หลังจากรอมาห้าชั่วโมงในที่สุดไฟในห้องผ่าตัดก็ดับลง
หลังจากนั้นเจี่ยนหยุ่นน่าวซึ่งยังสลบไสลจากยาสลบอยู่ก็ถูกผลักออกมาจากห้องผ่าตัด
ตอนที่คนออกมา มือของเขาก็ถูกยึดและพันด้วยเครื่องมือพิเศษ ไม่มีทางที่จะเห็นว่ามีอะไรอยู่ข้างใน
เฉิงอี้ที่ออกมาด้วย บอกกับครอบครัวเจี่ยนว่า “การผ่าตัดประสบความสำเร็จอย่างมาก คุณเจี่ยนหยุ่นน่าวคงจำเป็นต้องฝึกฝนเป็นระยะเวลาหนึ่ง หลังจากที่แผลหายสนิทแล้วเขาก็จะเริ่มการฝึกเพื่อฟื้นฟู”
ครอบครัวเจี่ยนสอดส่ายสายตาหาแพทย์ที่ให้การรักษาว่าอยู่ที่ไหนโดยไม่รู้ตัว หลังจากยืนยันความปลอดภัยของเจี่ยนหยุ่นน่าวแล้ว
เฉิงอี้เห็นว่าพวกเขามองเข้าไปในห้องผ่าตัดอยู่เรื่อยๆ ก็รู้ว่าพวกเขากำลังมองหาศัลยแพทย์
“Dr.FS ออกจากประตูห้องผ่าตัดอีกด้านหนึ่งไปแล้ว” เฉิงอี้พูดยับยั้งความปรารถนาที่จะเห็นเทพ Dr.FS ของพวกเขาไว้ตรงๆ
ครอบครัวเจี่ยนรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง แต่เมื่อคิดว่าการผ่าตัดของลูกชายของเขาสำเร็จแล้ว พวกเขาก็รู้สึกเป็นสุขมากกว่าจะรู้สึกสูญเสีย
ในห้องที่เชื่อมต่อกันด้วยประตูอีกบานของห้องผ่าตัด เจี่ยนอีหลิงนอนอยู่บนเตียงพร้อมกับสายน้ำเกลือ
ใบหน้าของเธอซีดเผือด และมีเม็ดเหงื่อเต็มไปหมด
เธอไม่ได้มีปัญหาอะไรหนักหนา เพียงแค่เหนื่อยมากไปหน่อย
เนื่องจากการผ่าตัดเป็นเวลาห้าชั่วโมงด้วยการตั้งสมาธิระดับสูง ย่อมต้องใช้พลังงานทางร่างกายและจิตใจเป็นอย่างมาก
และสภาพร่างกายของเจี่ยนอีหลิงเองก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
ดังนั้นทันทีที่การผ่าตัดสิ้นสุดลง เจี่ยนอีหลิงก็เริ่มเข่าอ่อน
หลัวซิ่วเอินกอดเธอไปยังห้องถัดไป และให้ยากับเธอโดยไม่พูดอะไรสักคำ เพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพทางกายของเธอ
“พี่สาวขอเตือนเธอว่า ห้ามทำการการผ่าตัดระยะยาวและต้องใช้สมาธิอย่างมากแบบนี้ก่อนอายุ 18 ปี”
หลัวซิ่วเอินรู้ว่าเจี่ยนอีหลิงต้องทำการผ่าตัดครั้งนี้
แต่ไม่ควรทำในครั้งต่อไปหลังจากนี้
เจี่ยนอีหลิงมองไปที่หลังมือของตัวเองที่มีเข็มสอดเข้าไป ด้วยความคิดว่าเธอต้องออกกำลังกาย
“เริ่มออกกำลังกายเดือนหน้า”
“ถูกตัองแล้ว” หลัวซิ่วเอินเองก็ตระหนักถึงสิ่งนี้ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการออกกำลังกาย หลัวซิ่วเอินได้กล่าวไว้มากมายในแง่นี้ว่า “หรือไม่ก็เป็นสัปดาห์หน้า เพียงแค่ทำตามพี่สาว พี่สาวช่วยให้ออกกำลังกายได้ และรับรองว่าหลังจากผ่านช่วงระยะเวลาหนึ่งเธอจะไม่เพียงแต่ร่างกายแข็งแรงและเจริญอาหารเท่านั้น แต่ก็ยังสามารถจัดการกับอันธพาลตัวเล็กๆได้ด้วย”
“พี่สาวเอิน ไม่นะ”
เฉิงอี้ได้ยินหลัวซิ่วเอินทันทีที่เขากลับมา เธอบอกว่าเธอกำลังจะสอนศิลปะการต่อสู้ให้กับเจี่ยนอีหลิง แต่เขากลัวเป็นอย่างมากจึงรีบคัดค้านทันที
“เฉิงอี้ นายกำลังทำอะไร นายไม่ต้องการให้น้องสาวอีหลิงมีสุขภาพดีเหรอ”
“ไม่ใช่ พี่สาวเอิน ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้นอย่างแน่นอน ผมแค่คิดว่าเราควรจะเปลี่ยนวิธี … ”
เปลี่ยนเป็นวิธีที่นุ่มนวลกว่าเล็กน้อย
พวกเขามีช่วงเวลาที่ยากลำบากในการหาสาวน่ารักแบบนี้มาอยู่ในสถาบันวิจัย ถ้าทำตามหลัวซิ่วเอินแล้วกลายเป็นพี่สาวเอินคนที่สองแล้วล่ะก็ … พวกเขาจะใช้ชีวิตยังไงกัน
“อะไรนะ วิธีของพี่สาวไม่ดีเหรอ”
หลัวซิ่วเอินหรี่ตา และเฉิงอี้ก็รู้สึกถึง … ความน่ากลัวในสายตาของเธอ
“ไม่ใช่ เข้าใจผิดแล้ว พี่สาวเอิน ผมหมายความว่า น้องสาวอีหลิงค่อนข้างบอบบาง ถ้าเธอกระทกระแทก นั่นจะไม่เป็นที่หนักใจเหรอ”
ชุดกิจกรรมของหลัวซิ่วเอินนั้นต้องมีความรุนแรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เป็นแน่
เมื่อหลัวซิ่วเอินคิดถึงเรื่องนี้เธอก็รู้สึกว่าคำพูดของเฉิงอี้ก็สมเหตุสมผลเช่นเดียวกัน
เธอทนทานต่อการทุบตี แต่น้องสาวอีหลิงไม่สามารถทำได้ เธอจะโยนผิวหนังที่บอบบางและเนื้อนุ่มนวลแบบนี้ได้อย่างไร
“ใช่ นายจะทำอย่างที่นายแนะนำได้อย่างไร”
“อืม ไม่มีนักโภชนาการในสถาบันวิจัยของเราบ้างเลยเหรอ จากนั้นก็ให้เขาตรวจสอบสภาพร่างกายของน้องสาวอีหลิงและให้คำแนะนำที่สมเหตุผล แน่นอนเขาสามารถร่วมมือให้คำแนะนำการออกกำลังกายที่เหมาะสมได้เช่นเดียวกัน”