บทที่ 475 อยู่ด้วยกันตลอดไป
เธอเรียนรู้ที่จะใช้เวลาอยู่กับตัวเอง เธอเรียนรู้ที่จะใช้เวลากับสิ่งอื่น เมื่อไม่มีใครอยู่ใกล้ๆ
เธอเรียนทําอาหาร เรียนทําขนม เรียนทําน้ําตาล เรียนปักผ้า และเรียนถักนิตติ้ง
เธออุทิศเวลาให้กับสิ่งเหล่านี้งานอดิเรกเหล่านี้ทําให้เธอรู้สึกร่มเย็น
และด้วยเหตุนี้เองหลังจากที่เยือกเย็นมาเป็นเวลาไปนาน เธอก็ลืมไปว่าต้องจะมีอารมณ์อย่างไรบ้างเช่นกัน
เจียนอีหลิงไม่รู้ว่าจะทําอะไรได้อีกเมื่อรู้สึกเศร้า โดยปกติแล้ว เธอจะรออย่างเงียบๆจนกว่าความโศกเศร้านั้นจะหายไปเอง
“อี้หลิง” จํายหวินเชิงตกตะลึง เขามองไปที่ใบหน้าที่ก้มสุดของเจียนอีหลิง หัวใจเขารู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่แปลกประหลาดและใบหน้าเขาก็อ่อนโยนลงในทันที
เขายื่นมือออกไปพยายามปัดความเศร้าบนใบหน้าเธอออกไป
เธอไม่เคยแสดงอารมณ์ของตัวเธอเองมาก่อน
ไม่ใช่เพราะเธอไม่มีอารมณ์ แต่เป็นเพียงเพราะว่าเธอเคยชินกับการอยู่อย่างโดดเดี่ยว
จากนั้นจํายหวินเชิงก็ถามเงี่ยนอีหลิงว่า “ถ้าเช่นนั้น เธอจะดีใจไหมหากฉันใจดีกับเธอ”
“อื้อ…”
“แล้วถ้าฉันไม่โกรธ เธอก็จะไม่เศร้าใช่ไหม”
“อื้อ…” เจี้ยนอีหลิงยอมรับอย่างตรงไปตรงมา
มือของจํายหวินเชิงปัดผมของเจียนอีหลิงอย่างอ่อนโยน
เธอห่วงใยเขา
เธอห่วงใยเขามาก
เพียงแต่ว่า เธอไม่รู้ว่าจะแสดงออกอย่างไร เธอไม่รู้ว่าจะแสดงความรู้สึกอย่างไรกับคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเธอทางสายเลือด
ดูเหมือนเธอจะหัวช้าเมื่อมาถึงเรื่องพวกนี้
อย่างไรก็ตาม เธอมีความรู้สึกต่อเขา
ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่ใช่ความรัก แต่เธอก็ห่วงใยเขา เธอห่วงใยเขาอย่างแท้จริง
จากนั้นจํายหวินเชิงก็พูดกับเจี้ยนอีหลิงว่า “เด็กโง่ ฉันไม่ได้โกรธหรอก”
“ฉันไม่ได้โง่” เจียนอีหลิงโต้กลับ
“อื้อ เธอไม่ใช่คนโง่ ฉันมันโง่เอง” จยหวินเพิ่งยอมรับ
แม้ว่าหญิงของเขาจะไม่ค่อยรู้เรื่องความรู้สึกมากนัก แต่ก็ไม่ต้องรีบร้อน ตราบใดที่เธอเริ่มมีค วามห่วงใย เขาก็สามารถค่อยสอนส่วนที่เหลือให้เธอได้
จํายหวินเชิงค่อยจับมือเล็กๆของเงี่ยนอีหลิงวางลงบนฝ่ามือเขา
ฝ่ามือเขาสามารถคลุมมือเล็กๆของเงี่ยนอีหลิงได้หมด
มือเธอนุ่มนวลและละเอียดอ่อน ไม่มีบาดแผลหรือรอยแผลเป็นบนมือเธอแม้แต่น้อย
เงี่ยนอีหลิงใส่ใจมือเธอมากที่สุด ถ้ามีคนจะมาตีเธอ เธอยอมให้พวกเขาตีหน้าดีกว่าตีมือ
เธออาศัยมือเพื่อความอยู่รอด เธอไม่สามารถปล่อยให้มือเธอบาดเจ็บได้
“เธอไม่ชอบสิ่งนี้หรือเปล่า” จํายหวินเชิงถามเงี่ยนอีหลิง
เจียนอีหลิงส่ายหน้า เธอไม่ได้เกลียดกับการที่มือเขาจับมือเธอ
” แล้วกับคนอื่นล่ะ”
” กับย่าเงี่ยน หยุ่นโม่ กับหยู่เจี้ย ไม่เป็นไร แต่ฉันก็ยังไม่ได้ลองกับใครอีกเลย”
เจียนอีหลิงนับออกมาให้ได้ยิน
จํายหวินเพิ่งจับมือเจียนอีหลิงไว้
เขาจับไว้แน่น เขาไม่อยากปล่อยไปอีกแล้ว
ตระกูลจํายในเปยจิง
ท่านผู้เฒ่าจํายกําลังอารมณ์ดีอยู่ในขณะนี้
เขาเพิ่งยืนยันอะไรบางอย่าง นี่เป็นสิ่งที่ทําให้เขามีความสุขเหลือเกิน ความจริงแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาคงจะหัวเราะและยิ้มในความฝันของเขาด้วยซ้ํา
ในเวลานี้เองที่จํายหวินเพิ่งได้กลับบ้าน
เมื่อเขาเห็นจํายหวินเชิง ท่านผู้เฒ่าจํายก็พูดอย่างมีความสุข “เจ้าเด็กเหลือขอ ในที่สุดก็กลับมาแล้วเหรอ ฉันคิดว่าแกจะไม่เต็มใจกลับบ้านแล้ว”
หลังจากที่เขาพูดจบ ท่านผู้เฒ่าจํายก็สังเกตว่าจํายหวินเพิ่งเงียบ มีการมองอย่างลึกๆอยู่ในดวงตาเขาเช่นกัน
แม้ว่าจํายหวินเชิงกําลังดื่มน้ํา แต่ก็ราวกับว่าเขากําลังดื่มสุรา มีความรู้สึกทุกข์ระทมและโศกเศร้าขณะที่เขากําลังดื่ม
ทันใดนั้น ท่านผู้เฒ่าจํายก็ไม่ยิ้มอีกต่อไป “เกิดอะไรขึ้น มีอะไรผิดปกติเหรอ”
“ผมจะอยู่ได้นานแค่ไหน” จํายหวินเชิงถาม ดวงตาเขาไม่ได้มองไปที่ปูของเขา แต่ มองออกไปในระยะไกล
“แกกําลังถามอะไรกัน แกจะมีชีวิตอยู่อีกอย่างน้อยร้อยปี”
” ผมพูดจริงนะ” จํายหวินเชิงตอบ
เขาไม่ได้ใส่ใจสุขภาพของตัวเองอย่างใกล้ชิดตลอดหลายปีที่ผ่านมา
บทที่ 476 อยู่เพื่อดูแลใครสักคน
เมื่อใดก็ตามที่แพทย์ประจําตัวได้ทําการตรวจร่างกายประจํา จํายหวินเพิ่งจะไม่เคยขอผลการตรวจ
เขาก็แค่มีชีวิตอยู่อีกวัน
เขาเคยชินกับมันแล้ว เขาเกิดมาก็เป็นอย่างนั้น
แต่ตอนนี้ เขามีเหตุผลที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป
เขามีคนที่ต้องการจะดูแล มีคนที่เขาต้องการจะปกป้อง
เขาต้องสอนหญิงของว่าจะทําอย่างไรเมื่อเธอเศร้า เขายังต้องสอนเธอว่าจะต้องทําอย่างไรเมื่อเธอโกรธ
จํายหวินเฉิ่งไม่อยากจินตนาการว่าเธอจะเสียใจแค่ไหน ถ้าเขาสอนให้เธอจัดการอารมณ์แล้วจากนั้นเขาก็จากไปจากโลกของเธอ..
เขาไม่อยากเข้าใกล้เธอเพียงเพื่อที่สุดท้ายก็แค่ทิ้งเธอไว้ข้างหลัง
เขาต้องการที่จะมีชีวิตอยู่
ท่านผู้เฒ่าจํายก็มีสีหน้าเข้มขึ้นเช่นกัน นี่เป็นครั้งแรกที่หลานชายได้พูดคุยกับเขาเกี่ยวกับสุขภาพของตัวเองแบบนี้
ดังนั้นท่านผู้เฒ่าจํายจึงนั่งลงบนโซฟาไม้ที่อยู่ถัดจากอีกฝ่าย
เขาพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ฉันไม่รู้ ไม่มีใครสามารถพูดได้ ตราบใดที่ไม่มีอุบัติเหตุ แกก็สามารถอยู่ได้นาน”
อย่างไรก็ตาม หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น เขาอาจจะตายในไม่ช้า
อย่างไรก็ตาม ท่านผู้เฒ่าจํายก็ได้พูดเสริมขึ้นว่า ”บอกตามตรง ฉันไม่คิดว่าแกจําเป็นต้องคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ มีอุบัติเหตุมากมายในชีวิต แม้แต่ผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงก็สามารถประสบอุบัติเหตุได้ พวกเขาสามารถเสียชีวิตได้ตลอดเวลาเช่นเดียวกัน”
เมื่อได้ยินดังนั้นจํายหวินเซิ่งก็เงียบลง
เมื่อมองดูหลานชายแล้ว ท่านผู้เฒ่าจํายก็เริ่มกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ “วันนี้เกิดอะไรขึ้น บอกฉัน
“หลายปีมานี้ คงเป็นเรื่องยากลําบากสําหรับปูอยู่ใช่ไหม” จํายหวินเชิงถาม เขารู้ว่าเขาไม่ใช่คนเดียวที่เจ็บปวดทรมาน ครอบครัวของเขาก็กําลังทุกข์ทรมานและเจ็บปวดเช่นกัน
“อ-อะไรนะ? แกกําลังพูดถึงอะไร เวลาที่ยากลําบากงั้นเหรอ? ไม่มีทาง”
“ปูกําลังโกหก”
“อาา…” ท่านผู้เฒ่ายอมพ่ายแพ้ เขารู้ว่าเขาไม่สามารถโกหกหลานชายได้ ดังนั้น เขาจึงพูดว่า “ใช่ฉันกังวลมากอันที่จริงฉันกังวลมากเหลือเกินในทุกๆวันในชีวิต ฉันกลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับแกหากมีวิธีใดที่จะช่วยแกได้ฉันก็ยินดีที่จะแลกกับธุรกิจของตระกูลจํายทั้งหมด”
อย่างไรก็ตาม น่าเสียดายที่ไม่มี
“ถ้าเป็นเช่นนั้น ผมก็ไม่ควรนําความเจ็บปวดและความทุกข์นี้ไปให้คนอื่น ใช่ไหม” จํายหวินเชิงไม่อยากให้เธอต้องเจ็บปวด เขาไม่อยากจินตนาการถึงความเจ็บปวดที่เธอจะต้องทน ถ้าเขาทําให้เธอตกหลุมรักเขาได้จริงๆ
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ท่านผู้เฒ่าจํายก็เข้าใจว่าจํายหวินเซึ่งหมายถึงอะไร
“แกเป็นห่วงเด็กหญิงคนนั้นใช่ไหม” ท่านผู้เฒ่าจํายถามเสียงหนัก ” แม้ว่าฉันจะไม่ได้ใช้เวลา กับเด็กหญิงคนนั้นมากนักแต่ฉันก็รู้ว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา วันนั้น เมื่อฉันเห็นเธอตรวจดูโครงกระดูกอย่างใจเย็น ฉันก็รู้ว่าเธอไม่ใช่คนบอบบาง
“ไม่ เธอบอบบาง”
จํายหวินเชิงพูดขณะที่ลุกขึ้น
อันที่จริง จากช่วงเวลาที่เจี้ยนอีหลิงปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีกครั้งนั้น เขาก็ได้คําตอบของคําถามที่เขาไม่ได้สนใจอีกต่อไป
เขาไม่ปรารถนาที่จะปล่อยผ่านไปอีกครั้ง ดังนั้นเธอจะต้องทนทุกข์ทรมานอยู่กับเขา
เขาเป็นคนเห็นแก่ตัว และเขาวางแผนที่จะเห็นแก่ตัวไปตลอดชีวิต
ก่อนที่เขาจะจากไป จํายหวินเชิงพูดกับท่านผู้เฒ่าจํายว่า “ผมยินดีที่จะยอมรับการจัดเตรียมที่ปูต้องการจัดให้ผมก่อนหน้านั้นปูสามารถสร้างห้องพยาบาลในบ้านของผมได้เช่นเดียวกัน”
เมื่อท่านผู้เฒ่าจํายดูหลานชายจากไป หัวใจเขาก็ปวดร้าว เขาเป็นห่วงอีกฝ่าย แต่ทว่า เขาเองก็ทําอะไรไม่ถูกเช่นเดียวกัน
ไม่นานหลังจากที่ข่าวรั่วไหลออกมาว่ามีคนจากโรงพยาบาลรั่วไห่เซินมาถึงเปยจิง หัวข้อข่าวอื่นก็ออกมาอีก
คนจากโรงพยาบาลรั่วไห่เซินมาเพื่อรับสมัครคน
ด้วยเหตุนี้ วงการแพทย์ทั้งหมดในเปยจิงจึงเปลี่ยนเป็นคึกคัก
ในหมู่พวกเขา ก็มีทั้งผู้ที่สนใจในชื่อเสียง ผู้ที่สนใจในเรื่องเงินทอง และก็มีผู้ที่สนใจในการแสวงหาความประสบความสําเร็จทางการศึกษาที่สูงขึ้น
ชื่อของโรงพยาบาลรั่วไห่เซินในตอนนี้มีความหมายเทียบได้กับมาตรฐานทางการแพทย์ชั้นนําของโลก
การเป็นเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของเงินเดือนและสวัสดิการเท่านั้น มันเป็นเรื่องของชื่อเสียงและความสําเร็จมากกว่า