่เมตร พืชเหล่านั้นก็จะลุกขึ้นสูงขึ้นอีกครั้ง และพยายามเข้าไปพัวพันกับเขา พวกมันดูจะไม่เลิกรา จนกว่าจะรัดเขาจรตาย
” นี่ ถ้าเจ้าไม่อยากตาย ก็รีบตามข้า ” ซัวฉีก็หันศีรษะและจ้องมองไปที่ฉื่อหยาน เขาก็ค่อยๆพึมพำออกมา ” ข้าหละไม่เข้าใจพวกเจ้าจริงๆ เจ้ารู้ว่าต้องเข้ามายังพื้นที่พลังหยิน แต่กลับนำภาระมาด้วยสองคน พวกเขาต้องการที่จะใช้สองคนนี้เป็นเหยื่อล่อตอนเกิดเหตุการณ์ไม่ดีขึ้นงันรึ . . . . . . . ? “
ภาระที่ ซัวฉีพูดถึง เห็นได้ชัดว่าคือฉื่อหยานและซั่วฉื่อ พวกเขาทั้งสองเป็นเพียงนักรบในระดับมนุษย์เท่านั้น และยังอ่อนแอที่สุดในกลุ่มอีกด้วย
ฉื่อหยานมองดูอย่างเรียบเฉย เขาไม่แสดงอาการใดๆออกมา แต่ซั่วฉื่อนั้นต่างออกไป
ซั่วฉือนั้นรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้นและนางก็กล่าวว่า ” เจ้ากำลังบ่นอะไรของเจ้ากัน เจ้าใส้เดือน ? เจ้าหมายถึงใครกันที่เป็นภาระ ? ฮึ่ม ! ถ้าเจ้าไม่อยากมาด้วยกันกับเรา ตอนนี้เจ้าก็ไปสะ อย่าคิดว่าพวกเราจะอยู่ไม่ได้หากไม่มีเจ้า “
” สาวน้อย เจ้าเรียกใครว่า ใส้เดือนกัน ? ” ซัวฉี ใบหน้ากลายเป็นสีเขียวเข้ม ดวงตาหลี่ลงเล็กน้อย ร่างกายสั่น้ทา เขามองอย่างเย็นชาไปที่ซั่วฉื่อ ” พูดอีกครั้งซิ ! “
” เอาหละๆ ! ” ชิเสี่ยวขมวดคิ้วและตำหนิซั่วฉื่อ ” ซัวฉีอาวุโสกว่าเจ้า อย่าได้ดูหมิ่นเขา เจ้าจะไม่ได้เดินทางอย่างราบลื่นเช่นนี้หลอกหากไม่ได้ ซัวฉี”
ชิ เสี่ยว มองไปที่ ซัวฉีและ กล่าวว่า ” แล้วก็เจ้า เจ้าจะหุบปากเหม็นๆของเจ้าได้หรือยัง ? ถ้าไม่ใช่เพราะปากเหม็นๆและความโง่ของเจ้าเมื่อคร่าวนั้น ข้าก็คงไม่สู้ตกตายไปกับเจ้าหลอก หรือเจ้าต้องการจะทำมันอีกครั้งกัน ? “
ซัวฉีสูดลมหายใจเข้าและก็ถลึงตาใส่ซั่วฉื่อ เกล็ดบนใบหน้าของเขาสั่นอีกครั้ง และเขาก็หยุดบ่น
ซั่วฉื่อกำลังจะก่นด่าอีกครั้ง แต่ก็ถูกหยุดโดยชิเสี่ยว . นางยื่นบุ้ยปากและหยุดพูดไป
เซี่ยซินหยาน และชายร่างยักษ์ทั้งสองที่อยู่ด้านซ้ายของชิเสี่ยวและคนอื่นๆในกลุ่ม นางไม่ได้พูดอะไร สีหน้าของนางดูไม่แยแส นางนั้นไม่ได้สนใจ ซัวฉีเลยแล้วก็ไม่คิดจะพูดคุยกับชิเสียวด้วย
อย่างไรก็ตาม บางครั้งสายตานางก็จะมองไปที่ฉื่อหยาน ด้วยความซับซ้อนบางอย่าง และไม่มีรู้ได้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
นับตั้งแต่วันที่นางออกมาจากบึง นางก็ไม่ได้พูดคุยกับฉื่อหยานอีกเลย
ฉื่อหยานก็มีเหตุผลของเขาเช่นกัน เขาไม่ได้ขยับเข้าใกล้นางเลย
บรรยากาศเหล่านี้ที่เกิดขึ้นกับนางและฉื่อหยาน ชิเสี่ยว ซั่วฉื่อ และคนอื่นๆสามารถสัมพัสได้ แต่ทุกคนก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น และไม่มีใครเข้าไปรบกวนถามพวกเขาทั้สอง
” เถอะน่า ตามข้ามาสะ หากเจ้าต้องการจะมีชีวิตรอด พวกเจ้าเองก็รู้จักที่นี่ดีหนิ ! ” ซัวฉี สูดลมหายใจเข้า และจงใจมองไปที่ฉื่อหยาน
ฉื่อหยานมองกลับไปเฉยๆ และเขาไม่ได้ไปยุ่งกับซัวฉี
ตอนนั้นเอง ชิเสี่ยวก็ขมวดคิ้วด้วยความสับสน และตาของเขาก็ส่องประกายออกมา
” เกิดอะไรขึ้นกัน ? ” สีหน้าของเซี่ยซินยันเปลียนไปนางรู้สึกได้ถึงสิ่งผิดปกติพร้อมกับชิเสียวได้อย่างรวดเร็ว
” ไม่มีอะไร ” ชิ เสี่ยว ส่ายหัว และกล่าวอย่างใจเย็น ” จู่ๆ ข้าก็รู้สึกถึงอะไรแปลกๆ แต่มันก็หายไปในพริบตา สงสัยว่าข้าคงคิดไปเอง ” .
หลังจากนั้นทุกคนก็กังวลขึ้นเล็กน้อยและ ซัวฉีกล่าวว่า ” หรือว่าจะเป็นนักรบในระดับนภากัน ? “
” ข้าเองก็ไม่รู้ ” ชิเสี่ยวส่ายหน้าอีกครั้ง “
ปฏิกิริยาของชิเสี่ยวทำให้เกิดเงาความกังวลขึ้นในจิตใจของทุกคน และให้ทุกคนก็ระมัดระวังมากขึ้น
. . . . .
ในพื้นที่พลังหยินทีเต็มไปด้วยพืชใบหนา
บัณฑิตวัยกลางคนผิวซีดร่างสูงยืนเงียบเฉยอยู่ที่นั่น
โดยด้านข้างของเขา มีนักรบผิวซีดอยู่ด้วยกัน 35 คน ใบหน้าของพวกมันดูซีดและว่างเปล่า มีเพียงชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีอายุเพียงยี่สิบต้นๆเท่านั้น ผมของเขายาวถึงเอว เขาดูหล่อเหลาเป็นอย่างมาก แต่ก็เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ชั่วร้าย
” นายน้อย ท่านพบอะไรหรือไม่ ? ” ชายหนุ่มถามอย่างสงสัย
” จุดมุ่งหมายของเราคือเข้าไปในพื้นที่พลังหยิน และข้าก็ได้ใช้พลังวิญญาณของข้าเข้าตรวจสอบเล็กน้อยและ พลังวิญญานของข้าส่วนหนึ่งสัมพัสได้ถึงบางอย่าง . ” บัณฑิตวัยกลางคนกล่าว
” มันเป็นใครบางคนจากตระกูลเป่ยหมิงงั้นรึ? “
” ไม่ใช่ เป่ยหมิงชางนั้นได้มาที่นี่นานแล้ว “
” แล้สทำไมเขายังไม่มาหาเรา “
” จุดมุ่งหมายของเราคือที่นี่ ไม่นานเขาต้องโผล่ออกมาแน่ . “
. . . . .
วันต่อมา
ในพื้นที่ที่กลุ่มคนได้รวมตัวกัน เป่ยหมิงชางได้มาถึงที่นั่นเพียงคนเดียว พร้อมกับพลังที่เย็นยะเยือกรอยอยู่รอบๆตัว
” จักพรรดิ์แห่งโลกทมิฬ ” หลังจากเป่ยหมิงชาง มาถึง เขาก็หันไปมอง กลุ่มบัณทิต และกล่าวว่า ” จะให้ข้าเรียกท่านว่าอย่างไร ? “
” ซูซีเฮ้อ . ” จักพรรดิ์แห่งโลกทมิฒพูอออกมาอย่างเรียบเฉย ” ข้าได้ยินชื่อของหัวหน้าตระกูลเป่ยหมิงมานาน และเมื่อข้าได้พบท่านในวันนี้ ดูเหมือนว่าชื่อเสียงของท่านนั้นจะเป็นเรื่องจริง . “
เป่ยหมิงชางยิ้มออกมา และพูดด้วยอารมณ์ดี ” น้องซู ท่านเองก็เป็นหนึ่งในผู้มีชื่อเสียงที่โดงดังที่สุด โลกทมิฬนั้นโด่งดังเป็นอย่างมากในจักวรรดิ์อัคคี และจากที่ข้าได้มาเห็นท่าน ข้าก็มั่นใจแล้วว่าท่านเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกอย่างแท้จริง ข้าหวังว่าการร่วมมือกับน้องซูครั้งนี้ จะทำให้เจ้าพอใจ “
” แล้วหญิงสาวจากตระกูลมู่หละ ” จักพรรดิ์แห่งโลกมืดขมวดคิ้ว
” หลังจากสำรวจประตูสวรรค์แล้ว ข้าจะนำตัวนางมาให้ท่านเอง” เป่ยหมิงชางมองไปที่ทุกคนจากโลกทมิฬ และบอกว่า ” น้องซู ทำไมเจ้าถึงนำคนมาเยอะนัก เจ้าไม่กลัวว่าจะถูกจับได้งั้นรึ “
” พวกเราที่มาจากโลกทมิฬมั่นใจเรื่องการหลบซ่อนเป็นอย่างมาก ท่านอย่าได้กังวลไป พี่เป่ยหมิง ”
” ก็ได้ ” เป่ยหมิงชางพยักหน้า แล้วพูดต่อว่า ” อีกด้านหนึ่งของหุบเขาพลังหยิน มีศัตรูของเราอยู่ ถ้ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นจริงๆในตอนนั้น ข้าหวังว่าน้องซูจะออกมาช่วยเหลือ แต่ข้าไม่อยากให้ท่านแสดงตัวนัก เกรงว่ามู่หยู่เตี๋ยและนางอีกคนจะจดจำได้และแค้นท่านยิ่งขึ้น . “
” นาง ก็เป็นแค่สาวน้อยที่สูญเสียตระกูลไป เหตุใดท่านต้องใส่ใจด้วยพี่ชายเป่ยหมิง ? “
” จริงๆแล้วข้าไม่ได้ใส่ใจเรื่องของมู่หยู่เตี๋ยนัก แต่ข้าสนในหญิงสาวอีกคนที่อยู่ข้างนางมากกว่า จิตวิญญานของนางนั้นสามารถสนับสนุนจิตวิญญานของตระกูลเป่ยหมิงข้าได้ ข้าไม่อยากให้หญิงสาวคนนั้นรู้ว่าเราเป็นคนส่งมู่หยู่เตี๋ยให้ท่าน มิฉะนั้นมันอาจจะส่งผลต่อแผนการในอนาคตของข้าได้ “
” แน่นอน ข้าเองก็ได้นำหน้ากากมาด้วย ครั้งนี้ข้าจะร่วมมือกับท่านด้วย ข้าผู้เป็นจักพรรดิ์แห่งโลกทมิฬ แทบจะไม่แสดงตัวตนที่แท้จริงของข้าให้ใครเห็น แม้แต่แม่นางมู่เองก็ไม่เคยเห็นข้าเช่นกัน ดังนั้นนางจะไม่รู้แน่นอนว่าข้าเป็นใคร ท่านสามารถมั่นใจในเรื่องนี้ได้ พี่เป่ยหมิง ”
” ดี งั้นเราจะเจอกันอีกครั้งที่หุบเขาพลังหยิน เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะใช้พลังวิญญาณส่งข้อความไปหาท่าน ข้าหวังว่าท่านจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังนะ น้องซู “
แล้วเป่ยหมิงชางก็ค่อยๆล่าถอยออกไป ร่างของเขาก็เลือนหายไปกลายเป็นจุดเล็กๆ พร้อมกับพลังเย็นเยือกในอากาศพลันหายไป
” ท่านเป่ยหมิงชาง เขาต้องเป็นยอดฝีมือแน่นอน การสำรวจประตูสวรรค์ครั้งนี้ เราควรจะระมัดระวังของเขาให้มากไว้ ดูเหมือนเขาจะไม่ใช่คนดี “
” ไม่ต้องห่วง นายหญิงของเจ้าเองก็อยู่ที่นี่ในความมืดมิด ถ้าสมบัติดีๆปรากฏขึ้นหละก็ มันจะต้องตกเป็นของเราโลกทมิฬแน่นอน “
” นายหญิงก็อยู่ที่นี่ด้วยงั้นรึ ? ” ปีศาจหนุ่มรูปหล่อร้องอุทาน
” ใช่ นางมาถึงที่หุบเขาพลังหยินนานแล้ว ด้วยความเชี่ยวชาญด้านการหลบซ่อนของนาง จะไม่มีใครที่อยู่ในพื้นที่พลังหยินสามารถสัมพัสนางได้อย่างแน่นอน หากนางไม่ปรากฏตัวออกมา “
” ฮะ งั้นการสำรวจประตูสวรรค์ครั้งนี้ ก็เหมือนสำรวจของในถุงเลยหนะสิ “
” อืมม . . . . . “