ชายคนที่ปรากฏตัวที่ประตูห้องนั้นสูง ขายาว ผมสีเทาออกขาว และติดตุ้มหูเพชรที่หูข้างหนึ่ง
เขามีผิวขาว หน้าตาดี ดวงตาสีน้ำตาลแฝงรอยยิ้ม ริมฝีปากบางโค้งขึ้น มีเสน่ห์น่าหลงไหล
เขาดูเหมือนกับตัวตนของเขาในโปสเตอร์ เหมือนกับชิ้นเนื้อเล็กๆอันโอชะ
เจี่ยนหยุ่นหมินยืนพิงกรอบประตูและเรียกหาเจี่ยนอีหลิง “เด็กขี้แย”
เสียงของเจี่ยนหยู่หมิงนั้นก็อ่อนโยนมากเช่นเดียวกัน บางทีอาจจะเป็นเสียงที่คนในอินเตอร์เน็ตพูดกันว่า “ได้ยินแล้วจะท้อง”
เจี่ยนอีหลิงมองไปยังเจี่ยนหยู่หมิน คิดสงสัยว่าทำไมเขาจึงเรียกเธอแบบนั้น
“กอดก็ร้อง แหย่ก็ร้อง เธอคิดว่าตัวเองเป็นเด็กขี้แยไหมล่ะ” เจี่ยนหยู่หมินพูด
เจี่ยนหยู่หมิงกับเจี่ยนอีหลิงนั้นไม่ได้เห็นกันมาเป็นเวลานาน
เจี่ยนหยู่หมิงนั้นอายุมากกว่าเจี่ยนอีหลิงสิบเอ็ดปี ในขณะที่เจี่ยนอีหลิงยังเป็นทารกอยู่นั้น เธอร้องไห้ตอนที่เขากอดเธอ เธอร้องไห้ตอนที่เขาหยอกล้อเธอเล่น
แต่ทว่าสำหรับเจี่ยนหยู่เจี๋ย เจ้าเด็กเน่านั้น หัวเราะคิกคักตลอดแม้ว่าเขาจะจับโยนก็ตาม
ดังนั้นเจี่ยนหยู่หมินจึงมีความประทับใจอย่างลึกซึ้งกับสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดที่เรียกขานว่า “น้องสาว” ในใจของเขานั้นเธอก็คือ การร้องไห้
“ตอนนายยังเด็ก ก็ร้องไห้เหมือนกัน” เจี่ยนอีหลิงโต้ด้วยเสียงเบาหวิว
“เธอไม่ได้เห็นมันหรอก”
เจี่ยนหยู่หมินอาศัยว่าเขานั้นอายุมากกว่าเจี่ยนอีหลิงสิบเอ็ดปี ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธไม่ยอมรับว่าเขาร้องไห้เมื่อตอนที่เป็นเด็กได้อย่างมั่นใจ
หลังจากที่ฟังคำพูดของเจี่ยนหยู่หมินแล้ว เจี่ยนอีหลิงก็หันกายจากไป
เพราะว่าไม่มีประโยชน์ที่จะโต้เถียงกับอีกฝ่าย
ทันทีที่เจี่ยนอีหลิงจากไปแล้วนั้น เจี่ยนหยู่หมินก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นเขาก็หันกายกลับเข้าไปในห้อง
“พี่หยู่หมิน เมื่อกี้พี่ไปไหนมา ทำไมพี่ถึงหยุดเล่นกลางคัน”
ในห้อง เจี่ยนหยู่หมินกำลังเปิดประชุมทางวิดีโอ พูดคุยเรื่องเพลงใหม่กับสมาชิกในวงดนตรีของเขา
“ไม่มีอะไรหรอก” หลังจากที่เจี่ยนหยู่หมิงตอบคำถามเสร็จ เขาก็อดที่จะถามสมาชิกคนอื่นๆในวงดนตรีไม่ได้ว่า
“พวกนายมีน้องสาวไหม”
“น้องสาวผมยังไม่เกิด มีแต่น้องชายตัวเหม็นคนหนึ่ง”
“ผมเป็นลูกคนเดียว”
“ผมมีน้องสาวคนหนึ่ง”
สมาชิกในวงต่างพากันตอบทีละคน
“มีอะไรเหรอ พี่หยู่หมิน ทำไมถึงถามคำถามนี้ขึ้นมาปุปปับล่ะ”
มีคนถามเขาด้วยความอยากรู้
“ฉันมีน้องสาวคนหนึ่งที่ทั้งนุ่มนวลทั้งน่ารักตั้งแต่ตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก แต่ทุกครั้งที่ฉันเข้าไปหาเธอ เธอก็มักจะร้องไห้ เธอทำปากเบะ ตาแดง และถั่วทองร่วงลงมาเหมือนกับเงินทอง* ฉันเพิ่งพูดกับเธอไปเมื่อกี้นี้ ฉันคิดว่าพอพวกเราโตขึ้นกันอีกสักหน่อย ก็คงจะกล้ามากขึ้นไม่เหมือนเมื่อตอนเป็นเด็ก แต่ฉันยังไม่ทันได้พูดอะไรสักคำ เธอก็วิ่งหนีไปอีกแล้ว”
เจี่ยนหยู่หมินไม่เข้าใจสิ่งมีชีวิตอย่างเช่น “น้องสาว” จริงๆ
แต่น้องสาวคนเล็กของเขาก็ยังคงดูขาวและนุ่มนวล ทำให้เขารู้สึกอยากจะทำตัวเป็นพี่ชายมากยิ่งขึ้น
และในครั้งนี้เมื่อตอนที่เขากลับมา เจ้าหยู่เจี๋ย เจ้าเด็กตัวเหม็น เอาแต่โอ้อวดของขวัญที่น้องสาวมอบให้กับตัวเอง รวมไปถึงโม้แต่เรื่องราวที่พวกเขาเล่นนู่นทำนี่ร่วมกัน
ถึงแม้ว่าเจี่ยนหยู่หมินจะยังปากแข็ง แต่เขาก็ย้ายเข้ามาที่บ้านเก่าทันทีที่ได้มีโอกาสกลับมา
ไม่ว่ายังไงก็ตามหากอยู่ที่บ้านก็จะถูกแม่ดุอยู่ดี เมื่อเป็นอย่างงั้นเปลี่ยนไปเป็นที่เงียบๆก็จะดีกว่า
“พี่หยู่หมิน พี่เคยแสดงความสามารถในการเอาอกเอาใจพวกแฟนสาวๆอยู่ไม่ใช่เหรอ แล้วพี่กลัวว่าจะไม่สามารถที่จะโอ๋น้องสาวได้ยังงั้นเหรอ”
“ใช่แล้ว ไม่ใช่ว่าบรรดาแฟนๆพี่มีอายุตั้งแต่แปดสิบมาจนถึงแปดขวบเหรอ ถ้าน้องสาวพี่อยู่ในช่วงนี้แล้วละก็ เธอก็ไม่ควรจะหนีพ้น”
สมาชิกของวงดนตรีเข้ากันได้เป็นอย่างดี ดังนั้นพวกเขาจึงมักจะหยอกล้อกันเล่นโดยไม่เกรงใจ
“พวกนายพูดจาจริงจังกว่านี้หน่อยได้ไหม เมื่อไหร่กันที่ฉันไปเอาอกเอาใจพวกแฟนเพลงหญิง ฉันไม่มีความสามารถแบบนั้น เข้าใจไหม”
เจี่ยนหยู่หมินไม่เคยรู้สึกว่าตัวเขาเองนั้นไปเอาอกเอาใจแฟนเพลงหญิง เขาเพียงแค่ทำในสิ่งที่เขาทำได้ ร้องเพลงและแสดงออก
—————————————-
ผู้แปล * น้ำตา